‘สิ้นหนึ่งก้านธูปนี้ เป็เวลาตายของเ้า แต่เ้าจะเป็กรณียกเว้นในแดนมรณา...’
สิ้นเสียงอันน่าเกรงขาม มิได้ไถ่ถามนางว่ายินยอมไปกับท่านหรือไม่อย่างไร เป็ผีเสื้อตัวน้อยเสียเอง กระโจนกายเข้าหาบุรุษร่างสูงสง่าใต้กลุ่มเมฆา รวบสองมือเข้ากอดรอบคอบุรุษแปลกหน้า
เมื่อครู่นี้นางสังเกตเห็นั์ตาสีชาดเปล่งประกายเจิดจรัส อาภรณ์สีนิลปักทอด้วยด้ายสีทองเป็ลวดลายเมฆา ผ้าคาดเอวทั้งสองฝั่งผูกรวบไว้ข้างหน้า ทิ้งชายยาวลงไปต่ำกว่าข้อเข่า สลักด้วยด้ายสลับสีกันอ่านว่า ‘สีขาว[1]’ และ ‘สีดำ[2]’
ปีศาจน้อยเช่นนางพอรู้ว่าเทพผู้นี้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับความเป็และความตาย จากคำบอกเล่าผ่านสหายเทพของนาง มีผู้พบบุรุษเทพสวมอาภรณ์เช่นนี้ จึงยอมให้กลุ่มเมฆามืดมิดเยือกเย็นห้อมล้อมอาภรณ์เ้าสาว เดินทางข้ามภพภูมิในชั่วอึดใจ ก่อนที่เขาจะปล่อยนางให้เป็อิสระจากอ้อมแขน
นางคุกเข่าลงคำนับเทพอย่างไร้เกียรติปีศาจ ประสานมือไว้ข้างหน้า ก้มศีรษะนอบน้อม
“ถิงถิงคำนับท่าน... เทพมรณา จะเรียกว่าเป็เกียรติของข้าหรืออย่างไรดี ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ข้าตายอย่างไร?”
“บอกไม่ได้”
“ไหนท่านว่าข้าเป็กรณียกเว้นไงเ้าคะ?”
“เ้าจะกลับไปเผชิญชะตากรรมของเ้า หรือจะทำตามคำสั่งข้า...”
ใบหน้านิ่งขรึมดุดันของชายตรงหน้าสามารถหยุดลมหายใจของนางผู้รักการเอาตัวรอดไม่เป็รองใคร นางจะเป็หรือตายขึ้นอยู่กับท่านแล้ว นางก็ต้องทำตามคำสั่งเขาสิ!
ปีกสีม่วงอร่ามของนางลู่ไปกับแผ่นหลังเหมือนหูสุนัขในยามหวาดกลัว นางกลอกตาไปมา ส่ายหน้ามองไปโดยรอบห้องนอน เทียนสามเล่มบนโต๊ะไม้ตัวเล็กข้างตั่ง สลักลวดลายบุปผางาม ผีเสื้อตัวเล็กจิ๋วล้วนเป็งานฝีมือของนางผู้โปรดปรานการแกะสลักไม้ในยามว่าง
บนโต๊ะทำงานบริเวณมุมห้องมีตำรายุทธศาสตร์แห่งเมืองปีศาจ จำได้ว่านางเอ่ยขอมาจากแม่เฒ่าาุโ ไหนจะผ้าขาวบางที่ผูกบังรอบตั่งนอนปลิวไสวใต้เวหาอันเยียบเย็น ประตูไม้บานเลื่อนปรากฏท้องนภากว้างใหญ่ในเทวโลกอย่างที่นางเคยจินตนาการ
มันเป็ห้องนอนของนาง! อาจเป็ในอีกภพภูมิหนึ่ง ในเมื่อนางเดินทางมากับเทพมรณา ที่นี่น่าจะเป็เมืองมรณา เคยได้ยินว่ามันแยกจากภพภูมิปีศาจและเทวโลกโดยสิ้นเชิง
“ว่าอย่างไร? เ้าปีศาจผีเสื้อ... ข้าไม่มีเวลาให้เ้านิ่งคิดนาน ๆ”
“นับเป็วาสนาหากท่านจะไว้ชีวิตข้าเ้าค่ะ ตัวข้ายังไม่พร้อมไปปรโลก ท่านจะให้ข้าทำอะไร ขอให้บอกข้ามาเถิดท่าน ข้าทำได้ทุกอย่างทีเดียว”
เทพมรณาลอบยิ้มอย่างพึงพอใจ ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เอ่ยออกมาว่านาง ‘ฉลาด’ นั่นก็คงไม่ต่างจากคำเชยชม
เทพมรณาไม่คาดคิดว่าปีศาจน้อยจะยอมรับข้อตกลงอย่างง่ายดาย อาจเป็เพราะว่านางไม่รู้ตัวว่าจะพบเจอกับอะไร
ั์ตาสีชาดที่เยือกเย็นเฝ้ามองสตรีในอาภรณ์เ้าสาว หลังผลักนางด้วยเวทหยิน ร่างของนางทะลุผ่านช่องแสงสีทองจนชายอาภรณ์เกะกะลากพื้นของนางปลิวหายไป กรงเล็บสีนิลของพญามัจจุราชยกขึ้นกลางอากาศ คล้ายกับว่ากำลังจับหนังสือเก่าเล่มหนึ่งโดยไม่แตะต้อง ตาคมหลุบมองผ่านสันตำรา ลอยละล่องกลางอากาศในห้องนอน
“หน้าที่ของเ้าคือเข้าไปในตำราแห่งความตาย...”
“อยู่ดี ๆ ท่านก็ถีบหัวส่งข้าเข้ามาเนี่ยนะ! ไม่บอกล่วงหน้าสักนิด” นางโวยวายหน้าตาตื่นตระหนก เหลือกตามองโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ภายในตำราสีน้ำตาลเข้มที่เปล่งแสงได้รอบทิศทางของตัวมันเอง
มองผิวเผินอาจเป็ตำราเก่าธรรมดา มันกลับเป็สถานที่บรรจุวันเกิดและตายของเหล่ามนุษย์ เทพ มาร รวมถึงยมทูต
นางกำลังนึกถึงลานโล่งกว้าง สถานที่สำหรับการประลองยุทธของปีศาจในเมืองจิ้งจอกเงิน ในสมัยที่นางยังเล็กนัก นางซุกซนไปทั่ว นางเลยได้พบฮู่โหมวที่นั่น
ให้นางไปสู้กับจิ้งจอกน่ะหรือ อันที่จริงนางก็ไม่ได้อยากไปหรอก สู้ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า!
ความคิดของนางตอนตัดสินใจเข้าหาบุรุษแปลกหน้าพลันหายไปจากหัวสมอง นางมิอาจเชื่อถือยมทูต แม้รู้ดีว่าพวกเขาไม่โกหก เพียงแต่ฮู่โหมวจะทนเห็นนางตายต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร
หัวใจปีศาจสาวราวคลื่นพายุที่โหมกระหน่ำ นางเกิดข้อกังขาในมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างนางกับฮู่โหมว ทั้งยังลังเลใจ คิดแค้นใจปีศาจรอบกายนาง รังแต่จะหาผลประโยชน์จากนาง ขณะเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาเป็สีชาดน่ากลัว เต็มไปด้วยค่ายกลรอบทิศทาง อักขระสีทองรอบลูกแก้วสีขาวดำราวกับว่ามันชีวิตขึ้นมาเพื่อทำลายผู้บุกรุก ทุกแห่งหนเริ่มปรากฏเป็เปลวเพลิงพิโรธ
“ในกลุ่มอักขระสีทองของยมทูต[3] จะมีตัวเลขวันหมดอายุขัยของพวกเขา เ้าฝ่ากับดักพวกนั้นไปเพื่อเปลี่ยนมันให้ข้า จิติญญาที่เสียสละ”
“ข้าชื่อถิงถิง ท่านมาเรียกข้า ‘ฉ๊าง’ อะไรของท่านกันเล่า ให้เกียรติข้าบ้างซี!” นางแผดเสียงแหลมเล็กกลางค่ายกล ซึ่งนางจะต้องต่อสู้หรือหลบเลี่ยงมันให้พ้นเท่านั้น
ตามที่นางรับปากว่าจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลัง นางใช้ความพยายามเป็อย่างมาก ทุกศาสตร์แขนงวิทยายุทธ์ของนาง ะโหลบสิ่งกีดขวาง
กำแพงสูงชันที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระพร้อมบดอัดร่างของนางให้เละเป็ผุยผง แม้ว่านางคงไม่สิ้นใจตายในครั้งเดียวในเมื่อนางเป็ปีศาจ นางยังคงความเป็ะอยู่หลายส่วน นางกระโจนกายไปข้างหน้า ร่ายเวทกำบังของปีศาจเพื่อป้องกันตัวนาง หลังจากที่แผ่นฟ้ากว้างใหญ่กลายเป็ธนูสายฝน
เป้าหมายข้างหน้ายังคงไกลลิบตา อาภรณ์สีชาดของนางขาดวิ่น มันถูกฉีกดึงด้วยค่ายกล กำแพงหินที่กลายเป็ร่างมือกำปั้นทุบลงดินดังโครมคราม นางหลบไปทางซ้ายและขวา ส่งเสียงกรีดร้องอย่างขลาดกลัว
“กรี๊ดดดด...!”
“หยุดร้องโวยวาย วิ่งต่อไป เร็วเข้า”
การวิ่งหนีค่ายกลเพียงอย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์อันใด เทพมรณาออกคำสั่งกับนางผ่านสันตำรา ให้นางหลบเลี่ยงมันทางไหนอย่างไร เพื่อนางจะได้ไปถึงอักขระสีทอง นางได้ยินเพียงเสียงอันน่าเกรงขาม หาได้พบั์ตาสีชาดคู่นั้นไม่ ท่านเทพคงเกรี้ยวกราดนางอยู่เป็แน่แท้
กว่าที่นางจะค้นพบว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีอายุขัย ทั้งมนุษย์ เซียน ผู้ละสังขารย่อมต้องตายทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งเทพและปีศาจ เวียนวายตายเกิดเพื่อพบพานกันใหม่ เป็มิตรหรือศัตรูคงแล้วแต่วาสนา
เหล่ายมทูตถือกำเนิดขึ้นจากดวงิญญาผู้มีบาปมหันต์ พวกเขาจำต้องกลายเป็ผู้อุทิศตน ทำงานชดใช้ในโลกิญญานับหลายหมื่นปีและหมดอายุขัยลงเมื่อทำงานครบกำหนด มียมทูตใหม่มารับ่ต่อ เริ่มอายุขัยในปีที่หนึ่ง อักขระเบื้องหน้านางจะขยับไปอย่างต่อเนื่องจนหมดวาระ
วันซวยแล้วถิงถิง นางต้องมาล่วงรู้ความลับอันยิ่งใหญ่ของโลกแห่งความตาย!
ขืนนางทำงานไม่สำเร็จ เทพมรณาผู้นี้คงฆ่าปิดปากนาง...
ความหวาดกลัวพลันพุ่งเข้ามาในใจปีศาจสาว นางลุกลี้ลุกลนฟาดเวทหยิน มุ่งตรงไปยังอักขระสีทองอย่างกล้าหาญ นางเงยหน้ามองตามคำสั่งเสียงเคร่งขรึม เพื่อให้นางขยับตัวเลขอายุขัยของเหล่ายมทูต
[1] 白色 bái sè สีขาว
[2] 黑色 hēi sè สีดำ
[3] 冥差 Míng chà
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้