เย่เทียนเซี่ยอดกังวลไม่ได้ว่า ถ้าตัวเองยังปล่อยให้ยัยเด็กประหลาดพูดต่อไปเขาอาจจะกลายเป็บ้าก็ได้ เขาทำได้แค่เบนความสนใจไปยังศพหมาป่าดวงซวยที่อยู่ไม่ไกลและเดินเข้าไปในเขตแดนหมาป่าอีกครั้ง ห้วงเวลาแห่งโชคชะตานิรันดร์ที่เขาถืออยู่ในมือนั้นมีรูปร่างเกินจะบรรยาย มันอาจทำให้ผู้พบเห็นเพียงแวบแรกพุ่งความสนใจมาที่อาวุธประหลาดในมือมากกว่าตัวเขา ของสิ่งนี้ไม่ใช่ดาบ ไม่ใช่มีด ไม่ใช่โล่ มันเป็สีดำสนิททั้งชิ้น รูปร่างบิดเบี้ยวจนไม่สามารถบรรยายออกมาได้ อีกทั้งยังมีรูเจ็ดรูที่ส่องแสงออกมาเป็สีต่างกัน สิ่งเดียวที่สามารถรับรองได้เลยก็คือ ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหน ในมือใคร ก็จะกลายเป็จุดสนใจอย่างแน่นอน
ความยาวของห้วงเวลาแห่งโชคชะตานิรันดร์เพิ่มขึ้นเท่ากับความยาวแขนของเย่เทียนเซี่ย ซึ่งรวมแล้วทำให้ขอบเขตการโจมตีของเขาขยายออกไปข้างหน้าถึงสองเมตร ดังนั้นเย่เทียนเซี่ยในเวลานี้ไม่จำเป็ต้องยั่วยุหมาป่าเพียงตัวเดียวแล้วต้องคอยระวังไม่ให้มันดึงดูดหมาป่าตัวอื่นๆ ตามมาอีกแล้ว เขามุ่งตรงไปยังฝูงหมาป่าด้วยท่าทางชั่วร้าย เมื่อก้าวเข้าสู่ขอบเขตความเกลียดชังของพวกมัน ดวงตาสีแดงฉานราวกับเืก็ล็อกเป้าหมายมาที่เขาทันที ท่ามกลางเสียงเห่าหอน หมาป่าเ้าของดวงตาแดงฉานก็พุ่งตรงมาทางเขา
ลำแสงของห้วงเวลาแห่งโชคชะตานิรันดร์วาดผ่านพื้นที่ด้านหน้าเป็วงกลมสีดำขนานกับพื้นดิน หมาป่าสามตัวแรกด้านหน้าสุดที่กำลังวิ่งเข้ามาถูกกวาดไปทีเดียวพร้อมกัน -85, -87, -85 ตัวเลขความเสียหายสีแดงสามจุดลอยขึ้นมาพร้อมกัน พลังโจมตีของเย่เทียนเซี่ยตอนนี้เกือบจะถึงร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงไร้ความกดดันเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าทั้งฝูงตรงหน้า การโจมตีของเขาทำให้หมาป่าสามตัวที่พุงเข้ามาช้าลงเล็กน้อย เย่เทียนเซี่ยก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็วแล้วตวัดดาบฟันออกไปสองทีหมาป่าสามตัวที่กระโจนเข้าหาร่างเขาก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกันทันที
“ฮ่าๆๆ นายท่านเก่งจริงๆ ล้มมอนสเตอร์ตัวเล็กๆ พวกนี้ได้หมดเลย จัดการมันเลยเ้าค่ะ!”
เสียงของกั่วกัวทำให้สติของเย่เทียนเซี่ยแตกกระเจิงจนเกือบจะถูกหมาป่าห้าตัวที่พุ่งเข้ามาล้อมไว้ได้ เขาเคลื่อนที่อย่างไร้ทิศทางแต่ก็ยังถูกกรงเล็บหมาป่าสองตัวโจมตีไปถึงสองครั้ง เย่เทียนเซี่ยโจมตีต่อเนื่องสามครั้งหมาป่าที่รวมตัวกันสองสามตัวตรงหน้าเขาก็ถูกสังหารจนหมด ในตอนสุดท้ายเขาได้ยินเสียงแจ้งเตือนเลเวลอัปดังขึ้นมาข้างหู
“ติ๊ง! ระดับของท่านเพิ่มขึ้นเป็เลเวล 1, พลังชีวิต +10, พลังเวท+10, ได้รับคะแนนคุณสมบัติอิสระ 5 หน่วย”
เย่เทียนเซี่ยเอาคะแนนคุณสมบัติที่เพิ่มขึ้นมา 5 หน่วยเติมเข้าไปที่แถบพละกำลังจนหมดทำให้พลังโจมตีของเย่เทียนเซี่ยเกินหนึ่งร้อย เดิมทีเขาต้องโจมตีถึงสามครั้งกว่าจะสามารถจัดการหมาป่าสักตัวได้ แต่ตอนนี้บางทีเขาอาจจะสามารถจบเื่ได้ด้วยการโจมตีเพียงสองครั้ง
การอัปเลเวลใน World of Fate นั้นยากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สถานะเลเวล 0 ต้องฆ่าหมาป่าเลเวล 5 ถึง 9 ตัวถึงจะก้าวข้ามเลเวล 0 ไปสู่เลเวล 1 ได้ และความยากในการก้าวข้ามจากเลเวล 1 ไปสู่เลเวล 2 นั้นก็ยากขึ้นถึงสิบเท่า เลเวล 0 ถึงเลเวล 1 ้าค่าประสบการณ์ 100 หน่วย และเลเวล 1 ไปสู่เลเวล 2 ้าค่าประสบการณ์ 1000 หน่วย ช่องว่างในการก้าวข้ามสู่แต่ละเลเวลขนาดนี้ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เกมเสมือนจริง
หมาป่าสองตัวล้มลงตรงหน้าเขา และเมื่อกวาดตามองไปรอบ ๆก็พบร่างของหมาป่าที่กองรวมกันอยู่ เย่เทียนเซี่ยเก็บเงินไม่กี่เหรียญที่ดรอปออกมา รวมทั้งหมดแล้วก็ได้ไม่เกินห้าเหรียญทองแดง ค่าโชคที่เพิ่มขึ้น 10 หน่วยภายใต้ทักษะของขวัญแห่งโชคชะตาทำให้อัตราการดรอปไอเทมของหมาป่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่อย่างไรก็ตามระบบก็ยังขี้งกอยู่ดี เพราะนอกจากเงินไม่กี่เหรียญแล้ว แม้แต่น้ำยาฟื้นฟูสักขวดก็ไม่มีดรอปออกมาเลย
เย่เทียนเซี่ยตัดสินใจออกจากแดนหมาป่า เขาคิดว่าจะกลับไปที่เมืองเริ่มต้นชั่วคราวเพื่อเรียนทักษะเก็บรักษาเพื่อทำภารกิจที่เขาสนใจนั้นให้เสร็จ ในมือของเย่เทียนเซี่ยยังคงถือห้วงเวลาแห่งโชคชะตานิรันดร์สีดำที่มีรูปร่างแปลกประหลาดอยู่ เขายังคงมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในฝัน เย่เทียนเซี่ยลองออกคำสั่งทางความคิดให้เก็บห้วงเวลาแห่งโชคชะตานิรันดร์ไปเหมือนกันไอเทมชิ้นอื่นๆ ทันใดนั้นห้วงเวลาแห่งโชคชะตานิรันดร์อันใหญ่โตก็หายไปจากสายตาของเขา มันไม่ได้กลับไปในกระเป๋าใส่ไอเทม แต่ทว่ามันเปลี่ยนสถานะกลายเป็เครื่องประดับกลับไปอยู่บนอกเขาตามเดิม สร้อยเส้นเล็กสีดำนั่นก็กลับไปห้อยอยู่บนคอของเขาเช่นกัน
บนโลกใบนี้มีเื่แปลกประหลาดบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่ตลอด เขายกห้วงเวลาแห่งโชคชะตานิรันดร์ที่เปลี่ยนสถานะเป็เพียงเครื่องประดับมาไว้ในมือ ความลับที่ถูกเก็บงำไว้คืออะไรตอนนี้เขาอาจจะยังไม่รู้ แต่สิ่งที่แน่นอนคือการปรากฏของมันมีความหมาย มันหมายความว่าแม้เขาจะไม่มีอาชีพ แต่จุดเริ่มต้นของเขาก็ไปได้ไกลกว่าผู้เล่นคนอื่นๆ อยู่หลายส่วน
แบบนี้มันยุติธรรมหรือเปล่านะ?
“ไอ้หยา นายท่าน ท่านกำลังจะไปที่ไหนน่ะ?” เมื่อเห็นว่าเย่เทียนเซี่ยกำลังเดินไปทางใต้ กั่วกัวก็ลอยตามไปอยู่ทางด้านหลังของเขา เธอลอยสูงอยู่ในระดับเดียวกับไหล่ของเย่เทียนเซี่ย ด้านหลังของเธอไม่มีปีก มือและเท้าของเธอก็ไม่ได้ขยับเลยสักนิด เธอเหมือนกำลังถูกลมพัดลอยไปในอากาศเหมือนปุยนุ่น
“กลับ” เย่เทียนเซี่ยตอบกลับไปอย่างหนักใจ ในหัวของเขาย้อนกลับไปคิดถึงเื่แปลกๆ ทั้งหมดก่อนหน้านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
“กลับไปไหนล่ะนายท่าน? ไปที่ที่น่าสนุกหรือเปล่า? หรือว่านายท่านกำลังจะกลับบ้านหรือเ้าคะ?”
“...”
“นายท่าน ท่านยังไม่เอาอมยิ้มมาให้ข้ากินเลยนะเ้าคะ ข้าคือกั่วกัว เป็เด็กสาวที่เชื่อฟังที่สุดและน่ารักที่สุดนะ จะไม่ได้กินอมยิ้มได้ยังไงกัน”
“นี่! นายท่าน! ท่านนี่มันไม่มีมารยาทจริงๆ เลย! มีเด็กน้อยน่ารักอย่างข้ากำลังถามคำถามท่านอยู่ แต่ท่านกลับไม่สนใจสักนิด! เฮอะ! ช่างเป็เ้านายที่น่าเกลียดจริงๆ ท่านได้ยินที่ข้าพูดหรือเปล่าเนี่ย?!”
อารมณ์สงบของเย่เทียนเซี่ยถูกทำให้ยุ่งเหยิงไปหมด จนในที่สุดเขาก็หมดความอดทน ก้าวไปหนึ่งก้าวแล้วยื่นมือออกไปคว้าเด็กสาวที่อยู่กลางอากาศลงมาไว้ในอุ้งมือท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ััอบอุ่นบางอย่างพุ่งออกมาจากมือของเย่เทียนเซี่ยทำให้เขาคลายมือเล็กน้อย ใบหน้าของเขาเ็าและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโมโห “หยุดพูดได้แล้ว!”
ร่างของกั่วกัวสูงแค่สามสิบเิเ แต่มือของเย่เทียนเซี่ยเพียงข้างเดียวก็สามารถจับั้แ่เอวจนถึงขาของเธอเอาไว้ได้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างร่างกายสั่นสะท้าน ความกลัวปรากฏอย่างชัดเจน และแล้วริมฝีปากเล็กๆ นั้นก็เริ่มเบ้ออกอย่างช้าๆ ั์ตาเหมือนคริสตัลค่อยๆ เอ่อล้นไปด้วยน้ำ ก่อนจะร้องไห้ออกมาเสียงดัง “แง๊!”
“แง๊ๆ ท่านรังแกข้า ท่านรังแกข้า...ท่านรังแกข้า!”
เสียงร้องไห้ของเธอทำให้เย่เทียนเซี่ยแก้วหูแทบแตก น้ำตาพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของเธอเหมือนสายน้ำ เพียงพริบตาเดียวก็เปียกชุ่มไปทั้งมือของเย่เทียนเซี่ย เสียงร้องไห้ที่เต็มไปด้วยความเสียใจนั้นราวกับว่ากำลังได้รับความไม่เป็ธรรมที่ร้ายแรงที่สุดในโลก ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องสงสารจับใจ ร่างของเธอเล็กออกปานนั้นแต่เสียงร้องไห้ที่เธอแผดออกมากลับดังก้องไปทั่วป่าอันเงียบสงบแห่งนี้
เย่เทียนเซี่ยอยากจะทึ้งหัวตัวเอง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความใอย่างมาก เสียงร้องไห้นั้นไม่มีร่องรอยของการแกล้งทำแต่อย่าใด น้ำตาที่ไหลลงมาราวกับห่าฝนนั้นก็ไม่ใช่ของปลอม เสียงที่น่าสงสารทำให้เย่เทียนเซี่ยรู้สึกเหมือนได้ทำเื่ที่โหดร้ายที่สุดลงไป สีหน้าเ็าก่อนหน้านี้สลายหายไป เขารีบคลายมือออกแล้วประคองเธอไว้ในฝ่ามือ ก้มหน้าลงมาพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เอาละๆ เป็ความผิดของฉันเอง กั่วกัวไม่ร้องนะ...”
ร่างของกั่วกัวลอยขึ้นมาราวกับไร้น้ำหนัก ก่อนหน้านี้เย่เทียนเซี่ยไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองต้องปลอบเด็กผู้หญิงจนทำอะไรไม่ถูกแบบนี้ คำปลอบของเขาไม่เพียงไม่ได้ผลแต่ยังทำให้กั่วกัวร้องดังขึ้น “ฮือฮือ...ท่านรังแกข้า! ท่านรังแกข้า!”
“เด็กดี เป็ความผิดของฉันเอง ต่อไปฉันจะไม่แกล้งกั่วกัวอีกแล้วดีไหม?” เย่เทียนเซี่ยพยายามฉีกยิ้มอ่อนโยนที่สุด แต่รอยยิ้มแบบนี้ไม่ได้ปรากฏบนใบหน้าของเขานานแล้วดังนั้นมันจึงดูบิดเบี้ยวสุดๆ
“ฮือ...คนโกหก คนโกหก ท่านเป็คนแย่ขนาดนี้ได้ยังไง ข้าเป็เด็กน่ารักเชื่อฟังขนาดนี้ ท่านรังแกข้าแบบนี้ได้ยังไง...โฮๆ” กั่วกัวยังคงร้องไห้เสียงดัง น้ำตามากมายไหลทะลักชุ่มมือเย่เทียนเซี่ยอย่างรวดเร็ว มุมปากของเย่เทียนเซี่ยกระตุก แม้แต่หัวใจของเขาก็กระตุกขึ้นมา ั้แ่เล็กจนโตเท่าที่เขาจำความได้แต่ไหนแต่ไรก็มีแต่ผู้หญิงคนนั้นคอยตามใจเขา เขาไม่เคยต้องปลอบใจคนอื่นมาก่อนเลย
“ถ้ากั่วกัวหยุดร้องนะ ต่อไปฉันจะไม่แกล้งกั่วกัวแล้ว แล้วยังจะเอ็นดูกั่วกัว สาวน้อยที่น่ารักและเชื่อฟังที่สุดในโลกด้วย ดีไหมเอ่ย?” เย่เทียนเซี่ยพยายามรีดเร้นความคิด บังคับให้ตัวเองพูดคำปลอบโยนที่พาให้เขาขนลุกไปทั้งตัวออกมา ทันทีที่พูดจบเขาก็รู้สึกราวกับว่าการรับรู้ของตัวเองได้ตายไปแล้ว เขาได้แต่ภาวนาให้โลกนี้รีบๆ เงียบลงสักที
ราวกับเป็กรรมของเขา ในที่สุดโลกก็เงียบลงสักที แต่ความเร็วขนาดนั้นทำให้เย่เทียนเซี่ยกลับลำแทบไม่ทัน ใบหน้าของกั่วกัวเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเหมือนคริสตัล สองตากลมโตยังหลงเหลือน้ำตาเอ่อคลอที่ยังไม่ทันไหลออกมา สะท้อนให้เห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่เสียงร้องไห้นั้นก็หยุดลงแล้ว อารมณ์ขุนมัวที่มีก่อนหน้านี้ก็หายไปเป็ปลิดทิ้ง และแล้วเธอก็พูดออกมาอย่างฉะฉาน “อ่าฮะ นายท่านพูดจริงหรือเ้าคะ?”
“...จริงสิ” เย่เทียนเซี่ยพยายามอดกลั้นพูดรอดไรฟันออกไปสองคำ ก่อนหน้านี้ไม่กี่วินาทียังมีพายุฝนฟ้าคะนอง แต่ผ่านไปไม่กี่วินาทีกลับมีแดดจ้าสาดส่องลงมา ตอนนี้เขาอดคิดไม่ได้ว่า ตัวเองคงจะตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว
“เย่! เย่!” กั่วกัวน้อยร้องออกมาด้วยความดีใจ ใบหน้าที่ยังคงมีน้ำตาเปรอะเปื้อนอยู่นั้นเปล่งประกายแห่งความสุข “นายท่านรักษาคำพูดด้วย...ดีละ! ข้าอยากกินอมยิ้ม...”
เย่เทียนเซี่ย “...”