สี่ชีวิตเดินออกจากห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนตอนที่ห้างปิดทำการไปแล้ว เซี่ยหย่งเลี่ยงยังดูท่าทางอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง หมี่หลันเยว่จึงพาคณะเดินทางมายังร้านค้าหลักของเธอ เหล่าพนักงานกำลังเตรียมปิดร้าน เฉียนหย่งจิ้น หลินเผิงเฟย อันเสี่ยวหวู่ และตานจือ ก็เดินตามออกมาจากด้านใน แต่ก็ถูกหมี่หลันเยว่ดักไว้ได้เสียก่อน
“พวกพี่เลิกงานได้เลยนะคะ ฉันจะพาแขกมาดูตัวอย่างสินค้าข้างใน”
พนักงานสาวที่ชื่อว่า เผยจิ้ง เธอบอกลาหมี่หลันเยว่แล้วเดินจากไปคนเดียว หลินเผิงเฟยและเฉียนหย่งจิ้นจึงหันหลังกลับเข้าไปในร้านกับหมี่หลันเยว่ ส่วนอันเสี่ยวหวู่และตานจือก็คิดจะกลับเข้าไปในโกดัง แต่ถูกหมี่หลันเยว่ห้ามไว้
“คุณหมี่ ไม่นึกเลยว่ากำลังหลักของคุณจะอายุน้อยขนาดนี้ คนที่อายุมากที่สุดน่าจะเป็พวกพนักงานขายสินค้านั่นแหละ แต่ก็แค่สิบแปดสิบเก้าปี ส่วนพวกคนสำคัญของคุณนี่ คงไม่มีใครเกินสิบเจ็ดปีแน่ๆ”
เซี่ยหย่งเลี่ยงเพิ่งเคยเห็นทีมงานที่หนุ่มแน่นขนาดนี้เป็ครั้งแรก แถมยังบริหารธุรกิจได้ดีขนาดนี้อีกด้วย ทำให้เขาเปิดหูเปิดตาเป็อย่างมาก แิและวิธีการใหม่ๆ เหล่านี้ อาจเกี่ยวข้องกับอายุของพวกเขาด้วยสินะ ดูท่าว่าเขาคงต้องยอมรับความจริงว่าแก่แล้วจริงๆ เสียแล้ว
“คุณเซี่ย ฉันยังเด็ก คุณไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหมี่ๆ ตลอดก็ได้ค่ะ เรียกฉันว่าหลันเยว่เฉยๆ ก็ได้ค่ะ”
การถูกเรียกว่าคุณหมี่ ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกแปลกๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองยังห่างไกลจากคำว่า ‘คุณ’[1] อีกมาก ‘คุณ’ ในใจของเธอแตกต่างจาก ‘คุณ’ ที่คนเหล่านี้คิดอย่างสิ้นเชิง
ใน่ต้นยุค 80 เ้าของธุรกิจมักถูกเรียกว่าผู้จัดการ แต่นั่นเป็เพียงตำแหน่งเล็กๆ ‘คุณ’ ในใจของหมี่หลันเยว่คือประธานบริษัทในยุคหลัง ซึ่งฐานะทางการเงินของพวกเขานั้นเทียบไม่ได้กับผู้จัดการทั่วไปในยุคปัจจุบัน นั่นต่างหากคือเป้าหมายของเธอ ดังนั้น ตอนนี้เธอจึงไม่อยากให้ใครเรียกว่าคุณหมี่ เพราะเธอเกรงว่ามันจะลดความฮึกเหิมในการมุ่งสู่เป้าหมายของเธอ
“ได้ ฉันจะไม่เรียกเธอว่าคุณหมี่ แต่เธอก็ต้องไม่เรียกฉันว่าคุณเซี่ยแล้วเหมือนกัน ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะเจอกันเป็ครั้งแรก แต่เราก็เป็พันธมิตรทางธุรกิจกันแล้วนะ เธอยังเรียกคุณหนิวกับคุณจางว่าลุงเลยนะ อายุฉันก็พอๆ กับพวกเขา เรียกฉันว่าคุณลุงด้วยก็แล้วกัน จะได้รู้สึกเท่ากันหน่อย”
ข้อเรียกร้องนี้ก็ไม่ได้มากเกินไป ด้วยวัยขนาดนี้ สมควรที่จะให้หมี่หลันเยว่เรียกว่าลุงได้
“ถ้าอย่างนั้น ฉันขออนุญาตเรียกว่าคุณลุงเซี่ยนะคะ”
“จะถือวิสาสะอะไรกันนักหนา พูดแบบนั้นมันห่างเหินเกินไป”
“คุณลุงเซี่ย เชิญข้างในค่ะ”
เมื่อเปิดประตูร้านและเปิดไฟแล้ว หมี่หลันเยว่ก็ผายมือเชิญเซี่ยหย่งเลี่ยงเข้าไปในร้าน หนิวต้าลี่และจางเหรินซ่านเดินตามเข้าไปอย่างคุ้นเคย เพราะพวกเขามาที่นี่หลายครั้งแล้ว
“คุณลุงเซี่ย ลองเดินดูรอบๆ ก่อนนะคะ แล้วค่อยมานั่งตรงนี้”
ภายในร้านค้าหลักในขณะนี้ มีเก้าอี้สี่ตัววางเรียงกันไว้ด้านข้างหน้าต่างเป็ประจำ แต่เนื่องจากพื้นที่เล็กเกินไป จึงไม่มีที่สำหรับวางโต๊ะน้ำชา เก้าอี้สี่ตัวจึงวางเรียงกันอย่างแออัด
“ได้ ฉันจะเดินดูก่อน”
เซี่ยหย่งเลี่ยงเดินสำรวจร้านเล็กๆ โดยไม่รีรอ พื้นที่ร้านเล็กมาก เมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้าเฉียนคุน ที่นี่ยังไม่ถึงหนึ่งในสามของพื้นที่เชื่อมต่อกันที่นั่นเลย
“สมกับที่คุณหนิวบอกจริงๆ ว่าพื้นที่ไม่ใหญ่เท่าไหร่ นับถือเธอจริงๆ ที่สามารถพัฒนาจากพื้นที่เล็กๆ นี้ไปสู่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ได้ ความกล้าหาญแบบนี้ไม่ใช่คนธรรมดาจะมีได้ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังอายุน้อยขนาดนี้ เมื่อเทียบกับเธอแล้ว ฉันที่เป็ผู้ใหญ่ยังสู้ความเด็ดขาดของเธอไม่ได้เลย”
หมี่หลันเยว่จะยอมรับคำเยินยอที่โจ่งแจ้งขนาดนี้ได้อย่างไร
“ลุงเซี่ย คุณชมฉันเกินไปแล้วค่ะ ฉันยังมีข้อบกพร่องอีกมากมาย ลุง ลุงหนิว และลุงจางต่างหากที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า ฉันยังต้องเรียนรู้อีกมากค่ะ”
“พวกเธอสองคนไม่ต้องยกยอกันไปมาแล้ว มานั่งลงก่อน เรามาคุยเื่ที่ตั้งใจจะทำกันค่ะ”
หนิวต้าลี่เรียกทั้งสองคนมานั่ง เก้าอี้สี่ตัวเรียงราย สี่ชีวิตเริ่มหารือเกี่ยวกับสินค้าที่เห็นในวันนี้ รวมถึงเื่อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหลังจากได้รับสินค้าแล้ว
เหตุผลที่ต้องหารือกันเกี่ยวกับเื่หลังจากได้รับสินค้าแล้วก็คือ หนิวต้าลี่และเซี่ยหย่งเลี่ยง้าให้หมี่หลันเยว่ช่วยวางแผนการขายสินค้าบนชั้นวาง พวกเขาเห็นว่าหมี่หลันเยว่ทำได้ดีมากในด้านการค้าปลีกในห้างสรรพสินค้า ไม่ใช่แค่พนักงานเท่านั้น การจัดวางสินค้าและการออกแบบสภาพแวดล้อมก็ดึงดูดสายตาเป็อย่างมาก
ดังนั้น สองหนุ่มรุ่นใหญ่จึงไม่ถือตัวที่จะสอบถาม ในส่วนของจางเหรินซ่านนั้น เขาเพียงแค่รับฟังและจดจำทุกสิ่งไว้ในใจ เขาไม่ต้องรีบร้อน เพราะหมี่หลันเยว่จะให้การออกแบบโดยละเอียดแก่เขาโดยตรง เขาไม่ต้องเปลืองสมองไปกับการเปลี่ยนแปลงสถานที่
หมี่หลันเยว่ก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เธอพยายามบอกทุกอย่างที่คิดได้แก่พวกเขา นี่คือสถานการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ ธุรกิจเสื้อผ้าของพวกเขาขายดีขึ้น กำไรของเธอก็จะมากขึ้นเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น ห้างสรรพสินค้าของเธอก็เปิดให้คนทั่วไปอยู่แล้ว แม้ว่าเธอจะไม่พูดอะไร เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นๆ ก็จะเรียนรู้ไปเองอยู่ดี ดังนั้น สู้ทำดีกับลูกค้าของตัวเองเสียั้แ่ตอนนี้ ให้พวกเขาเป็หนี้บุญคุณของเธอ
“พอหลันเยว่ชี้แนะแบบนี้ ฉันก็รู้สึกเข้าใจขึ้นมาเลย ดูเหมือนว่าการตกแต่งก็เป็ศาสตร์อย่างหนึ่งเหมือนกัน ถ้าเราทำให้ห้างสรรพสินค้าสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น การตกแต่งก็เป็สิ่งที่ละเลยไม่ได้ การทาสีขาวอย่างเดียว ดูเหมือนจะล้าสมัยไปแล้ว”
ความรู้สึกของหนิวต้าลี่ทำให้หมี่หลันเยว่หรี่ตาแล้วยิ้มออกมา เธอ้าให้ผู้จัดจำหน่ายภายใต้การดูแลของเธอ ตกแต่งร้านตามความคิดของเธอในอนาคต เพื่อให้ร้านค้าในเครือของเธอเป็อันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแท้จริง ไม่ว่าคุณจะเห็นป้ายร้านในเมืองไหน คุณก็จะจำได้ทันทีว่านี่คือร้านเสื้อผ้าหลันเยว่
ในขณะที่สี่ชีวิตกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยที่นั่งอยู่ที่โต๊ะข้างประตู จู่ๆ ก็ลุกขึ้นทักทาย
“คุณหมี่ มาแล้วเหรอครับ”
หมี่หลันเยว่เงยหน้าขึ้น ก็เห็นพี่ชายเดินเข้ามาพร้อมกับพ่อ
หมี่หลันเยว่เป็คนบอกให้พี่ชายไปรับพ่อ เธอ้าเลี้ยงต้อนรับหนิวต้าลี่และจางเหรินซ่านให้ดีๆ แต่เธอเป็เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ก็ไม่สามารถดูแลการเลี้ยงรับรองได้ดี ดังนั้น เธอจึงให้พี่ชายไปรับพ่อมา แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะมีเซี่ยหย่งเลี่ยงมาอีกคน ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกว่าการตัดสินใจของเธอเหมาะสมมากยิ่งขึ้นไปอีก
“พ่อ มาแล้วเหรอคะ เร็วค่ะ หนูจะแนะนำให้รู้จักกับทุกคน”
หมี่หลันเยว่รีบลุกขึ้น ยื่นแขนคล้องแขนพ่อ พาเขามาข้างหน้า แต่ก่อนที่เธอจะได้แนะนำ หนิวต้าลี่ก็ยื่นมือออกไปจับมือกับหมี่จิ้งเฉิงแล้ว
“คุณหมี่ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะครับ”
เขาจับมืออย่างแ่าแล้วเขย่า หมี่จิ้งเฉิงก็ทักทายอย่างกระตือรือร้นเช่นกัน
“สวัสดีครับ คุณหนิว พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
“เอ๊ะ พวกคุณเจอกันั้แ่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”
จางเหรินซ่านรู้สึกประหลาดใจมาก สองครั้งล่าสุดที่เขามาที่นี่กับหลันเยว่ เขามากับหนิวต้าลี่ตลอด ไม่เห็นหนิวต้าลี่ได้เจอกับบอสใหญ่เื้ัคนนี้เลย
“ผมเคยมาครั้งหนึ่งเมื่อปลายปีก่อน ก็คือตอนที่สั่งสินค้าเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ ไม่อย่างนั้น ตอนนี้ผมจะขายอะไรอยู่ล่ะ ชั้นวางคงจะว่างเปล่าไปนานแล้ว โชคดีที่ได้มาครั้งหนึ่งเมื่อปลายปีก่อน ได้เจอคุณหมี่”
หนิวต้าลี่รู้สึกภูมิใจที่ได้รู้จักกับพ่อของหมี่หลันเยว่ก่อน
“ที่แท้แอบมานี่เอง ไม่บอกกันเลยนะ”
จริงๆ แล้วเื่การสั่งสินค้าก็ต้องขึ้นอยู่กับความตั้งใจของแต่ละคน เขาเริ่มสั่งสินค้าไปแล้ว หนิวต้าลี่คงจะไม่ลากเขามาด้วยโดยเฉพาะหรอก เขาพูดแบบนี้ก็แค่พูดเล่นๆ ทุกคนเข้าใจ
“คุณหมี่ สวัสดีครับ ผมชื่อจางเหรินซ่าน เป็ลูกค้าของลูกสาวคุณเหมือนกัน ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ตอนที่จางเหรินซ่านไปจับมือกับหมี่จิ้งเฉิงนั้น เห็นได้ชัดว่าสุภาพมากกว่า เมื่อเทียบกับหนิวต้าลี่ เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่สนิทสนมกันเท่าไหร่
“ผมก็ยินดีที่ได้รู้จักคุณเช่นกัน ผมชื่อหมี่จิ้งเฉิง ขอบคุณที่สนับสนุนเสื้อผ้าหลันเยว่”
หมี่จิ้งเฉิงเป็ถึงหัวหน้าแผนกของโรงเรียน เขาเก่งเื่การสื่อสารกับภายนอก น้ำเสียงจริงใจและทุ้มนุ่ม ไม่สูงไม่ต่ำ มีเสน่ห์ ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสบายใจ
“ผมชื่อเซี่ยหย่งเลี่ยง ครั้งนี้เป็ครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับหมี่หลันเยว่ แต่ผมมองเห็นศักยภาพในการร่วมมือกันของพวกเรา หมี่หลันเยว่เป็คนหนุ่มที่มีอุดมการณ์และมีหัวคิด อนาคตของเธอไร้ขีดจำกัด ผมหวังว่าจะได้ขึ้นรถเที่ยวนี้ของหลันเยว่ เพื่อขยายธุรกิจของตัวเองให้ใหญ่ขึ้นด้วย”
เมื่อมีคนมองลูกสาวของเขาในแง่ดีขนาดนี้ หมี่จิ้งเฉิงก็มีความสุขแน่นอน หลังจากที่สี่คนได้เจอกันแล้ว หมี่หลันเยว่ก็แนะนำพี่ชายและเฉียนหย่งจิ้น หลินเผิงเฟยให้เซี่ยหย่งเลี่ยงรู้จัก หมี่จิ้งเฉิงจึงเป็เ้าภาพพาคนเหล่านี้ออกไปทานอาหาร เซี่ยหย่งเลี่ยงและคนอื่นๆ ปฏิเสธอยู่หลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดก็ปฏิเสธไม่ได้ เพราะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว สุดท้ายก็ไป
บนโต๊ะอาหาร เหล่าหนุ่มใหญ่คุยกันถูกคอมากขึ้น ไม่นานก็สนิทกัน หนิวต้าลี่จึงเริ่มปรึกษาหารือกับหมี่หลันเยว่เกี่ยวกับธุรกิจสินค้าคุณภาพสูง เขาก็อยากจะทำเช่นกัน แต่เขาอยากรู้ว่า ถ้าตกแต่งร้านให้สวยงามแล้ว ยอดขายจะสูงขึ้นจริงหรือไม่
ตอนนี้เขาทำแต่สินค้าทั่วไป ถึงแม้จะขายสินค้าจากห้องเสื้อหลันเยว่ เขาก็แค่ตกแต่งพื้นหลังมากกว่าเสื้อผ้าอื่นๆ ไม่ได้ปรับปรุงอะไรเลย ถ้าต้องจัดการพื้นที่เพื่อตกแต่งให้สวยงามโดยเฉพาะ เขาต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าจะเข้ากับร้านเขาหรือไม่
“ลุงหนิว อย่าเพิ่งรีบทำสินค้าชั้นนำเลยค่ะ รอดูลุงเซี่ยทำก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยมชม ถ้าคุณลุงว่าดีแล้วค่อยทำก็ได้ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าหนิวต้าลี่ลังเล หมี่หลันเยว่ก็ไม่ได้แนะนำเขา
บางเื่ ถ้าเขาตัดสินใจเองไม่ได้ หมี่หลันเยว่ก็ไม่อยากเป็คนที่ช่วยเขาตัดสินใจ เพราะสถานการณ์นี้แตกต่างจากคุณลุงจาง คุณลุงจางตัดสินใจไม่ได้ ก็เลยให้หมี่หลันเยว่รับผิดชอบทั้งหมด โอกาสสำเร็จของหมี่หลันเยว่จึงมีมากกว่า
แต่คุณลุงหนิวไม่เหมือนกัน ถ้าเธอให้คำแนะนำแล้วเขาไม่ได้ทำตามทั้งหมด แต่ฟังแค่ครึ่งเดียวแล้วทำแค่ครึ่งเดียว โอกาสที่จะล้มเหลวก็สูงเกินไป ดังนั้น เว้นแต่เขาจะอยากฟังเธอทั้งหมด หมี่หลันเยว่ก็คิดว่าอย่าฟังความคิดเห็นของเธอเลย ปล่อยให้เขาทำตามใจชอบดีกว่า
ทางด้านหมี่จิ้งเฉิงกำลังคุยอะไรสนุกสนานกับเซี่ยหย่งเลี่ยงและจางเหรินซ่าน สามคนหัวเราะเสียงดัง หนิวต้าลี่ก็รู้สึกว่าเื่นี้ต้องคิดทบทวนอีกที ก็เลยไม่ได้พูดกับหมี่หลันเยว่อีก แล้วก็ถูกการสนทนาของหมี่จิ้งเฉิงดึงดูดไปในไม่ช้า
ต้องบอกว่าหมี่จิ้งเฉิงมีความสามารถในการสื่อสารกับผู้คนจริงๆ ความสามารถของเขาเองมีบทบาทสำคัญ ไม่ว่าหัวข้อการสนทนาจะไปในทิศทางไหน เขาก็จะมีการตอบสนองที่ชาญฉลาด ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงข้อดีของการอ่านหนังสือเยอะๆ
อาหารมื้อนี้ ทุกคนมีความสุข หมี่จิ้งเฉิงต้อนรับทุกคนอย่างสนุกสนาน โดยที่ไม่ต้องคะยั้นคะยอให้ดื่มมากนัก ทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกภูมิใจ พ่อของเธอไม่ได้เก่งเปล่าๆ ความฉลาดในการโต้ตอบทำให้หมี่หลันเยว่เข้าใจอะไรมากขึ้น การทานอาหารกับผู้ใหญ่แตกต่างจากการทานอาหารกับเด็กๆ จริงๆ บรรยากาศที่กลมเกลียวเป็ประโยชน์ต่อการสื่อสารของทุกคน และยังช่วยเสริมสร้างความร่วมมือในอนาคตอีกด้วย
เชิงอรรถ
[1] 总 หรือ คุณ ในที่นี้ จะแปลว่า ท่านประธาน
