“พี่ชาย โคมไฟดอกบัวนี้ข้าไม่เอา” มู่อวิ๋นจิ่นยู่ปากยกมือทั้งสองข้างพาดหลัง
“เด็กผู้หญิงอย่างเ้า พอเห็นของแบบนี้ก็มิอาจละสายตาได้ เหตุใดต้องทำเป็ไม่สนใจด้วย?” มู่อวิ๋นหานพูดยิ้มๆ พร้อมยื่นมือไปดึงแขนของมู่อวิ๋นจิ่น ยัดโคมไฟดอกบัวใส่มือของนาง
มู่อวิ๋นจิ่นก้มหน้ามองโคมไฟดอกบัวที่ทำอย่างวิจิตร ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก
ในเวลานี้ จ้วงอวี้เหยียนกับมู่เซี่ยโหรวเดินชมบรรยากาศ ในมือของแต่ละคนต่างถือโคมไฟดอกบัวที่ถูกจุด พร้อมส่งยิ้มให้มู่อวิ๋นจิ่น
“น้องอวิ๋นจิ่น ตรงนั้นมีกระดาษกับพู่กันสามารถเขียนความปรารถนาในใจได้ จากนั้นค่อยลอยโคมไฟดอกบัวในทะเลสาบเทพวารี เพื่อให้ความปรารถนาเป็จริงได้เร็ววัน” จ้วงอวี้เหยียนบอก
มู่อวิ๋นจิ่นก้มหน้าลงเล็กน้อย เม้มปากขมุบขมิบ เดินไปตรงที่มีกระดาษและพู่กันจัดวางไว้
ครู่หนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นมองดูแผ่นกระดาษตรงหน้า ไม่รู้จะเขียนอะไรลงไป ครุ่นคิดอยู่นานก็ไม่เห็นมีความปรารถนาใดเลย
ดังนั้นมู่อวิ๋นจิ่นยิ้มมุมปาก ยัดกระดาษเปล่าใส่ลงไปในโคมไฟดอกบัว “ข้าไม่เขียนหรอก”
จากนั้นด้านหลังของนางมีเสียงที่สุขุมลุ่มลึกดังขึ้น แฝงด้วยการสัพยอก
เสียงนั้นทำให้มู่อวิ๋นจิ่นหยุดหายใจไปชั่วขณะ หันกลับไปมองเห็นฉู่ลี่ในชุดดำสนิทยืนอยู่ด้านหลัง พลางอมยิ้มส่งให้นาง
“เ้ามาที่นี่ได้ยังไง?”
การปรากฏตัวของฉู่ลี่ทำให้มู่อวิ๋นจิ่นแปลกใจอยู่มิน้อย แต่หลังจากนั้น นางก้มหน้าจุดเทียนโดยไม่สนใจ
ยังไม่ทันที่ฉู่ลี่จะตอบคำถามกลับมา ร้านด้านข้างกลับมีเสียงเรียกด้วยความดีใจ “พี่ลี่ โคมไฟดอกบัวของที่นี่งามเหลือเกิน!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มแห้งๆ หรี่ตาลง ยกโคมไฟดอกบัวในมือขึ้น หันไปพูดกับฉู่ลี่ “ข้าแปลกใจเหลือเกิน ดึกดื่นป่านนี้องค์ชายหกยังออกจากจวนอีก ที่แท้มีนัดกับคนนี่เอง!”
มู่อวิ๋นจิ่นลั่นคำเสียดสีใส่เขาเรียบร้อยก็เดินจากไปโดยไม่แยแส มุ่งหน้าไปทางทะเลสาบเทพวารี
ฉู่ลี่มองมู่อวิ๋นจิ่นจากด้านหลังด้วยแววตาที่แฝงความอ่อนโยน จนกระทั่งติงเซี่ยนที่อยู่ด้านข้างมองด้วยความแปลกใจยิ่งนัก
“องค์ชาย ก่อนที่ดอกบัวดำจะผลิบาน พวกเราพบหน้าคุณหนูฉินบ่อยครั้งอีก อาจทำให้พระชายาเข้าใจองค์ชายกับคุณหนูฉินผิดไปหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ไว้คราวหลังค่อยว่ากัน” ฉู่ลี่ขมวดคิ้ว มองไปทางฉินมู่เยว่ที่กำลังเลือกโคมไฟดอกบัว ด้วยสายตาที่เ็า
ติงเซี่ยนพยักหน้ารับทราบ มองไปทางมู่อวิ๋นจิ่นที่ยังเดินไปไม่ไกล “องค์ชาย เอาเป็ว่าใช้โอกาสนี้ไปเอาใจพระชายาก่อนเถอะ ประเดี่ยวทางคุณหนูฉิน กระผมจะช่วยชะรอให้ช้าลงได้ ”
ยังไม่ได้ฉู่ลี่ตอบรับ ติงเซี่ยนรีบวิ่งไปทางฉินมู่เยว่
……
มู่อวิ๋นจิ่นเดินไปนั่งยองๆ อยู่ตรงทางเดินทะเลสาบเทพวารี โดยที่ยังไม่ปล่อยโคมลอยไป ด้านข้างกลับมีเสียงหัวเราะคิกคักของบุรุษและสตรีดังขึ้นมา “พี่เป่ย ข้าอธิษฐานกับโคมไฟดอกบัว หวังว่าพวกเราจะอยู่กันไปจนแก่เฒ่าและรักใคร่กันตลอดไป”
“พี่เป่ย ข้ายังอธิษฐานให้ปีหน้าพวกเรามีบุตรสักคนหนึ่ง จะได้มีความสุขคึกคักขึ้นมา”
มู่อวิ๋นจิ่นพยายามระงับอารมณ์ ยู่ปากบ่นพึมพำ วันนี้มิใช่เทศกาลชีซี[1]สักหน่อย แค่ลอยโคมไฟดอกบัวเท่านั้น ทำไมยังต้องพูดจาหวานเลี่ยน น่าอาเจียนถึงเพียงนี้
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นปล่อยโคมไฟดอกบัวลงทะเลสาบเทพวารี ให้ไหลล่องลอยไปตามสายน้ำ
เมื่อเห็นโคมไฟดอกบัวล่องลอยไป มู่อวิ๋นจิ่นลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าให้สะอาด ยิ้มมุมปากขึ้นมา นี่ถือว่าทำภารกิจเรียบร้อยแล้ว
ดีเหมือนกัน ถือโอกาสที่ฉินมู่เยว่ยังไม่เดินมา รีบเผ่นก่อนดีกว่า
ทันทีที่กลับหลัง นางก็สบตาเข้ากับฉู่ลี่ สายตาทั้งคู่สอดประสานกันชั่วขณะ จนเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดแวบขึ้นมาในใจ
มู่อวิ๋นจิ่นรีบก้มหน้าหลบตา ถอนหายใจเสียงเบา ไม่รู้ว่าสองวันนี้นางเป็อะไร เห็นฉู่ลี่ทีไรจิตใจกลับแปลกๆ ทุกที
“มู่อวิ๋นจิ่นขึ้นมา” ฉู่ลี่เห็นนางไม่ขยับ จึงยิ้มมุมปากขึ้นมา
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มริมฝีปากกำลังจะก้าวขึ้นเดิน ด้านหลังมีเสียงดัง “ตู้ม” เกิดขึ้น จากนั้นผู้คนรอบทะเลสาบเทพวารี ต่างได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้น “เสียวเป่า เสี่ยวเป่า!”
มู่อวิ๋นจิ่นหันขวับไปมอง เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งพยายามตะเกียกตะกายอยู่ในทะเลสาบ พร้อมกับสตรีวัยกลางคนที่ะโร้องไห้จนสุดเสียง
เมื่อเห็นรอบตัวไม่มีผู้ใดคิดะโลงไปช่วยเหลือ มู่อวิ๋นจิ่นเตรียมะโว่ายลงไปในทะเลสาบเทพวารี เพื่อช่วยเด็กน้อยที่กำลังจะจมน้ำลงไป
โชคยังดีที่เป็หน้าร้อน น้ำในทะเลสาบไม่ได้เย็นะเื มู่อวิ๋นจิ่นว่ายแวบเดียวก็ถึงตัวเด็กน้อย ระหว่างที่ดึงเด็กเข้าฝั่ง กลับพบว่ามีบางอย่างใต้น้ำพันเท้านางอยู่
มู่อวิ๋นจิ่นพยายามดึงอยู่สักพัก เห็นว่ามิได้การณ์เลยดำน้ำลงไปข้างใต้ โดยมีแสงโคมไฟดอกบัว้าสะท้อนน้ำอยู่รำไร เพื่อหาว่าเป็สิ่งใดที่พันเท้านั้น
ฉู่ลี่เห็นว่าเด็กปลอดภัยดี ไม่ได้สำลักน้ำจนสลบ แต่ว่าร่างของมู่อวิ๋นจิ่นกลับหายไปในทะเลสาบต่อหน้าต่อตา
มู่อวิ๋นจิ่นกลั้นหายใจพยายามดันเด็กน้อยให้ลอยเหนือน้ำจะได้ไม่ต้องสำลัก ส่วนอีกมือกลับออกแรงดึงพืชใต้น้ำให้หลุด
จากนั้นไม่นาน นางรู้สึกได้ถึงพละกำลังที่ใช้ไปมากพอควร ในการดันเด็กน้อยและดึงพืชใต้น้ำในเวลาเดียวกัน
คิดได้เช่นนั้น มู่อวิ๋นจิ่นคว้ากริชในตัวขึ้นมาฟันพืชใต้น้ำอย่างใช้กำลัง
ฉู่ลี่ที่ยืนมองอยู่บนฝั่ง เห็นแสงสะท้อนใต้น้ำ จึงใช้วิชาตัวเบากีะโดดเหนือผิวน้ำ คว้าเด็กน้อยขึ้นมาจากน้ำเข้ามาแนบตัว
ทันใดนั้นมู่อวิ๋นจิ่นััได้ว่าน้ำหนักในมือข้างหนึ่งหายไป จึงออกแรงมากขึ้นในการฟันพืชใต้น้ำ จากนั้นไม่นานก็สามารถตัดมันให้ขาดสะบั้นลงได้
ในเวลาเดียวกัน ฉู่ลี่ใช้วิชาตัวเบาช่วยดึงเด็กน้อยขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย
และเมื่อมู่อวิ๋นจิ่นลอยขึ้นเหนือน้ำก็เห็นฉู่ลี่ช่วยเด็กน้อยขึ้นฝั่งได้สำเร็จ ที่แท้คนที่มาช่วยนางเมื่อครู่ก็คือฉู่ลี่นี่เอง
พอมู่อวิ๋นจิ่นว่ายกลับเข้าฝั่งเป็ที่เรียบร้อย นางนั่งหายใจกระหืดกระหอบอยู่บนฝั่ง
“แม่นางท่านนี้ คุณชายท่านนี้ ขอบคุณพวกท่านทั้งสองมากๆ หากมิใช่ท่านทั้งสอง เสี่ยวเป่าคงมิรอด” สตรีวัยกลางคนอุ้มเด็กน้อยมายืนโค้งคำนับทั้งสองคนไม่หยุด
ฉู่ลี่เห็นมู่อวิ๋นจิ่นนั่งโดยไม่ขยับเขยื้อน จึงเอ่ยขึ้นว่า “ไปขอบคุณนางผู้นี้ก็พอแล้ว”
“ได้ๆๆๆ ขอบคุณแม่นางท่านนี้มากๆ แม่นางบ้านช่องอยู่ที่ไหน พรุ่งนี้ข้ากับสามีจะไปขอบคุณแม่นางอีกครั้ง” สตรีวัยกลางคนเอ่ยถาม
มู่อวิ๋นจิ่นผายมือปฏิเสธ พร้อมหัวเราะขึ้นมา “เื่เล็กน้อยแค่นี้เอง ครั้งหน้าอย่าพาเด็กน้อยมาที่อันตรายแบบนี้อีกก็พอ”
หลังจากที่นางพูดจบ มู่อวิ๋นหานและจ้วงอวี้เหยียนก็รีบวิ่งเข้ามาหา เห็นมู่อวิ๋นจิ่นเปียกปอนไปทั้งตัวจึงถามอย่างสงสัย “อวิ๋นจิ่น เมื่อครู่เ้าะโลงน้ำช่วยคนใช่ไหม?”
“อวิ๋นจิ่น?” ผู้คนที่ได้ยินชื่อนางต่างพากันตะลึง จากนั้นมีเสียงดังขึ้นว่า “เมื่อครู่องค์ชายหกและพระชายาหกช่วยชีวิตเด็กน้อยคนนี้เอาไว้”
“อะไรนะ? พระชายาหก?” สตรีวัยกลางคนผู้นั้นใจนหน้าซีด มองดูมู่อวิ๋นจิ่นและฉู่ลี่อย่างพิจารณา รีบคว้าแขนลูกคุกเข่าลงเบื้องหน้าพร้อมกัน
“มิทราบว่าเป็องค์ชายหกและพระชายาหก ขออภัยด้วยที่เมื่อครู่เสียมารยาทกับท่านทั้งสองเพคะ”
เมื่อครู่นี้งานโคมไฟดอกบัวยังสนุกสนานอยู่เลย ไม่คิดว่าตอนนี้จะเป็แบบนี้ไปได้ ระหว่างที่นางค่อยๆ ยืนขึ้นเตรียมตัวเดินกลับ มีมือของใครบางคนโอบอุ้มนางขึ้นมา
มู่อวิ๋นจิ่นงงงวยไปต่อไม่ถูก เงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น รีบก้มหน้าลงทันใด “เสื้อผ้าข้าเปียกชุ่มไปหมดแล้ว เ้าวางข้าลงเถอะ”
“เปิ่นหวงจื่อจะพาเ้ากลับจวน” ฉู่ลี่ตอบเสียงเรียบ ไม่มีทีท่าจะวางมู่อวิ๋นจิ่นลงแต่อย่างใด
ตลอดทางเดินไม้บนทะเลสาบเทพวารี ฉินมู่เยว่กลับพิงเสามองอยู่ห่างๆ ภาพที่มู่อวิ๋นจิ่นะโลงไปช่วยชีวิตเด็กยังติดตานางอยู่ ในเวลานี้ฉู่ลี่โอบอุ้มมู่อวิ๋นจิ่นเข้าในอ้อมกอด สีหน้าของฉินมู่เยว่จึงไม่ค่อยสบอารมณ์เสียเท่าใด
“พี่ลี่ พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่น” ฉินมู่เยว่วิ่งเข้าไปหาทั้งสองคน
“ติงเซี่ยน เ้าพาคุณหนูฉินกลับไปส่งที่จวนก่อน” ฉู่ลี่มองฉินมู่เยว่
ติงเซี่ยนรีบยกมือประสานรับคำสั่ง
ฉินมู่เยว่เกิดแปลกใจขึ้นมา เมื่อครู่ระหว่างที่นางกำลังจะเดินตามฉู่ลี่กลับถูกติงเซี่ยนรั้งเอาไว้
“พระชายาหกช่วยคนตกน้ำอาจไม่สบายได้ กลับไปแล้วองค์ชายอาจต้องช่วยดูอาการ ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เชิญคุณหนูฉินกลับจวนแม่ทัพก่อนเถอะขอรับ” ติงเซี่ยนเอ่ย
“เอาอย่างนั้นก็ได้” ฉินมู่เยว่ก้มหน้าด้วยสายตาเศร้าสร้อย มองดูโคมไฟดอกบัวที่อยู่ในมือยังไม่ได้ให้ฉู่ลี่ กลับเขวี้ยงลงข้างทางด้วยไม่สบอารมณ์ และเดินขึงขังกลับจวนแม่ทัพไป
ติงเซี่ยนมองดูโคมไฟดอกบัวที่ถูกเขวี้ยงทิ้งจนพังไปหมด เขาได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ
ในระหว่างที่นั่งรถม้ากลับจวนองค์ชายหก มู่อวิ๋นจิ่นนั่งอย่างอ่อนแรงและรู้สึกถึงความหนาวเหน็บแผ่ซ่านในร่างกาย
“หนาวหรือไม่?” ฉู่ลี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างเห็นสีหน้ามู่อวิ๋นจิ่นซีดขาว แววตาโรยริน
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้า “ข้าไม่เป็ไร”
“ปกติมีสตรีน้อยคนที่สามารถว่ายน้ำได้ มู่อวิ๋นจิ่น วันนี้เ้าทำให้เปิ่นหวงจื่อ มองเ้าเปลี่ยนไปอีกครั้งแล้ว” ฉู่ลี่หัวเราะแ่เบา
“พูดอย่างนี้หมายความว่า เมื่อก่อนเ้าดูถูกดูแคลนข้ามาตลอดสิท่า?” มู่อวิ๋นจิ่นกลอกตามองฉู่ลี่ พร้อมกับยกขาพาดที่นั่งเพื่อหาตำแหน่งที่สบายตัว โดยไม่ได้สนใจว่าอาภรณ์ได้เปียกชุ่มจนหมด
ฉู่ลี่ใที่เห็นนางยกแข้งยกขาขึ้นมาพาดโดยมีน้ำหยดติ๋งๆ แต่ก็ทำเป็เอาหูไปนา เอาตาไปไร่
พอรถม้าเดินทางมาถึงจวน มู่อวิ๋นจิ่นที่พยุงตัวยืนขึ้นเป็อันต้องสั่นสะเทิ้มด้วยลมเย็นๆ ที่พัดมาปะทะตัว จากนั้นนางก็เดินเข้าจวนองค์ชายหก
พอเข้ามาด้านใน แม่นมเสิ่นร้องออกมาด้วยความใ “ว๊าย! พระชายาเป็อะไรไปเ้าคะ?”
“แม่นมเสิ่นช่วยข้าไปต้มน้ำขิงมาสักชามหน่อย”
[1] เทศกาลชีซี ตรงกับวันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 เป็วันแห่งความรักของจีน เทียบเท่าเทศกาลวันวาเลนไทน์ของสากล
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้