กู้ิเยวี่ยถูกให้ท้ายจนเคยตัวยามอยู่ในจวนของตนเอง เมื่อออกมาข้างนอกจึงไม่อาจแก้นิสัยจองหองได้
เมื่อเห็นว่าไป๋เซี่ยเหอไม่ให้ความสำคัญกับนาง ทั้งยังกล้าขัดจังหวะบทสนทนาระหว่างนางกับคนรักในฝันของนางอีก นางจึงะเิโทสะทันที
“ข้าสนทนากับท่านอ๋องอยู่ เหตุใดเ้าถึงได้สอดปาก?”
น้ำเสียงนั้นฟังดูเป็ธรรมชาติ กระทั่งพูดได้ว่าฟังดูอารมณ์ร้อนเล็กน้อย
เพียงแต่แล้วอย่างไร?
ท่านพ่อเคยบอกว่าเด็กสาวจะมีนิสัยจองหองสักหน่อยก็ไม่เป็ไร นั่นเรียกว่ามีชีวิตชีวาต่างหาก สามารถดึงดูดสายตาของบุรุษได้เป็อย่างดี
เมื่อนึกได้เช่นนี้ ใบหน้าของกู้ิเยวี่ยก็เปล่งประกายงดงาม ทั้งยังมองฮั่วเยี่ยนไหวอย่าหาญกล้า
น่าเสียดายที่นางลืมไปแล้ว...
นางลืมไปว่าคนตรงหน้าคือฮั่วเยี่ยนไหว!
เขายอมลงให้ไป๋เซี่ยเหอ ทว่ากับผู้อื่นนั้นเขาไม่ยอม!
“อิ๋งเฟิง หากอิงตามกฎหมายของราชวงศ์เรา ผู้ที่ไม่ให้ความสำคัญกับลำดับชั้นทางสังคม มีสถานะต่ำกว่าแต่กลับปะทะคารมกับผู้มีสถานะสูงกว่า ควรจัดการอย่างไร?”
ความฝันของกู้ิเยวี่ยพังทลายลงทันที ใบหน้าเล็กซีดเผือด
“ท่านอ๋อง ท่านจะลงโทษข้าหรือเ้าคะ?”
ฮั่วเยี่ยนไหวเลิกคิ้ว เขาคร้านที่จะตอบ เื่ที่ชัดเจนปานนี้ยังต้องให้บอกอีกหรือ?
อิ๋งเฟิงที่ยืนอยู่ข้างฝูเอ๋อร์ย้ายข้าวของต่างๆ มาไว้ที่ตนเอง ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ทูลท่านอ๋อง ควรถูกโบยยี่สิบห้าไม้พ่ะย่ะค่ะ”
ยี่สิบห้าไม้?
ไม่ต้องพูดถึงกู้ิเยวี่ยผู้เป็เด็กสาวที่งดงามและบอบบางเลย แม้ว่าจะเป็ชายฉกรรจ์หนังหนา หากต้องถูกโบยยี่สิบห้าไม้ รับรองได้ว่าเนื้อหนังถลอกปอกเปิด เืสาดกระเซ็นอย่างแน่นอน
กู้ิเยวี่ยไม่กล้าแม้แต่จะนึกภาพ นางร้องไห้ออกมาทันที
“พี่ชายช่วยข้าด้วย ท่านรีบบอกท่านอ๋องเร็วว่าท่านยินดีรับโทษโบยแทนข้า”
เวลาอยู่ในจวน ทุกครั้งที่นางทำอะไรผิด ผู้ที่ได้รับโทษล้วนเป็พี่ชาย ครั้งนี้นางจึงบอกให้กู้ตั๋วรับโทษแทนนาง
แม้ว่าไป๋เซี่ยเหอจะดูแคลนบุรุษเช่นกู้ตั๋วเป็อย่างยิ่ง ทว่าตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าเขาน่าสงสารเล็กน้อย
“เห็นแก่ที่ตระกูลกู้จงรักภักดีต่อราชวงศ์...”
กู้ิเยวี่ยดวงตาเป็ประกาย นางบิดเอวเตรียมลุกขึ้นยืน ทว่าประโยคถัดไปกลับกระแทกหัวใจที่ลอยขึ้นมาของนางเมื่อครู่ให้จมดิ่มลงไปอีกครา
“โบยสิบห้าไม้ก็พอ”
กู้ิเยวี่ยประหลาดใจ เด็กสาวที่งดงามหยาดเยิ้มเช่นนาง เซ่อเจิ้งอ๋องควรเลือกที่จะให้อภัยไม่ใช่หรือ?
แม้ว่านางจะมีความผิด อย่างมากก็ให้นางพลีกายมอบทั้งชีวิตให้สิ
เมื่อฮั่วเยี่ยนไหวกล่าวจบ หนึ่งในอินทรีโลหิตก็กดร่างของกู้ิเยวี่ยไว้กับพื้นทันที และเตรียมที่จะโบย
ทันใดนั้น...ประโยคหนึ่งก็ดังแว่วขึ้นที่เหนือศีรษะของกู้ิเยวี่ย “อย่าทำร้านข้าสกปรกเป็อันขาด”
หนึ่งในอินทรีโลหิตที่กดร่างของกู้ิเยวี่ยไว้ก็พลิกข้อมือทันที
กลายเป็กู้ิเยวี่ยถูกลากออกไปจากหอหลิวหลีราวกับขยะชิ้นหนึ่งก็ไม่ปาน
นางถูกโบยกลางสี่แยก ห่างจากประตูหอหลิวหลียี่สิบเมตร
นับว่าโหดร้ายยิ่งกว่าการถูกโบยยี่สิบห้าไม้เสียอีก
เมื่อเห็นเช่นนั้น อินทรีโลหิตทุกคนจึงได้ข้อสรุปว่า...
ยั่วยุท่านอ๋องได้ ทว่ายั่วยุพระชายาไม่ได้!
เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ไป๋เซี่ยเหอก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเดินเล่นแล้ว ทุกคนจึงกลับมาที่เรือนของไป๋เซี่ยเหอ
ภายในห้องนอน
“ซี้ด เบามือหน่อย”
ฮั่วเยี่ยนไหวมองสตรีร่างเล็กที่นั่งอยู่บนตักของเขา ใบหน้าของเขาไหนเลยจะแสดงถึงความเ็ป แววตาเต็มไปด้วยการเอาอกเอาใจ ดูแล้วหวานชื่นยิ่งนัก
ไป๋เซี่ยเหอถลึงตามองเขาอย่างดุๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ท่านอ๋องเสน่ห์แรงไม่เบา!”
นอกจากอันหนิงจวิ้นจู่แล้ว ไป๋ซูเหอก็ยังมีความคิดชั่วร้ายกับฮั่วเยี่ยนไหวอีก
แม้กระทั่งตอนที่นางออกมาเดินเล่นในวันนี้ ยังมีศัตรูหัวใจโผล่มาอีกหนึ่งคนอย่างน่างุนงง!
ฮั่วเยี่ยนไหวกอบกุมมือของสตรีร่างเล็กเอาไว้ “เลิกหยิกได้แล้ว ข้าหนังหนา อีกประเดี๋ยวเ้าจะเจ็บมือเอา”
เขาปลอบสตรีร่างเล็กในอ้อมแขนที่กำลังกินน้ำส้มสายชูอย่างอดทน “เ้าควรดีใจไม่ใช่หรือว่าบุรุษที่ยอดเยี่ยมปานนี้ มีเสน่ห์ปานนี้ เป็สามีของเ้า”
เขาพูดราวกับนี่เป็คำกล่าวที่ฟังดูสมเหตุสมผลยิ่งนัก
ไป๋เซี่ยเหอบีบดั้งจมูก “เอาล่ะ แล้วแต่เลย ข้าเป็คนโเี้ ข้าจะไม่ทะนุถนอมบรรดาดอกไม้ขาวที่อยู่ข้างกายท่านหรอก”
“หากมีหนึ่งคน ข้าก็จะหยิกหนึ่งที!”
เมื่อเห็นแววตาอันเย่อหยิ่งบนใบหน้าเล็กที่วิจิตรงดงามไร้ที่ติของสตรีร่างเล็ก หัวใจที่แข็งกระด้างดุจเหล็กกล้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นุ่มนวลอย่างอดไม่ได้
หลังจากทำความสะอาดเรือนเรียบร้อยแล้ว ฮั่วเยี่ยนไหวก็แขวนป้ายชื่อด้วยตนเอง
‘เรือนฝูเซิงหย่า’
วันเวลาที่อาศัยอยู่ในเรือนฝูเซิงหย่า เรียกได้ว่าเป็วันเวลาที่มีความสุขที่สุดนับั้แ่ไป๋เซี่ยเหอทะลุมิติมาที่ยุคนี้
ฮั่วเยี่ยนไหวมาพักอยู่ที่เรือนฝูเซิงหย่าแทบทุกวัน ทว่าจวนของตนเองที่อยู่ถัดไปนั้น เขากลับไม่เหยียบเข้าไปข้างในสักก้าว
เมื่อ้าของสิ่งใด ก็เพียงสั่งให้อิ๋งเฟิงไปหยิบ
ณ เรือนอันหนิงในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง
อันหนิงจวิ้นจู่สวมชุดกระโปรงยาวลายดอกฝูหรงสีม่วงอ่อน เรือนผมยาวหนามัดเป็มวยผมอันงดงาม ภายใต้การประทินโฉมอย่างประณีต ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ไฝน้ำตาที่หางตาทำให้นางยิ่งดูน่าสงสาร
เมื่อสาวใช้คนสนิทของนางเห็นคุณหนูของตนเองดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หัวใจก็รัดแน่นขึ้นมา
“จวิ้นจู่ แม้ว่าท่านจะโกรธท่านอ๋อง ก็ไม่อาจไม่กินข้าวได้นะเ้าคะ หากป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไรเ้าคะ?”
โหยวพิงถิงได้ยินคำพูดของสาวใช้ก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น นางรู้สึกโศกเศร้ายิ่งกว่าเดิม ก่อนจะฟุบหน้าลงบนแขนที่วางอยู่บนโต๊ะ
น้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนแรง “คนโง่ ข้ารักพี่เยี่ยนไหวขนาดนั้น ข้าจะโกรธเขาได้อย่างไร?”
หนึ่งสัปดาห์แล้ว
นับั้แ่ไป๋เซี่ยเหอย้ายมาอยู่ที่เรือนหลังข้างๆ เซ่อเจิ้งอ๋องก็ไม่กลับมาที่จวนของเขาอีกเลย
ถูกต้อง
นางถูกทิ้งแล้ว
หากจวนเซ่อเจิ้งอ๋องไม่มีเซ่อเจิ้งอ๋อง แล้วนางจะอยู่ที่นี่ไปเพื่ออะไร?
ทว่านางก็ทำใจจากไปไม่ได้
ขอเพียงนางยังอยู่ในจวนเซ่อเจิ้งอ๋อง ก็มีโอกาสจะได้พบเขาอีกครั้งไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่กว่าวันนั้นจะมาถึง นางคงรอไม่ไหว
“เสียวหย่า เ้าว่าข้าด้อยกว่าไป๋เซี่ยเหอตรงไหนหรือ?”
เสียวหย่าเบะปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน “สำหรับบ่าวแล้ว ไป๋เซี่ยเหอผู้นั้นไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้จวิ้นจู่เ้าค่ะ”
“แต่พี่เยี่ยนไหวดันชอบนางเสียนี่!”
น้ำเสียงของนางเจือไปด้วยแรงสะอื้น
เสียวหย่าร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ตาม คุณหนูที่น่าสงสารของนาง เหตุใดชีวิตถึงได้ขมขื่นปานนี้?
“จวิ้นจู่ หากท่านอยากแต่งให้ท่านอ๋องจริงๆ ยังมีอีกวิธีเ้าค่ะ”
เสียวหย่ากัดฟัน ใบหน้าของนางดูลำบากใจ ทั้งยังอับอาย
นางครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ “ไม่ ไม่ได้ วิธีนั้นไม่ได้ จวิ้นจู่ทำเหมือนบ่าวไม่ได้พูดเถิดเ้าค่ะ”
โหยวพิงถิงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าที่ประทินโฉมอย่างพิถีพิถันเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ชวนให้คนที่เห็นปวดใจยิ่งกว่าเดิม
“เสียวหย่า ข้ารู้ว่าเ้าปวดใจแทนข้า ไม่เป็ไร ข้าเสียใจจนชินแล้ว ก็แค่ปวดใจไม่ใช่หรือ? ข้าไม่เป็ไร ข้าไม่เป็ไรจริงๆ”
ระหว่างที่พูด หยดน้ำตาเท่าเม็ดถั่วก็ไหลรินลงมาไม่ขาดสาย อารมณ์เศร้าสร้อยแผ่กระจายไปยังคนข้างกาย
เสียวหย่าทั้งกระทืบเท้าทั้งใช้มือตบหน้าตนเองด้วยความลำบากใจ นางไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะปลอบโยนจวิ้นจู่ได้
“ช่างเถิด บ่าวจะพูดเ้าค่ะ!”
เสียวหย่ามองดวงตาที่อ่อนโยนดุจสายน้ำคู่นั้นของโหยวพิงถิงแล้วกัดฟัน
“หากท่านอยากแต่งให้ท่านอ๋องจริงๆ อย่างมากเราก็สามารถทำให้ข้าวสารหุงเป็ข้าวสุก[1] บ่าวไม่เชื่อว่าท่านอ๋องจะไม่รับผิดชอบท่านเ้าค่ะ”
โหยวพิงถิงหน้าแดงทันที ความรู้สึกกระอักกระอ่วนคืบคลานขึ้นมาบนใบหน้า นางมองเสียวหย่าอย่างตำหนิ “เสียวหย่า เ้าพูดเหลวไหลอะไร? ข้า...”
นางกัดริมฝีปากล่างด้วยท่าทีบอบบาง
“ขออภัยเ้าค่ะ บ่าวล้ำเส้นเอง บ่าวสมควรตายเ้าค่ะ”
เสียวหย่าได้สติกลับมาทันที นางกลัวว่าโหยวพิงถิงจะโกรธเคือง จึงรีบคุกเข่าและโขกศีรษะกับพื้น
โหยวพิงถิงลุกขึ้นก่อนจะเดินมาที่ข้างกายเสียวหย่า แล้วประคองอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ใช้มือลูบหน้าผากที่โขกศีรษะจนแดงอย่างเบามือ
“เ้ามันโง่ เหตุใดถึงต้องโขกศีรษะแรงขนาดนั้น? ข้าไม่ได้โทษเ้าเสียหน่อย”
------------------------
[1] ข้าวสารหุงเป็ข้าวสุก เป็การอุปมา หมายถึง เื่ที่แก้ไขไม่ได้แล้ว