เจินจูกำลังลังเลใจว่าจะจากไปหรือแอบฟังต่อดี สองคนที่อยู่ด้วยกันในป่าขนาดเล็กก็ออกมาจากป่า
จ้าวไฉ่สยาในชุดกระโปรงสีชมพูกำลังจับเด็กปัญญาชนคนหนึ่งมาจัดเครื่องแต่งกาย
ปัญญาชนหนุ่มน้อยถอยหลังไปสองสามก้าว ้าดึงชายเสื้อกลับ แต่จ้าวไฉ่สยาใช้แรงจับไว้แน่นเต็มที่ไม่ปล่อย สองคนฉุดรั้งกันชั่วขณะไม่จบไม่สิ้น
“เ้ารีบปล่อย ไม่เป็การเหมาะสมที่จะฉุดรั้งกันเช่นนี้”
คำพูดขอบปัญญาชนหนุ่มมีความโมโหปรากฏอยู่
“ิเกอเออร์ ความ… ความรู้สึกในใจของข้า เ้าน่าจะรู้” จ้าวไฉ่สยาไม่ได้ปล่อยแขนเสื้อของเขาออก แต่กลับใกล้ชิดเขามากยิ่งขึ้น กล่าวอย่างน้ำตากำลังจะร่วงหล่น “ปีนี้ แม่ข้าเริ่มมองหาคนให้ข้าแล้ว ิเกอเออร์ เ้าสามารถ… สามารถ…”
สีหน้าปัญญาชนหนุ่มเปลี่ยนไป ทันใดนั้นออกแรงสะบัดแขนเสื้อ ในที่สุดก็ดิ้นหลุดพ้นจ้าวไฉ่สยาได้
จ้าวไฉ่สยาถูกเขาสลัดแขนออก เกือบล้มหน้าคะมำลงไปอยู่ที่พื้น ใบหน้าสีชมพูดั่งดอกท้อถอดสีไปในชั่วพริบตา
“จ้าวไฉ่สยา เ้าโปรดสำรวมด้วย!”
เด็กหนุ่มมองนางด้วยความเ็า กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ
จ้าวไฉ่สยาใบหน้าเปลี่ยนสี ระหว่างคิ้วขมวดเล็กน้อย ดวงตากลมโตใสแจ๋วราวกับทอดมองไปที่ชายหนุ่มอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เด็กชายหมุนตัวกำลังจะจากไป สายตากลับสบเข้ากับเจินจูโดยไม่ได้ตั้งใจ
“…”
การแอบฟังถูกจับได้แล้ว เจินจูเลิกคิ้วขึ้น
เด็กชายท่าทางอายุสิบห้าหรือสิบหกปี หน้าตาเรียบร้อยผิวขาวเนียนสะอาด อยู่ในชุดปัญญาชน ลักษณะท่าทางมีวิชาความรู้และสง่าเล็กน้อย
เป็จ้าวไป่ิหลานชายคนโตของครอบครัวหัวหน้าหมู่บ้าน ปัญญาชนที่สอบชิงตำแหน่งซิ่วฉายตอนอายุสิบห้าปี และกำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่หอสมุดไท่ผิง
บนใบหน้าจ้าวไป่ิปรากฏให้เห็นสีหน้าอึดอัดใจเล็กน้อย
จ้าวไฉ่สยาก็เห็นเจินจูจากที่ไม่ไกลเช่นกัน ความตื่นตระหนกบนใบหน้าปรากฏขึ้นและหายไปในชั่วพริบตา รีบตวาดเสียงดังทันที “หูเจินจู เ้าหน้าไม่อายนัก ไม่คิดเลยว่าจะแอบฟังผู้อื่นพูดคุยกัน”
“นี่เป็ริมถนนใหญ่ ไม่ใช่บ้านเ้า หากเ้ามีคำพูดใดไม่อยากให้ผู้อื่นได้ยิน เช่นนั้นก็กลับบ้านไปปิดประตูพูดคุยสิ ไม่ใช่ว่ามาส่งเสียงดังเอะอะโวยวายข้างถนน แล้วยังจะมากล่าวว่าผู้อื่นแอบฟังอีกหรือ” เจินจูกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“เ้า! เ้ายังจะเถียงข้างๆ คูๆ อีก เ้าเห็นพวกเรากำลังคุยกันจะไม่หลบออกไปสักหน่อยหรือ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตั้งใจแอบฟัง” จ้าวไฉ่สยาถูกจ้าวไป่ิปฏิเสธอย่างเ็า กำลังเต็มไปด้วยความโกรธ นางจึงตำหนิติเตียนเจินจูเสียงดังอย่างไม่คิดสักนิด
“ชิ พวกเ้าพูดคุยกัน มีสิทธิ์อะไรให้ข้าต้องหลบไปด้วย เ้าเป็ผู้ใดกัน? ถนนนี้เป็ของครอบครัวเ้าหรือ? เ้าลองเรียกมันสักคำสิ ดูว่ามันจะขานรับเ้าหรือไม่” เจินจูกลอกตา พาลโกรธแล้วคิดจะเอาอารมณ์มาระบายกับนาง? นางดูแล้วเหมือนรังแกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ
“เ้า! เ้ายังกล้าดื้อดึงเถียงคำไม่ตกฟากอีก ิเกอเออร์ เ้าดูสิ เ้าเด็กป่าผู้นี้นิสัยร้ายกาจนัก หากนางกล่าวมั่วไปทั่วจะทำอย่างไรดี?” จ้าวไฉ่สยากัดริมฝีปากล่างเบาๆ เดินไปใกล้ทางจ้าวไป่ิสองก้าว พร้อมกับล้วงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนออกมาจากปลายกระบอกแขนเสื้อ แสร้งทำเป็ปาดหางตาอย่างเสียใจและหวาดกลัว
จ้าวไป่ิถอยหลังไปสองสามก้าวเว้นระยะห่างให้ชัดเจนทันทีทันใด ไม่สนใจท่าทีแข็งทื่อของนาง แต่หันไปผงกศีรษะทางเจินจูแล้วยิ้ม
“น้องสาวสกุลหู ไม่ได้เจอกันนานเลย”
อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่ง แม้ไม่คุ้นเคยแต่คนยังพอรู้จักอยู่ แค่รูปร่างหน้าตาเด็กสาวตรงหน้ากับในภาพความทรงจำของเขาแตกต่างกันมากไปหน่อย
“พี่ชายไป่ิ สำนักเรียนของพวกท่านหยุดทำความสะอาดหรือ?” ผู้อื่นต้อนรับด้วยความสุภาพเรียบร้อย เจินจูจึงยิ้มทักทายอย่างสุภาพเช่นกัน
“ใช่แล้ว ได้ยินท่านปู่กล่าวว่าปีนี้น้องชายสองคนของเ้าล้วนเข้าโรงเรียนส่วนตัว รอให้ผ่านไปสักสองสามปี พวกเขาก็สามารถเข้าหอสมุดไท่ผิงด้วยกันได้แล้ว”
“ฮ่าๆ พวกเขาเพิ่งเริ่มเรียนพื้นฐาน จะเรียนได้เร็วปานนั้นเสียที่ไหน รอให้พวกเขาเข้าสำนักเรียนได้ คาดว่าพี่ชายไป่ิคงสอบได้ตำแหน่งบัณฑิตระดับท้องถิ่นเป็ขุนนางไปแล้ว”
“ที่ไหนกัน มิกล้ารับไว้ถึงเพียงนั้น”
“…”
จ้าวไฉ่สยามองสองคนกล่าวด้วยคำพูดที่มีพิธีรีตองด้วยใบหน้าแข็งทื่อ ทำไมเื่ราวเปลี่ยนไปเป็เช่นนี้ได้? ไม่ง่ายเลยกว่านางจะคว้าโอกาส และดูจังหวะที่เหมาะสมเพื่อเข้าใกล้จ้าวไป่ิ แต่เื่ราวกลับไม่ราบรื่นเหมือนอย่างที่คิดไว้
นางกัดริมฝีปากล่างแน่น คิดถึงที่มารดาของนางเผยข่าวให้นางเป็การส่วนตัว หวังผอจื่อแนะนำคนสองครอบครัวที่สามารถเลือกไว้ได้มาให้ หนึ่งคือพ่อหม้ายภรรยาตายมีลูกสาวติดมาสองคน ทำการค้าขายเต้าหู้ มีบ้านในเมืองอยู่หนึ่งส่วน นับได้ว่าทรัพย์สินเงินทองค่อนข้างสมบูรณ์มาก ส่วนอีกคนหนึ่งคือบุตรชายคนที่สามของครอบครัวคนขายเนื้อที่เชือดสัตว์ด้วยตนเอง เคยเป็ไข้ทรพิษ บนใบหน้าจึงมีลายเล็กน้อย สามพี่น้องผู้ชายอาศัยอยู่ด้วยกัน แออัดวุ่นวายเป็หนึ่งครอบครัวใหญ่ ล้วนอาศัยการขายเนื้อดำรงชีวิต
ตามความคิดของเถียนกุ้ยจือ คือสนับสนุนพ่อหม้ายขายเต้าหู้ แม้อายุมากไปหน่อยและมีลูกสาวติดสองคน แต่ลูกสาวล้วนต้องแต่งออกไป ขอแค่ต่อไปหากจ้าวไฉ่สยาคลอดบุตรชาย ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านจะไม่ใช่นางเป็ผู้กล่าวชี้ขาดได้อย่างไร
จ้าวไฉ่สยาบิดผ้าเช็ดหน้า นางกลับไม่ชอบผู้ใดในสองคนนี้ทั้งนั้น มีสิทธิ์อะไรให้นางผู้เป็บุตรสาวคนโตดั่งดอกเบญจมาศงดงามคนหนึ่ง ต้องแต่งให้กับพ่อหม้ายอายุมากที่ภรรยาตาย แล้วยังต้องเป็แม่เลี้ยงให้คนเขาอีก
ส่วนบุตรชายคนที่สามของครอบครัวคนขายเนื้อผู้นั้น นางยิ่งไม่ชอบไปใหญ่ นางเคยเห็นใบหน้ารอยแผลจากไข้ทรพิษ ความขรุขระไปทั่วใบหน้านั้น เห็นแล้วล้วนอยากจะฝันร้าย หากต้องเผชิญหน้ากันทั้งชีวิต เช่นนั้นนางไม่อยากมีชีวิตอยู่อย่างเด็ดขาด
จ้าวไฉ่สยาจ้องเขม็งไปยังจ้าวไป่ิที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของปัญญาชน ในดวงตาปรากฏความหลงใหลเล็กน้อย นี่สิถึงจะเป็เซียงกงที่้าในอุดมคติ แม้พวกเขาล้วนแซ่จ้าวแต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ญาติพี่น้องทางสายเืโดยตรง กรณีของแซ่เดียวกันและเชื่อมสัมพันธ์กันก็มีไม่น้อยเลย
นางรู้ว่าหัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้ชอบนาง แต่ในใจนางยังกอดความหวังที่พอจะมีสักเล็กน้อยไว้อยู่ หากจ้าวไป่ิชอบนางขึ้นมาบ้าง เื่อาจพอมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้
“น้องสาวสกุลหู ข้าออกจากบ้านมานาน ผู้าุโคงตามหากันแล้ว ต้องขอตัวกลับก่อน” จ้าวไป่ิท่าทางเรียบร้อย กล่าวจบก็คำนับอำลา
“ข้าก็ควรกลับไปเช่นกัน ขออำลาพี่ชายไป่ิ” เจินจูอมยิ้มแล้วโบกมือ หิ้วตะกร้าผักกลับบ้านตนเอง ส่วนจ้าวไฉ่สยามีสีหน้าอึมครึม เชอะ จะสนใจนางทำไม
จ้าวไป่ิหมุนตัวก้าวจากไป ส่วนจ้าวไฉ่สยาที่ยืนอยู่ด้านข้าง เขาไม่มองนางเลยสักแวบเดียว
ท่านปู่ของเขาเคยเตือนไว้นานแล้ว ก่อนที่จะสอบเข้าซิ่วฉาย การแต่งงานของเขาไม่อาจหมั้นหมายได้ ให้เขารักษาตนเองให้บริสุทธิ์และไม่กระทำการที่ไม่ดี ห้ามเกี่ยวพันกับสตรีผู้ใดทั้งสิ้น
ลักษณะนิสัยของจ้าวไป่ิมีความคร่ำครึโบราณของปัญญาชนอยู่เล็กน้อย สำหรับกิริยาท่าทางของจ้าวไฉ่สยา รู้สึกเพียงวาจาท่าทางของนางไม่เรียบร้อยและไม่รักนวลสงวนตัว เื่ใหญ่อย่างการแต่งงานนับแต่โบราณมา ล้วนเป็คำสั่งของบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อ [1] ไม่รู้จักรักตัวเองเหมือนนางเช่นนี้ จ้าวไป่ิจึงดูถูกอยู่ในใจเล็กน้อย
หนนี้จ้าวไฉ่สยาน้ำตาคลอเต็มเบ้าจริงๆ มองเงากายที่สูงชะลูดจากไปไกล น้ำตาพรั่งพรูราวกับสายฝน [2] นางจะทำอย่างไรดี?
ต้องแต่งให้กับพ่อหม้ายหรือเ้าหน้าลายอย่างนั้นหรือ? นางไม่ยอมหรอก!
เจินจูกลับมาถึงบ้าน พบกับถู่วั่งที่นำผักป่ามาส่งอย่างบังเอิญที่หน้าประตู
ด้วยเหตุนี้ เลยจูงถู่วั่งเข้าบ้าน และลำเลียงพะโล้เนื้องูหนึ่งถาดวางในตะกร้าแบกหลังของเขา
เห็นเขาสวมเสื้อชั้นเดียวที่เต็มไปด้วยรอยปะซ้อนๆ กัน เจินจูถอนหายใจ เข้าไปรื้อเสื้อผ้าเก่าของปีที่แล้วจากในตู้เก็บเสื้อผ้าของผิงอันออกมาสองสามชุด จัดพับให้เป็ระเบียบแล้วส่งให้ถู่วั่ง
ถู่วั่งถือไว้ด้วยสองมืออย่างระมัดระวัง ความดีใจบนใบหน้ามากมายจนสุดจะบรรยาย ยิ้มอย่างไร้เดียงสาแล้วโค้งกายเอาแต่กล่าวขอบคุณ
ส่งถู่วั่งไปแล้ว เจินจูเดินเล่นรอบสระน้ำหนึ่งรอบ
ต้นหลิวไม่กี่ต้นที่ปลูกใหม่ข้างสระน้ำ มีกิ่งใหม่ยื่นออกมาแล้ว บางและยาวห้อยตกลง เมื่อลมอ่อนๆ พัดผ่านก่อให้เกิดการพลิ้วไหว
ต้นกล้าปลูกใหม่ของที่บ้านนางล้วนรดด้วยน้ำแร่จิติญญาที่เจือจางในน้ำอยู่สองสามครั้ง ต้นกล้าที่ปลูกใหม่ปรับตัวให้เข้ากับพื้นดินได้เร็วมาก กิ่งก้านแตกหน่อเติบโตงอกงาม เต็มไปด้วยพลังและมีชีวิตชีวา
“เหมียวๆ”
เสี่ยวเฮยวิ่งมาอยู่ตรงหน้านาง อย่างไม่รู้ว่าออกมาจากตรงไหน เอาแต่หันมาทางนางและร้องอย่างไม่พอใจ
“เสี่ยวเฮย ไม่ใช่ว่าเพิ่งกินพะโล้เนื้องูไปหรือ ทำไมเอาแต่โหยหาปลาเงินตัวน้อยเ่าั้อยู่ได้ ผ่านไปอีกสองสามวันแล้วกัน ขึ้นเขาข้าเหนื่อยมากเลย” เจินจูอุ้มมันขึ้นอย่างจนปัญญา ไม่มีแมวตัวไหนที่ไม่ชอบกินปลาเลยจริงๆ สินะ
“เหมียวๆ” เสี่ยวเฮยเรียกร้องไม่สำเร็จก็ก่อกวนไม่เลิกรา ดวงตาสีเขียวเข้มชุ่มไปด้วยน้ำ ราวกับเอ่ยบรรยายความน้อยใจเพราะไม่ได้รับความเป็ธรรม
“…เช่นนั้นก็ได้ เ้าไปหาท่านพ่อข้า ให้เขาหาตาข่ายจับปลามา ข้าจับปลาไม่เป็” เจินจูถอนหายใจ เอาเถอะ เติมเต็มความปรารถนาของมันหน่อยแล้วกัน
เสี่ยวเฮยะโลง แล้ววิ่งออกไปหาหูฉางกุ้ยอย่างส่งเสียงเอะอะโวยวาย
โอ๊ย ปีศาจชั่วร้ายจริงๆ
เมื่อวานหลัวจิ่งใช้ขามากเกินไป ขาส่วนที่เคยหักมีอาการเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาอีก เขาไม่กล้าประมาทวันนี้ล้วนอยู่ในห้องพักฟื้นขาทั้งวันแต่โดยดี
หลี่ซื่อยังคงดำเนินการเพาะปลูกแปลงผักหลังบ้าน ในแปลงผักของบ้านเก่ามีผักสดใหม่เติบโตขึ้นเต็ม ส่วนแปลงผักของตนเองผุดแค่หน่อสีเขียวอ่อนๆ ออกมาเอง
เมื่อหูฉางกุ้ยอุ้มเสี่ยวเฮยที่เอาแต่ร้อง “เหมียวๆ” กลับมา เจินจูก็เตรียมของขึ้นเขาเรียบร้อยแล้ว
“เจินจู นี่เสี่ยวเฮยเป็อะไรหรือ? เอาแต่วนรอบข้าร้องไม่หยุดเลย” หูฉางกุ้ยใช้สองมืออุ้มเสี่ยวเฮยด้วยความระมัดระวังดังของล้ำค่าส่งให้เจินจู
“เมื่อวานไม่ใช่บอกไปแล้วหรือเ้าคะ เสี่ยวเฮยชอบปลาเงินตัวน้อยในบึง นี่มันอยากให้ท่านไปจับปลามาให้มันอยู่เ้าค่ะ” เจินจูหัวเราะจนไหล่สองข้างสั่นไหวและไม่ได้รับเสี่ยวเฮยมาจากมือเขา
“…ข้าวโพดกับถั่วเหลืองในที่ยังปลูกไม่เสร็จเลย อีกอย่างที่บ้านไม่ใช่ยังมีเนื้องูมากมายหรือ ข้าเห็นมันกินได้อย่างมีความสุขมากนี่ ทำไมยังโหยหาปลาเงินตัวน้อยอีกล่ะ” หูฉางกุ้ยมองแมวสีดำตัวเล็กในมืออย่างกลัดกลุ้ม ร่างกายเล็กเพียงนี้สามารถกินได้เท่าไรกัน
“เหมียวๆ” เสี่ยวเฮยหันไปร้องประท้วงทางเขา จนกระทั่งใช้อุ้งเท้ากลมๆ ตบหลังมือของหูฉางกุ้ยเบาๆ
“ฮ่าๆ ดูสิ มัน้ากินปลา ส่วนข้าวโพดค่อยปลูกพรุ่งนี้ก็ไม่สาย ท่านพ่อ บ้านเราไม่มีแหจับปลา แล้วก็ไม่มีตาข่ายดักปลาด้วย ท่านว่าต้องไปยืมบ้านผู้ใดมาใช้เสียหน่อยหรือไม่เ้าคะ” ไม่มีเครื่องมือแล้วปลาเงินตัวเล็กจะจับขึ้นมาอย่างไร
“บ้านท่านอาต้าซานของเ้ามี ข้าไปยืมบ้านเขาแล้วกัน” หูฉางกุ้ยมองเสี่ยวเฮยที่ดวงตาเอาแต่จ้องเขา ก็เพราะเป็เช่นนี้ เขาก็ไปจับปลาเพื่อแมวแต่โดยดีแล้วกัน
รอเขายืมตาข่ายดักปลากับตะกร้าใส่ปลากลับมา เจินจูจึงวิ่งไปหลังบ้านบอกให้หลี่ซื่อทราบทีหนึ่ง หลี่ซื่อรู้ว่ามีบิดาของนางไปด้วยจึงไม่ได้คัดค้าน เพียงบอกว่าป่าเขาสูงและชันเดินทางระมัดระวังแล้วก็กลับมาเร็วหน่อย
เจินจูวิ่งไปยังห้องของหลัวจิ่ง วานเขาช่วยนางให้อาหารเสี่ยวจินประมาณตอนเที่ยง พักนี้เสี่ยวจินมากินอาหารกลางวันตรงเวลา เป็เช่นนี้นานแล้ว ทุกคนในครอบครัวหูจากประหลาดใจและหวาดกลัวในตอนแรก เปลี่ยนไปคุ้นเคยจนเห็นเป็เื่ปกติและไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
เสี่ยวจินมีนิสัยก้าวร้าว ไม่ใกล้ชิดมนุษย์เหมือนเสี่ยวเฮย นอกจากเจินจูแล้ว ผู้อื่นเข้าใกล้ตัวมันไม่ได้ ดังนั้น เจินจูเลยบอกหลัวจิ่งเป็พิเศษว่าให้เขาวางถาดบนพื้น แล้วรอให้เสี่ยวจินมากินให้หมดก็พอ
หลัวจิ่งพยักหน้ารับ เขาตามสังเกตอยู่หลายวัน จึงรู้ลักษณะนิสัยของนกอินทรีทอง สัตว์ปีกที่อาศัยอยู่ในป่าไม่เคยผ่านการฝึกฝนมาก่อน มักมีนิสัยตื่นตัวและก้าวร้าวตุ่์ ดังนั้นไม่สามารถแหย่มันได้ง่ายๆ
แต่ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรสัตว์เหล่านี้ ถึงได้ใกล้ชิดกับเด็กสาวเจินจูผู้นี้เพียงผู้เดียวปานนั้น หลัวจิ่งทอดมองภาพด้านหลังของเด็กสาวที่ไกลออกไป ขมวดหว่างคิ้วเล็กน้อย
ภายในห้องมีกลิ่นหอมหนึ่งสายลอยไปมาเป็ระยะ เหมือนมีบ้างไม่มีบ้าง กลิ่นนี้เป็กลิ่นเดียวกันกับผ้าห่มและเครื่องนอนที่เขาคลุมตอนเพิ่งมาถึงบ้านสกุลหู หลัวจิ่งใบหน้าแดงเล็กน้อยฉับพลัน กลิ่นหอมสดชื่นเบาๆ ไม่ฉุนจมูก รู้สึกผ่อนคลายทำให้ร่างกายและจิตใจสงบลง
หลังจัดการสิ่งเหล่านี้เสร็จ เจินจูและหูฉางกุ้ยจึงตามอยู่ข้างหลังเสี่ยวเฮย เดินเข้าูเาไป
เชิงอรรถ
[1] คำสั่งของบิดามารดาและคำพูดของแม่สื่อ เปรียบเปรยถึง การแต่งงานที่เ้าบ่าวและเ้าสาวไม่ได้รู้จักกันมาก่อน หรือไม่ได้ชอบพอกัน แต่บิดามารดาเป็ผู้จัดการและแม่สื่อเป็ผู้แนะนำให้
[2] น้ำตาพรั่งพรูราวกับสายฝน หมายถึง ความทุกข์โศกและหวาดกลัวถึงที่สุด