หลังจากชิงอีรับปากว่าจะช่วยชีวิต เว่ยซู่จึงรีบแจ้งขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกสองท่านทันที ตอนเช้าตรู่ของวันนี้ก็มีรถม้าสองคันมาที่ประตูหลังของจวนรองเสนาบดี เหล่าทหารยกกล่องสองกล่องเข้าประตูราวกับขโมยย่องเข้าบ้าน
รองเสนาบดีกรมคลังและนักปราชญ์แห่งสำนักไท่ก็ตามมาทีหลังแบบหลบๆ ซ่อนๆ
มีเพียงมู่จ้งจิ่นเท่านั้นที่เดินเข้าประตูหน้า ฉินอวี่โหรวนั่งบนเกี้ยวเข้าไปในจวน โดยใบหน้าถูกปิดด้วยหมวกซาเม่า เพราะมู่จ้งจิ่นพิการเลยไม่อาจอุ้มนางได้ เขาจึงได้แต่ยืนจับมือฮูหยินอยู่ข้างเกี้ยวตลอดทาง
เมื่อเว่ยซู่เห็นมู้จ้งจิ่น เขาอยากจะยกมือไหว้มู่จ้งจิ่นหลายร้อยครั้ง
เ้าง่อยนี่ไม่อาย แต่เขาอาย!
การที่ตระกูลต้องมาประสบกับเื่ร้ายๆ นี่ เขาก็ไม่ได้ปิดบัง แต่กลัวว่าคนจะไม่รู้กันหรือ ถึงได้พาฉินอวี่โหรวเข้าทางประตูหน้าโจ่งแจ้งขนาดนี้!
ไม่รู้ว่าดีหรือไม่กันแน่!
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามต่างชำเลืองมองกันด้วยความคิดแบบเดียวกัน!
เว่ยซู่คิดว่าตนโชคร้ายที่ร่างทรงสาวเลือกจวนของเขาเป็สถานที่รักษา หากรู้ว่าจะเป็เช่นนี้ เขาคงจะให้ไปใช้จวนของเ้าง่อยนั่นแล้ว
คิดดูแล้ว เื่นี้ไม่มีอะไรดีสักอย่าง!
“นี่ก็สายมากแล้ว เหตุใดท่านปรมาจารย์ยังไม่มาอีกล่ะ?” รองเสนาบดีกรมคลังเช็ดเหงื่อ รู้สึกรำคาญในที่เมื่อคืนพอรู้ว่าในจวนถูกสิ่งชั่วร้ายจับจ้องอยู่ เขาก็กลัวจนนอนไม่หลับ
“รองเสนาบดีหวังอย่ารีบร้อนไปเลย ท่านปรมาจารย์ต้องมาแน่” เว่ยซู่ปลอบ ทั้งที่เขาก็ใจเต้นไม่เป็ส่ำ
“ไม่มีทาง!” นักปราชญ์แห่งสำนักไท่ตบขาทันที
เว่ยซู่กับรองเสนาบดีหวังต่างมองเขาอย่างใ “เหตุใดนักปราชญ์เฉินถึงพูดเช่นนี้ล่ะ?”
“ปรมาจารย์ ท่านนั้นเป็คนของเซ่อเจิ้งอ๋องงั้นหรือ? ตอนว่าราชการในวันนี้เราก็ควรทูลให้เซ่อเจิ้งอ๋องพานางมาเลยสิ!”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามคนถอนใจแล้วถอนใจอีก ต่างบ่นว่าเมื่อคืนนี้พวกเขากลัวจนนอนไม่หลับ ตื่นเช้าจิตใจสับสนวุ่นวาย และรู้สึกโชคร้ายที่ครอบครัวต้องประสบกับเหตุการณ์นี้
ประหนึ่งว่าพวกเขาคือคนที่เดือดร้อนที่สุด
ยามนี้บรรดาฮูหยินต่างนอนอยู่ในห้อง โดยมีผ้าขาวคลุมทั้งร่างในสภาพที่ไม่ต่างไปจากศพ
มู่จ้งจิ่นกอดฉินอวี่โหรวที่นั่งอยู่บนเกี้ยว แล้วกวาดตามองขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามด้วยสายตารังเกียจ
เพราะยามนี้ พวกเขาต่างปรึกษาหารือกันว่าจะหย่ากับฮูหยินตอนไหนดี แล้วจะแต่งงานใหม่ตอนไหน มีลูกสาวคนโตของขุนนางตระกูลใดที่ร่ำรวยบ้าง
หงเชี่ยวทนฟังต่ออีกไม่ไหว จึงเปรยขึ้นมาด้วยเสียงที่กดต่ำๆ ว่า “พวกผู้ชายเ้าชู้”
ตรงกันข้าม ตระกูลโหวมีวิทยายุทธ์แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาหลายชั่วอายุคน ขาง่อยแล้วอย่างไร? ต่อให้ตัดขาทั้งสองข้างก็ยังดูสง่ากว่าสุนัขสามตัวนี่เสียอีก!
“ทุกคนมารวมตัวกันแล้วช่างคึกคักเสียจริง”
ชิงอีเอ่ยขึ้นเบาๆ
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามมองนางด้วยความประหลาดใจ และรีบเข้าไปทักทายทันที
ชิวอวี่ที่ถือร่มกระดาษน้ำมันยืนอยู่ข้างๆ ในมือกำสัมภาระเอาไว้แน่น พลางส่งสายตารังเกียจ
เว่ยซู่มองไปรอบๆ และถามว่า “วันนี้เซ่อเจิ้งอ๋องไม่เสด็จมาที่นี่หรือ?”
ตาของชิงอีสั่นไหวเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าเซียวเจวี๋ยจะมาถึงที่นี่ก่อน ไม่คิดว่าเขาจะไม่มาปรากฏตัว
“เขามาก็ไม่มีประโยชน์หรอก ท่านอยากให้เขามาขับไล่ิญญาชั่วร้ายให้ใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าจะไปก็แล้วกัน”
“ท่านปรมาจารย์ ท่านเข้าใจผิดแล้ว! ท่านเข้าใจผิดแล้ว!” พวกเว่ยซูรีบห้าม
น่าขำเสียจริง ต่อให้เซ่อเจิ้งอ๋องแข็งแกร่งเพียงใด อย่างไรเสีย เขาก็ไม่อาจจัดการกับความชั่วร้ายนี่ได้
แต่ละเื่ก็มีผู้เชี่ยวชาญของมัน และแน่นอนว่าเื่นี้จำเป็ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน!
เพียงแต่เว่ยซู่อดกังวลไม่ได้ หากเซ่อเจิ้งอ๋องทรงไม่อยู่ แล้วร่างทรงสาวไม่ตั้งใจรักษาล่ะ?
อย่างไรก็ตาม เซ่อเจิ้งอ๋องจะทรงอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรอยู่ดี
เว่ยซู่และขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกสองคนขยิบตาให้กัน ทั้งสามแอบก้าวเขยิบมาข้างหน้าและยัดกระเป๋าใส่มือชิงอีจนเกิดเสียงกุ๋งกิ๋ง
เมื่อถุงวางไว้ในมือถึงไม่เปิดดู ชิงอีก็รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน
สิ่งที่มีกลิ่นทองแดง
แววตามีความเยาะเย้ยพาดผ่าน นางโยนถุงไปให้ชิวอวี่
มู่จ้งจิ่นมองนางอยู่ใกล้ๆ ด้วยสายตาดูิ่ยิ่งขึ้น
พอชิงอีหันมามอง เขาก็คิดว่านางคงจะขอ ‘ค่าตอบแทน’ เขาจึงเอ่ยขัดอย่างเ็าว่า “ถึงจวนโหวจะยากจน แต่ก็ซื่อตรง ไม่มีทางไม่อกตัญญูต่อท่านปรมาจารย์แน่”
พูดจบ มู่จ้งจิ่นก็เสียใจไม่น้อย ยามนี้ชีวิตของฮูหยินอยู่ในมือของร่างทรงสาว เขาไม่ควรทำให้นางขุ่นเคือง เขาพยายามระงับความเย่อหยิ่งและเตรียมจะเอ่ยคำขอโทษ ทว่า ชิงอีชิงพูดขึ้นก่อนว่า “เริ่มกันเถอะ ก่อนอื่นย้ายพวกนางไปที่ลานบ้าน”
เว่ยซู่รีบสั่งให้คนเข้าไปในจวน และในตอนที่เขาเดินผ่านชิวอวี่ก็ต้องยกมือขึ้นมาปิดจมูก “กลิ่นอะไร ทำไมถึงเหม็นเช่นนี้”
ความเกลียดชังพาดผ่านดวงตาชิวอวี่ จนแทบจะปะทุออกมา ทว่า มีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่เท้าของเขา เมื่อก้มลงไปก็เห็นว่าแม่แมวส่ายหน้าให้เขา
ชิวอวี่จึงได้แต่ยืนกัดฟันนิ่งอย่างโกรธเคือง
กลิ่นอายสังหารของชิวอวี่รุนแรงถึงขั้นทำให้มู่จ้งจิ่นที่เคยออกรบรับรู้ได้ทันที จนเงยหน้ามองชิวอวี่
มู่จ้งจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาจำอะไรเกี่ยวกับชิวอวี่ไม่ได้มากนัก เขาจำได้เพียงว่าชิวอวี่จะอยู่ข้างหลังร่างทรงสาวเสมอ จึงไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรกับเขา
ทว่า ยามนี้แม้ไม่คุ้นหน้า แต่พอมองแผ่นหลังของเขากลับคุ้นเคย
เมื่อสังเกตดีๆ แล้ว...
แผ่นหลังของร่างทรงสาวก็คุ้นตานัก คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?
เสียงดังขึ้น ทำให้มู่จ้งจิ่นหลุดออกจากห้วงความคิด
ชุ่ยหลิ่วและคนอื่นๆ คุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตุ้บ และคำนับไม่หยุด “ท่านปรมาจารย์ โปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด! ไม่ว่าจะอายุขัยยี่สิบปีหรือสามสิบปีก็ได้ ได้โปรดขับไล่ความชั่วร้ายออกจากพวกเราด้วย!”
ชิงอีสัญญาว่าจะช่วยพวกเขาก็จริง เพียงแต่พวกชุ่ยหลิ่วเป็เพียงแค่คนใช้เท่านั้น เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่สนใจความเป็ความตายของพวกเขา เมื่อพวกเขาเห็นว่าชิงอีรับเงิน จึงรู้ว่านางเป็คนเห็นแก่เงิน ทว่า พวกนางไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายจึงเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ
ชิงอียังคงพูดด้วยเสียงราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลงว่า “ไม่ต้องถึงยี่สิบหรือสามสิบปี หรอก แค่สิบห้าปีก็พอแล้ว”
พวกชุ่ยหลิ่วต่างดีใจเป็อย่างมาก
พวกนางคำนับรัวๆ
เว่ยซู่ที่อยู่ใกล้ๆ ขมวดคิ้วขึ้นทันใด แล้วอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านปรมาจารย์ ท่านควรให้ความสำคัญกับการช่วยฮูหยินของพวกเราก่อน คนรับใช้ที่ต่ำต้อยเหล่านี้ตายไปก็ไม่เห็นเป็ไร อย่างไรก็เสีย ชีวิตของพวกมันก็ไม่ได้มีค่าอยู่แล้ว”
ชิวอวี่ที่ได้ยินก็ยิ่งเหยียดยิ้มหยันมากขึ้น พร้อมกำหมัดแน่น
หมวกซาเม่าบนศีรษะของชิงอีขยับเล็กน้อย คล้ายว่ากำลังมองเขา
“หากคิดว่าสำคัญขนาดนั้น ข้ามอบให้เป็หน้าที่เ้าแทนดีไหมล่ะ?”
เว่ยซู่ที่ถึงกับพูดไม่ออกอีกครั้ง เขาถอยหลังกลับไปอย่างโกรธเคือง รู้สึกเกลียดชิงอีฝังใจ รอให้เขามีโอกาสก่อนเถอะ เขาต้องจัดการกับร่างทรงสาวผู้นี้แน่!
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน พวกนางหลี่ถูกพาวางเรียงอยู่บนพื้นลานบ้านแล้ว โดยร่างของทั้งสามยังคงถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวในสภาพคล้ายศพ
เว่ยซู่ให้คนอื่นหลีกทาง เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับชิงอี
ทว่า เขากลับเห็นนางลังเลที่จะลงมือ แล้วนางก็หันหน้ามามองบางสิ่ง
ชัดเจนว่าสายตาของนางกำลังจับจ้องมาที่มู่จ้งจิ่น
“เหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ?” ชิงอีถามอย่างไม่แยแส
มู่จ้งจิ่นผงะ พอเข้าใจสิ่งที่ชิงอี้าสื่อแล้ว สีหน้าของเขาก็แย่ลงทันตา
ร่างทรงสาวผู้นี้จะไม่ช่วยอวี่โหรวงั้นหรือ?!
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามแสดงสีหน้าขำขันทันใด เฮอะ เ้าคนง่อยทำเป็หยิ่งทะนง จนร่างทรงสาวขุ่นเคือง โอ้ ตอนนี้ฮูหยินของเ้าคงไม่มีคนช่วยแล้วสิ?
“ท่านปรมาจารย์...” มู่จ้งจิ่นกัดฟันแน่น “ข้าพูดจาหยาบคาย ท่านปรมาจารย์โปรดอย่าขุ่นเคืองเลย หากจะลงโทษ ข้า มู่จ้งจิ่นขอแบกรับไว้แต่เพียงผู้เดียว โปรดช่วยชีวิตฮูหยินด้วย”
“ท่านปรมาจารย์! ได้โปรดช่วยนายหญิงของข้าด้วย!” หงเชี่ยวคุกเข่าลงบนพื้น
ชิงอีเอ่ยออกมาแค่ว่า “ออกไป”
มู่จ้งจิ่นกัดฟันแน่น วางฉินอวี่โหรวไว้ในอ้อมแขนของหงเชี่ยว แล้ววางไม้ค้ำลง เขาโน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อคุกเข่าให้ชิงอี
“ข้าสั่งให้พวกเ้าออกไป!” เสียงของชิงอีดูจะหมดความอดทนแล้ว
แต่มู่จ้งจิ่นยังไม่ทันคุกเข่าลงก็ต้องชะงักไป เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังบางอย่างที่มาพยุงเขาไว้ เขาจึงกัดฟันกรอด หงเชี่ยวที่อยู่ไม่ห่างจากมู่จ้งจิ่นอุ้มฉินอวี่โหรวไปหยิบไม้ค้ำขึ้นมายัดใส่มือของเขา พลางร้องไห้น้ำตานองหน้า “ท่านโหว! เราไปกันเถอะเ้าค่ะ! ร่างทรงสาวผู้นี้ไม่เต็มใจช่วยก็ไม่เป็ไร อย่างไรเสีย นางก็ไม่ใช่คนเดียวที่รู้วิชาเซวียนเหมินเสียหน่อย!”
หงเชี่ยวพูดจบก็คว้าตัวมู่จ้งจิ่นให้เดินออกไปอย่างไม่สนใจใคร
มู่จ้งจิ่นยังคงสับสน จึงไม่ได้เอะใจว่าหงเชี่ยวเป็สาวอ่อนแอจะไปเอาพละกำลังจากไหนมาอุ้มฉินอวี่โหรว แล้วยังมีแรงลากเขาไปจากจวนรองเสนาบดีอีก?
