สามชั่วยามต่อมา เซียวหลิงอวิ๋นได้เลือกวิชาบำเพ็ญเพียรหนึ่งเล่มและวิชาิญญาสองเล่มที่เข้าคู่กันให้กับชิวเทียนฉี่ จากนั้นก็หันกลับไปทุ่มเทให้กับตำราวิชาบำเพ็ญเพียรและวิชาิญญาที่คัดลอกด้วยลายมืออีกหลายหมื่นเล่มต่อ
ชิวเทียนฉี่ที่ลงมาจากชั้นบนได้จ่ายแต้มสำนักยี่สิบห้าแต้มเพื่อแลกกับวิชาิญญาที่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเล่ม จากนั้นก็โบกมืออีกครั้งเพื่อจ่ายแต้มสำนักให้อีกห้าสิบแต้มให้กับผู้เฝ้าหอวิชา เพื่อใช้เป็ค่าใช้จ่ายในการคัดลอกคัมภีร์วิชาบำเพ็ญเพียรและวิชาิญญาของเซียวหลิงอวิ๋น ซึ่งเวลาที่ปราศจากค่าใช้จ่ายในการเข้าหอวิชาคือสี่ชั่วยาม หลังจากนั้นจะต้องจ่ายเพิ่มหนึ่งแต้มสำนักต่อทุกหนึ่งชั่วยามที่เกินมา
ด้วยความใจป้ำนี้ของชิวเทียนฉี่ ทำให้ผู้เฝ้าหอวิชาต้องตกตะลึง
เดิมทีคิดว่าเป็แค่คนจนที่โง่เขลา แต่กลับกลายเป็เศรษฐีโง่ที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย
แต้มสำนักนั้นมีค่ามากขนาดไหน ผู้ใช้พลังิญญาขั้นนสูงหลายคนก็ยังได้แค่เพียงเจ็ดสิบถึงแปดสิบแต้มสำนักต่อปีเอง
และตามกฎใหม่ล่าสุดที่เ้าสำนักได้ประกาศ วิชาิญญาระดับเหลืองขั้นสูงในรูปแบบแผ่นหยกจะมีมูลค่าห้าสิบแต้มสำนัก ส่วนราคาของตำราที่คัดลอกด้วยลายมือจะลดลงเหลือยี่สิบห้าแต้มสำนัก
แต่คนคนนี้กลับใช้แต้มสำนักถึงห้าสิบแต้มเพียงเพื่อให้สหายของเขาได้อยู่ข้างในต่อได้อีกห้าสิบชั่วยาม
เขาไม่รู้จริงๆ หรือว่าศิษย์แต่ละคนจะได้รับสิทธิให้เข้าไปเลือกดูวิชาบำเพ็ญเพียรและวิชาิญญาได้สี่ชั่วยามต่อเดือนน่ะ
หรือว่าสี่ชั่วยามมันยังไม่เพียงพอสำหรับการเลือกวิชาบำเพ็ญเพียรและวิชาิญญาที่เหมาะสม
หรือต่อให้ยังเลือกไม่ได้ก็ตาม แต่ก็รออีกสิบกว่าวันแล้วค่อยกลับมาก็ได้มิใช่หรือ
เป็คนที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเสียจริง
ผู้เฝ้าหอวิชาคนนี้ ได้เฝ้าหอวิชาของสำนักชั้นนอกมาเป็เวลามากกว่าแปดสิบปีแล้ว นี่เป็ครั้งแรกของเขาที่ได้เห็นคนโง่ที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้
ชิวเทียนฉี่ไม่สนใจว่าผู้เฝ้าหอวิชาจะคิดเช่นไร ตัวเขาถือวิชาบำเพ็ญเพียรหนึ่งเล่มกับวิชาิญญาสองเล่ม เดินกลับออกไปอย่างกระฉับกระเฉง ตัวเขายังมีแต้มสำนักเหลืออีกมากมาย ที่ป้ายหยกประจำตัวของเขายังมีแต้มสำนักเหลืออยู่อีก หนึ่งพันเจ็ดร้อยยี่สิบห้าแต้ม และที่สำคัญที่สุดคือชิวเทียนฉี่รู้ดีว่าการติดสอยห้อยตามเซียวหลิงอวิ๋นนั้น ทำให้เขาไม่ต้องกังวลเื่แต้มสำนักเลย
และแล้วห้าวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในวันที่แสงแดดจ้าอีกวันหนึ่ง ผู้เฝ้าหอวิชานอนอยู่บนเก้าอี้โยก และอาบแดดอย่างสบายใจ ตัวเขาพึมพำออกมา “นี่ก็ผ่านมาตั้งห้าวันแล้ว ยังไม่ออกมาอีกหรือ เป็คนหนุ่มอายุน้อยแต่กลับสามารถตั้งใจอ่านตำราบำเพ็ญเพียรและวิชาิญญาที่คัดลอกด้วยลายมือได้นานขนาดนี้เชียว หายากยิ่ง หายากยิ่ง เอาเป็ว่าข้าจะไม่เก็บแต้มสำนักที่เกินเวลาของเ้าแล้ว เ้าหนุ่มน้อย เ้าจะอยู่นานเท่าไรก็อยู่ไปเถอะ”
ในขณะที่กำลังจะหลับตาอีกครั้ง ก็มีเสียงดังก้อง คนคนหนึ่งรีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา พอผู้เฝ้าหอวิชามองดู ก็พบว่าไม่ใช่เศรษฐีโง่เมื่อห้าวันก่อน
“ผู้าุโ ศิษย์พี่ของข้ายังอยู่ข้างในใช่หรือไม่”
หลังจากนั้นสักพักก็เห็นทั้งสองคนรีบวิ่งออกไป ผู้เฝ้าหอวิชาพึมพำอีกครั้ง “ที่แท้เ้าหนุ่มน้อยคนนี้ก็คือคนที่ลือกันว่าเป็อัจฉริยะที่เกิดมาสักครั้งในรอบหมื่นปี ด้วยพลังยุทธ์ระดับนักยุทธ์ระดับเจ็ด ก็ได้รับการยอมรับจากพวกท่านอาจารย์ให้เป็ศิษย์ก้นกุฏิแล้ว ผู้าุโหลายคนต่างก็ชื่นชอบและเอ็นดูเ้าหนุ่มน้อยคนนี้ แต่ไฉนถึงได้ต้องทำเื่ให้มันยุ่งยากอย่างการเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ก้นกุฏิในวันพรุ่งนี้ และต้องยอมรับการท้าทายจากผู้ใช้พลังิญญาขั้นต้นด้วย หากทำได้สำเร็จจึงจะสามารถเข้าไปแดนเสี่ยวหลิงเจี้ยนได้”
การคัดเลือกศิษย์ก้นกุฏินั้น ตัวเขาจะต้องทำการเอาชนะผู้ท้าชิงหลายคนที่ขึ้นมาเป็ผู้ใช้พลังิญญาในครั้งนี้ จึงจะสามารถเข้าไปในแดนเสี่ยวหลิงเจี้ยนได้
เซียวหลิงอวิ๋นยิ้ม
นอกจากฉินหรูเยียนแล้ว อย่าว่าแต่ผู้ใช้พลังิญญาที่เพิ่งบรรลุเลย ต่อให้เป็ศิษย์เก่าของสำนักชั้นนอกที่เปิดขดพลังิญญาได้สามขดก็ยังไม่ใช่คู่มือสำหรับเขาเลย
ยิ่งไปกว่านั้น พลังยุทธ์ของเขาในเวลานี้ได้บรรลุชั้นของนักยุทธ์ระดับแปดไปครึ่งตัวแล้ว ตัวเขาสามารถที่จะบรรลุได้ทุกเมื่อ ขอเพียงบรรลุได้สำเร็จ แม้แต่หม่าิหย่วนที่เปิดขดพลังิญญาได้ห้าขด หากต้องต่อสู้กันถึงตายแล้ว เซียวหลิงอวิ๋นก็ยังมั่นใจว่าสุดท้ายแล้วผู้ชนะก็ยังคงเป็ตัวเขาเอง
…
เมื่อทั้งสองคนได้เดินทางกลับมาถึงหอยาวิเศษ ก็มีชายอ้วนและหญิงสาวสี่คนรออยู่ก่อนแล้ว!
หลังจากที่รักษาพลังยุทธ์ระดับปรมาจารย์ขั้นสูงให้คงที่ได้สำเร็จ และเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าหอยาวิเศษอย่างเป็ทางการ ใบหน้าอ้วนท้วนของจ้าวเหวินจัวก็แสดงให้ถึงความสุขอย่างเต็มเปี่ยม! ส่วนหญิงสาวทั้งสี่คนนั้นมีสามคนที่ตัวเขารู้จักดีอยู่แล้ว มีเพียงหญิงสาวขายาวข้างๆ ฉินหรูเยียนเท่านั้นที่เขาไม่รู้จัก!
“หม่าิฮุ่ย ลูกพี่ลูกน้องของิหย่วน ่นี้เ้าิหย่วนเอาแต่พูดชื่อของศิษย์น้องหลิงอวิ๋น อยู่ข้างๆ หูจนหูแทบหนวกอยู่แล้ว ในวันนี้ได้พบตัวจริงเสียที!” หญิงสาวขายาว แม้ว่ารูปโฉมจะไม่งดงามเท่ากับหญิงสาวแซ่ฉินกับแซ่จ้าว แต่ขาที่เรียวยาวของนางก็ทำให้นางได้เปรียบไม่น้อย นางเดินเข้ามาหาเซียวหลิงอวิ๋น และยื่นมือทักทายเขาอย่างกระฉับกระเฉง
...
วันต่อมา ที่ลานกว้างสำนักชั้นนอก เวทีประลองขนาดใหญ่สามเวทีตั้งตระหง่าน
เหล่าผู้าุโและคนใหญ่คนโตทั้งหลายได้เดินทางมาถึงสถานที่ประลองกันั้แ่เช้าตรู่แล้ว! การคัดเลือกศิษย์ก้ดนกุฏิอย่างเปิดเผยได้เริ่มต้นขึ้นในวันนี้ และกระบวนการคัดเลือกทั้งหมดจะกินเวลาถึงสามวัน!
เวทีประลองทั้งสามเวทีถูกจัดวางเรียงเอาไว้เป็แถวเดียว โดยพวกเซียวหลิงอวิ๋นทั้งสี่คนจะอยู่บนเวทีหนึ่ง ศิษย์สำนักชั้นนอกจะอยู่เวทีหนึ่ง และศิษย์สำนักชั้นในจะอยู่อีกเวทีหนึ่ง!
เก้าอี้ศิษย์ก้นกุฏิเก้าที่ ซึ่งนอกเหนือจากพวกเซียวหลิงอวิ๋นที่ได้ไปสี่เก้าอี้แล้ว เก้าอี้ซึ่งเหลืออีกห้าที่ หลังจากที่ได้ทำการปรึกษาหารือกันแล้ว ในที่สุดก็มอบให้กับศิษย์สำนักชั้นนอกสองเก้าอี้ และศิษย์สำนักชั้นในสามเก้าอี้
ใช้กติกาง่ายๆ แต่เกณฑ์ผ่านค่อนข้างสูง!
คุณสมบัติผู้ที่จะเข้ามาแย่งชิงเก้าอี้จากพวกเซียวหลิงอวิ๋นทั้งสี่คนได้นั้นมีอยู่แค่เพียงสองประเภท ประเภทหนึ่งคือศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเปิดเส้นลมปราณได้สำเร็จในปีนี้ อีกประเภทหนึ่งคือศิษย์สำนักชั้นนอกอายุไม่เกินยี่สิบปี และมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับผู้ใช้พลังิญญาขั้นต้น
ส่วนสองเก้าอี้ของศิษย์สำนักชั้นนอกนั้น เก้าอี้หนึ่งจะถูกมอบให้กับศิษย์ที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับผู้ใช้พลังิญญาระดับกลาง ส่วนอีกเก้าอี้จะถูกมอบให้กับศิษย์ที่มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับผู้ใช้พลังิญญาสูง โดยเก้าอี้แรกกำหนดให้มีอายุได้ไม่เกินยี่สิบสี่ปี ส่วนเก้าอี้หลังกำหนดให้มีอายุได้ไม่เกินสามสิบปี!
ส่วนสามเก้าอี้ของศิษย์สำนักชั้นในนั้น มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือ ต้องมีพลังยุทธ์ขั้นต่ำอยู่ในระดับมหาปรมาจารย์ิญญาขึ้นไป
เงื่อนไขเหล่านี้เป็เพียงเงื่อนไขพื้นฐานข้อแรกที่ต้องมีสำหรับผู้ที่้ารับสิทธิ์เข้ามาท้าทาย ส่วนเงื่อนไขที่จะตามมาจะอยู่บนเวทีประลอง โดยจะทำการคัดเลือกผู้ชิงเก้าอี้ที่เก่งที่สุดหรือผู้ที่สามารถเอาชนะผู้ที่เก้าอี้อยู่แล้วได้!
อย่างเช่นพวกเซียวหลิงอวิ๋นทั้งสี่คนที่เก้าอี้อยู่แล้ว หากมีคน้าเข้ามาแทนที่พวกเขา ก็ต้องเอาชนะพวกเขาบนเวทีประลองต่อหน้าสาธารณชน จึงจะสามารถเข้ามาแทนที่ได้! ดังนั้น การกำหนดตัวผู้ท้าชิงนั้นจะมีได้สูงสุดแค่สามคนต่อเก้าอี้! ดังนั้นสี่เก้าอี้นี้จึงมีผู้ท้าชิงมากสุดแค่เพียงสิบสองคนเท่านั้น!
โดยจะคัดเลือกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากในบรรดาผู้สมัครสิบสองคนมาสู้กับพวกเซียวหลิงอวิ๋นทั้งสี่คน!
ส่วนอีกห้าเก้าอี้ที่เหลือ เนื่องจากยังไม่ได้กำหนดคนเอาไว้ล่วงหน้า จึงจะต้องทำการคัดเลือกผู้ที่มีสิทธิ์ชิงเก้าอี้ทั้งห้าก่อน จากนั้นจึงเลือกเฟ้นหาผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด และคนที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุดจะได้เก้าอี้ไปครอง!
“ศิษย์พี่หรูเยียนและศิษย์พี่หนีอิ่งได้เก้าอี้แน่ๆ อยู่แล้ว ส่วนความสามารถด้านการต่อสู้ของศิษย์น้องเซียวยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย แน่นอนว่าย่อมได้เก้าอี้ศิษย์ก้นกุฏิมาครอง มีเพียงข้าเท่านั้นที่เกรงว่าจะไม่สามารถรักษาเก้านี้ไว้ได้!” ยังไม่ทันจะได้ขึ้นเวที หยางลู่ก็ถอนหายใจออกมาแล้ว!
“ลู่ลู่ ยังไม่ถึงตาของเ้าได้ขึ้นเวทีเลย เ้ากลับพูดให้กำลังใจคนอื่น และทำลายขวัญกำลังใจตัวเองเสียแล้ว ไม่เป็ไร ข้าคอยเอาใจช่วยเ้าอยู่นะ!” ฉินหรูเยียนตบไหล่หอมของหยางลู่และพูดให้กำลังใจนาง!
เซียวหลิงอวิ๋นและจ้าวหนีอิ่งไม่ได้ตอบอะไร เพราะหลังจากที่หยางลู่ได้ใช้ลูกไม้ ‘สารภาพรักต่อหน้าสาธารณชน’ ในวันสุดท้ายของการประลองรอบสิบคนของสำนักเขตใต้ ความรู้สึกประทับใจในตัวหญิงสาวเ้าเล่ห์คนนี้ของเซียวหลิงอวิ๋นลดลงอย่างมาก!
“ข้ายิ่งไม่ห่วงเื่ความเก่งกาจของเซียวหลิงอวิ๋นเลย!” แล้วฉินหรูเยียนก็ใช้มืออันเรียวงามของนางตบไหล่เซียวหลิงอวิ๋นอย่างแรง หัวเราะออกมาเสียงดัง!
แต่ฝ่ามือที่ตบลงมานั้นทำเอาเซียวหลิงอวิ๋นถึงกับยิ้มไม่ออก แสร้งทำเป็ว่าถูกตบจนได้รับาเ็ “หักแล้ว หักแล้ว ฝ่ามือสลายพลังหักกระดูกของศิษย์พี่หญิงได้ทำลายวรยุทธ์ของข้าไปเก้าส่วนแล้ว อย่าว่าแต่ผู้ใช้พลังิญญาขั้นต้นเลย ต่อให้เป็นักยุทธ์ระดับล่างข้าก็สู้ไม่ได้แล้ว!”
คิกคักๆ! ด้วยท่าทางที่น่าขันและการแสดงออกที่เกินจริงของเซียวหลิงอวิ๋น ทำให้หญิงสาวทั้งสามหัวเราะออกมาทันที!
ในขณะที่ทั้งสี่คนกำลังพูดคุยกันอย่างชื่นมื่นอยู่นั้น เสียงหนึ่งดังขึ้น “หนีอิ่ง เ้าขึ้นมาทดสอบก่อน!”
จ้าวหนีอิ่งกระโจนตัวขึ้นไปบนเวทีประลอง หม่าหัวอวิ๋นจึงรวมพลังปราณและเปล่งเสียงออกมา “สาวน้อย เ้าจงพลังเจตจำนงกระบี่ ข่มขวัญพวกลูกกระต่ายเหล่านี้ให้กระเจิงไปเลย!”
ทันใดนั้นดวงตาหงส์เพลิงของจ้าวหนีอิ่งก็จ้องมองไปที่ม่านจอแสงสีเงินที่มีความสูงขนาดสองคนต่อกันในระยะห่างออกไปสามสิบหมี่ตรงหน้านางอย่างสงบเยือกเย็น!
พลังิญญาในกายเริ่มไหลเวียนอย่างรุนแรง!
