ถึงแม้การที่เยว่เฟิงเกอจะยังไม่ยินดีมอบตัวนางให้ม่อหลิงหานจะทำให้เขารู้สึกผิดหวัง แต่เขาก็หาใช่บุรุษที่คิดเล็กคิดน้อย ในเมื่อเยว่เฟิงเกออยากไปเดินเล่น เขาก็ยินดีพานางไป
คนทั้งสองเดินอยู่นาน ก่อนจะไปถึงยังถนนของอร่อยสายนั้น
เมื่อเยว่เฟิงเกอกินของว่างไปได้สองสามอย่าง ก็ซื้อขนมอีกสองสามชนิดติดไม้ติดมือไป นางบอกว่าจะเอาไว้กินเล่นพรุ่งนี้
ถึงแม้ม่อหลิงหานจะยังตีหน้าขรึมเช่นเดิม แต่ตอนที่ต้องจ่ายเงินกลับไม่มีท่าทีอิดออด
คนทั้งสองยังคงเดินเล่นต่ออีกพักหนึ่ง และเป็เยว่เฟิงเกอที่พูดอยู่คนเดียวตลอดทาง ส่วนม่อหลิงหานเป็ฝ่ายฟัง ไม่พูดไม่จาสักประโยคเดียว
และเพียงเพื่อให้ม่อหลิงหานอารมณ์ดี เยว่เฟิงเกอจึงตั้งใจมาที่ร้านเครื่องประดับแล้วเลือกปิ่นหยกให้เขาอันหนึ่ง
เยว่เฟิงเกอเขย่งปลายเท้าไปปักปิ่นบนเรือนผมให้ม่อหลิงหาน จากนั้นเฝ้ามองใบหน้าเขาที่เดิมทีก็หล่อเหลาเอาการอยู่แล้ว พอยามนี้ปักปิ่นหยกนี้ลงไปก็ราวกับยิ่งส่งเสริมให้เขาเปล่งประกายมากขึ้น
เยว่เฟิงเกออดชมออกมาไม่ได้ว่า “ท่านอ๋องหล่อจังเลย”
เมื่อม่อหลิงหานถูกเอ่ยชมอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย
เขาเองก็ตั้งใจเลือกต่างหูให้เยว่เฟิงเกอคู่หนึ่ง ต่างหูคู่นั้นทำมาจากหยกเช่นกัน แต่มีขนาดกระจุ๋งกระจิ๋งน่ารักกำลังดี
หลังจากเขาช่วยเยว่เฟิงเกอสวมต่างหูแล้ว ต่างหูชิ้นนั้นก็ยิ่งขับเน้นความงามออกมาจากใบหน้าที่เดิมทีก็งดงามอยู่แล้วของนาง
“ท่านอ๋อง ข้าสวมต่างหูคู่นี้แล้ว งดงามหรือไม่เพคะ? ” เยว่เฟิงเกอกะพริบตากลมโตมองม่อหลิงหาน
แน่นอนว่าม่อหลิงหานถูกใบหน้างดงามน่ารักของนางดึงดูดสายตาเข้าอย่างจัง พอได้ยินเสียงพูดของเยว่เฟิงเกอก็ราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากฝัน เรียกฟื้นคืนสติกลับมา
“ชายารักงดงามมากมาตลอดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะสวมใส่อะไรก็ล้วนงดงาม” ม่อหลิงหานไม่เคยชมใคร อึกอักอยู่ครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยประโยคนี้ออกมา
เยว่เฟิงเกอลองส่องกระจกดู นางชอบต่างหูคู่นี้มาก จึงตั้งใจจะสวมไปเช่นนี้เลย
“เถ้าแก่ ต่างหูคู่นี้กับปิ่นปักผมอันนี้ เราจะซื้อ” เยว่เฟิงเกอบอกกับเ้าของร้าน
เถ้าแก่ร้านเครื่องประดับดีใจยิ่งนัก สำหรับปิ่นปักผมและต่างหูคู่นี้ อย่าได้มองว่ามันเป็แค่เครื่องประดับเล็กๆ เชียว ทั้งคู่ล้วนทำขึ้นมาจากหยกชั้นดี ราคาก็ย่อมต้องสูงกว่าสินค้าชิ้นอื่นเป็ธรรมดา
นอกจากนี้ วันนี้เขายังขายของไม่ได้สักชิ้น พอมาได้ยินว่าม่อหลิงหานกับเยว่เฟิงเกอจะซื้อเครื่องประดับหยกที่ราคาไม่ธรรมดาคู่นี้ไป เขาย่อมต้องดีใจเป็ธรรมดา
เถ้าแก่ร้านเครื่องประดับเอ่ยชมไม่หยุดปาก “ท่านอ๋องและพระชายาช่างมีสายพระเนตรเฉียบแหลม เครื่องประดับสองอย่างนี้ทำจากหยกชั้นดี การที่ร้านเล็กๆ ของกระหม่อมได้รับความเมตตาจากท่านทั้งสอง ก็นับเป็บุญของกระหม่อมยิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยว่เฟิงเกอยิ้มให้เถ้าแก่ร้านเครื่องประดับ กล่าวว่า “วันหน้าหากข้าอยากจะดูเครื่องประดับอีก แน่นอนว่าต้องมาอุดหนุนที่ร้านของเ้า”
“ขอบพระทัยเป็อย่างสูง” เถ้าแก่ร้านยิ้มจนหุบปากไม่ลงเลยทีเดียว
ม่อหลิงหานเฝ้ามองท่าทางสดชื่นแจ่มใส ทั้งยังใจใหญ่ของเยว่เฟิงเกอ ก็อดเอ็นดูจนหลุดยิ้มออกมาไม่ได้
เยว่เฟิงเกอหันศีรษะไปก็เห็นว่าในที่สุดม่อหลิงหานก็มีรอยยิ้มแล้ว
คิดๆ ดูแล้ว การที่วันนี้ให้ม่อหลิงหานพาออกมาเที่ยวเล่นจะเป็ความคิดที่ถูกต้องแล้ว
คนเรานะ หากว่าอารมณ์เสียหรือรู้สึกอึดอัดกับอะไรบางอย่างก็ต้องหาเวลาออกมาเดินเล่นผ่อนคลายเช่นนี้นี่แหละ
ไม่เช่นนั้นหากเก็บตัวอยู่แต่ในจวนนานเกินไปอาจทำให้ยิ่งรู้สึกอัดอั้นจนเจ็บป่วยได้หลายโรคในภายหลัง
นางส่งสายตาให้ม่อหลิงหาน “ท่านอ๋องจ่ายเงินสิเพคะ”
ม่อหลิงหานคิดว่าตัวเขาไม่ต่างจากกระเป๋าเงินเดินได้ของนาง ขอแค่เยว่เฟิงเกอมีคำสั่งมา เขาก็ต้องจ่ายเงินออกไป
เพียงแต่ลึกๆ แล้วเขากลับชอบความรู้สึกเช่นนี้มาก การได้จ่ายเงินเพื่อเยว่เฟิงเกอนับเป็เื่ที่เขาพออกพอใจและยินยอมพร้อมใจอย่างที่สุด
ในที่สุดเยว่เฟิงเกอก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเสียที เมื่อเดินออกมาจากร้านเครื่องประดับก็เริ่มงอแงอยากกลับจวนทันที
ม่อหลิงหานเองก็ไม่ได้เห็นต่าง เขาจับจูงมือเยว่เฟิงเกอไว้แล้วเดินกลับจวนตน
คนทั้งสองยังเดินไปได้ไม่ไกลก็ได้ยินเสียงควบเท้าม้ามาแต่ไกล
เยว่เฟิงเกอหันศีรษะกลับไปมอง และเห็นม้าตัวสูงใหญ่กำลังมุ่งหน้ามาทางพวกตน
เมื่อม่อหลิงหานสังเกตเห็นคนที่ขี่อยู่บนหลังม้าอย่างชัดเจนดีแล้ว ก็รีบดึงเยว่เฟิงเกอมาหลบด้านหลังด้วยกลัวว่านางจะใ
ม้าตัวนั้นหยุดลงตรงหน้าคนทั้งสอง ก่อนที่คนบนหลังม้าจะะโลงมา
“จั้นอ๋อง” อีกฝ่ายประสานมือพร้อมโค้งกายคารวะม่อหลิงหาน
ม่อหลิงหานถามเสียงขรึม “แม่ทัพเฉิง ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว มาหาเปิ่นหวางมีเื่อันใดหรือ? ”
เฉิงจื่อเลี่ยงเป็แม่ทัพแห่งแคว้นเป่ยชวน คนเคยร่วมสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับม่อหลิงหานในาต่างๆ มาอย่างยาวนาน จึงอาจเรียกได้ว่าเฉิงจื่อเลี่ยงผู้นี้เป็หนึ่งในแม่ทัพมากฝีมือของม่อหลิงหาน
เดิมทีเขาตั้งใจจะไปหาม่อหลิงหานที่จวนอ๋อง คิดไม่ถึงจะได้เจอคนทั้งสองระหว่างทาง
เฉิงจื่อเลี่ยงกล่าวตอบ “ทูลท่านอ๋อง วันนี้กระหม่อมได้ข่าวมาว่า ที่แคว้นเสวี่ยอวี้...”
เฉิงจื่อเลี่ยงกล่าวไปได้แค่นี้ก็เงยหน้ามองเยว่เฟิงเกอ
เยว่เฟิงเกอได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงแคว้นเสวี่ยอวี้ก็อดมองเฉิงจื่อเลี่ยงด้วยสีหน้าสงสัยไม่ได้
ม่อหลิงหานหันมาส่งสายตาบอกให้เยว่เฟิงเกอวางใจ แล้วถึงได้กล่าวกับเฉิงจื่อเลี่ยงว่า “ว่าต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง” เฉิงจื่อเลี่ยงกล่าวต่อ “กระหม่อมได้รับข่าวมาว่า องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเสวี่ยอวี้จะยกทัพมาบุกเป่ยชวน”
คำพูดของเฉิงจื่อเลี่ยงทำให้เยว่เฟิงเกอถึงกับขมวดคิ้ว
ในความทรงจำของนาง องค์ชายใหญ่คนนั้นเกิดแต่พระสนมลิ่งเฟย ตามศักดิ์แล้วนับเป็พี่ใหญ่ของเยว่เฟิงเกอ เป็คนที่อยู่อย่างสุขสบายมาแต่เล็กจนโต
เดิมทีเขาเป็รัชทายาทแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ แต่กลับไม่สนใจศึกษาเล่าเรียน ไม่สนใจราชการงานเมือง และหลงใหลอยู่แต่กับความหอมหวานของอิสตรี
คนใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอยู่กับบรรดานางกำนัลในวัง
ฮ่องเต้แห่งแคว้นเสวี่ยอวี้เคยมีความคิดจะฝึกฝนองค์ชายใหญ่ให้ดี แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาไม่สนใจด้วยมั่นอกมั่นใจในสถานะรัชทายาทของตน
เขาเพียงคิดว่า ในเมื่อตนได้เป็รัชทายาทแล้ว จะไปสนใจเื่ราวในราชสำนักอีกเพื่ออะไร แค่รอให้วันหน้าฮ่องเต้ต เขาก็สามารถสืบทอดราชบัลลังก์เป็ฮ่องเต้องค์ถัดไปได้แล้ว
รอจนเขาครองราชย์แล้ว จากนั้นค่อยดึงคนเก่งๆ มาเป็พวก มาเป็แขนขาให้เขา
เพียงแต่รัชทายาทฝันหวานอยู่ได้แค่สามปี เพราะความที่เขาหลงใหลอยู่แต่กับอิสตรี ไม่สนใจงานบ้านงานเมือง จึงถูกปลดออกจากตำแหน่งรัชทายาทในที่สุด
และเพราะเหตุนี้องค์ชายใหญ่จึงโยนความโกรธทั้งหมดไปที่องค์ชายรอง
เขาคิดว่าต้องเป็เพราะองค์ชายรองไปเป่าหูฮ่องเต้เื่เขาด้วย้าจะชิงตำแหน่งรัชทายาทไป เป็เหตุให้ฮ่องเต้ปลดเขาออกจากตำแหน่งรัชทายาทในที่สุด
ดังนั้น องค์ชายใหญ่จึงทำทุกวิถีทางเพื่อทำร้ายองค์ชายรอง
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาส่งนักฆ่าไปลอบสังหารองค์ชายรอง ก็บังเอิญถูกเ้าของร่างเดิมอย่างเยว่เฟิงเกอรู้เข้า
สุดท้ายเ้าของร่างเดิมจึงนำความนี้ไปทูลต่อฮ่องเต้ผู้เป็บิดา ทำให้ฮ่องเต้พิโรธมากและมีรับสั่งให้องค์ชายใหญ่ไปรับราชการทหารอยู่ที่ชายแดน
มิคาดเื่นี้เพิ่งจะผ่านไปได้ไม่นาน องค์ชายใหญ่คนนี้ก็ใช้โอกาสจากการเป็องค์ชาย ทำให้ไปได้ดิบได้ดีในกองทัพ ทั้งยังมีอำนาจในการเคลื่อนพล
ซ้ำยังคิดจะมาบุกเป่ยชวนในตอนนี้อีก
ไม่รู้จริงๆ ว่าองค์ชายใหญ่คนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ แล้วเป้าหมายที่แท้จริงในการบุกเป่ยชวนของเขาคืออะไร?
“เป็ข่าวจริงหรือ? ” ม่อหลิงหานถามเสียงขรึม
เฉิงจื่อเลี่ยงมองเยว่เฟิงเกอไปทีหนึ่งก่อนตอบคำ “กระหม่อมได้ตรวจสอบมาแล้ว เป็ข่าวจริงพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อหลิงหานรู้สึกได้ว่ามือของเยว่เฟิงเกอเย็นเฉียบ เขาจึงยิ่งกระชับฝ่ามือตน กุมมือนางให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
“ทราบเหตุผลหรือไม่? ” ครั้งนี้ไม่ใช่ม่อหลิงหาน แต่เป็เยว่เฟิงเกอที่ถามขึ้น “เหตุใดองค์ชายใหญ่ต้องโจมตีเป่ยชวน? ”
เฉิงจื่อเลี่ยงคิดไม่ถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะถามเื่นี้ เขานึกว่าชายาจั้นอ๋องจะเป็สตรีขลาดกลัวที่เพียงได้ยินว่าองค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเสวี่ยอวี้จะยกทัพมาบุกเป่ยชวนก็จะใจนร้องไห้ออกมา
สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ นอกจากเยว่เฟิงเกอจะไม่ใแล้ว ยังสามารถรักษาความสุขุมเยือกเย็นเอาไว้ได้
เฉิงจื่อเลี่ยงตอบว่า “กระหม่อมสืบทราบว่า องค์ชายใหญ่แคว้นเสวี่ยอวี้ถูกคนยุแยง บอกว่าขอแค่ยกทัพมาบุกเป่ยชวน ก็จะได้อำนาจทางการทหารจากฝั่งเป่ยชวนเราไป เพียงเท่านี้ก็จะสามารถกลับไปตีแคว้นเสวี่ยอวี้ต่อได้”
“เช่นนี้เขาก็จะสามารถควบคุมทัพใหญ่ที่ทรงพลังไปบีบบังคับให้ฮ่องเต้แคว้นเสวี่ยอวี้สละราชบัลลังก์ได้”
เยว่เฟิงเกอยิ่งฟังก็ยิ่งโกรธ จึงโพล่งด่าออกมา
“เขาถูกเกือกลาเคาะศีรษะมาหรือไร หรือที่เติบใหญ่มาได้จะเพราะกินอุจจาระไม่ใช่กินข้าว วาจาเช่นนี้ก็ยังหลงเชื่อได้ เชื่อเขาเลยจริงๆ ”
เฉิงจื่อเลี่ยง “...”
เดิมทีเขายังรู้สึกนับถือในความสงบนิ่งของเยว่เฟิงเกอ แต่สุดท้ายพอมาได้ยินเยว่เฟิงเกอก่นด่าเสด็จพี่ของตนเอง เขาก็ได้แต่ใหนักกว่าเดิม
ถึงแม้องค์ชายใหญ่คนนั้นจะเป็พี่ชายต่างมารดาของเยว่เฟิงเกอ แต่จะอย่างไรคนก็เป็เชื้อพระวงศ์ ทั้งยังเป็องค์ชายใหญ่แห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ของพวกนาง
ในฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ การที่นางมาสบถด่าพี่ชายตนเช่นนี้ คงจะไม่ค่อยดีนักกระมัง?
ม่อหลิงหานเองก็คิดว่าหลังจากฟังข่าวนี้จบ เยว่เฟิงเกอจะต้องใ จิตใจเศร้าหมอง
คิดไม่ถึงนางจะด่าออกมาอย่างไม่แม้แต่จะเก็บงำไว้กับตัวเลยสักนิด
ม่อหลิงหานเลิกคิ้วน้อยๆ สายตาที่มองเยว่เฟิงเกออ่อนโยนมากขึ้น
เขาชอบนิสัยเช่นนี้ของเยว่เฟิงเกอ
นิสัยที่เป็คนกล้ารักกล้าแค้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้