เมื่อได้ยินเสียงของหลงโม่หราน สีหน้าของทุกคนต่างก็แปรเปลี่ยนไปคนละแบบ
เย่เฟิงนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโผล่ออกมาเร็วเช่นนี้ เขาเหลือบมองหลินซือฉิงอย่างไม่สบอารมณ์ หากผู้หญิงคนนี้ไม่พาทหารของสำนักความมั่นคงแห่งชาติมาขวางเขาเอาไว้ คงไม่ดึงดูดหลงโม่หรานและคนอื่นๆ ให้มาที่นี่เร็วขนาดนี้
ถึงจะได้ยินเสียงของหลงโม่หราน เย่เฟิงก็ไม่ตื่นตระหนกเลยสักนิด เตรียมใจที่จะต้องเผชิญหน้ากับหลงโม่หรานอีกครั้งอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้ที่เขามีหลงหว่านเอ๋อร์ ตราบใดที่เธอจู่โจมอีกฝ่ายใน่เวลาสำคัญ ย่อมสามารถปลิดชีพหลงโม่หรานได้แน่!
เย่เฟิงเหลือบมองหลงหว่านเอ๋อร์ เขาแอบคาดคะเนว่าพอถึง่เวลานั้น หญิงสาวจะลังเลที่จะลงมือหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็พ่อบังเกิดเกล้า...
หลงหว่านเอ๋อร์ไม่มั่นใจความแข็งแกร่งของเย่เฟิง เมื่อได้ยินเสียงของหลงโม่หรานก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที ที่ผ่านมาเธออาศัยอยู่ใต้เงาและการควบคุมของหลงโม่หรานมาตลอด ความหวาดกลัวชายคนนั้นจึงฝังลึกในจิตใจของเธอ แม้ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านชาวประมงหญิงสาวจะต่อต้านเขา ทว่าเป็เพราะสถานการณ์ตอนนั้นเธอคิดว่าตัวเองคงไม่มีทางรอดอยู่แล้วจึงกล้าที่จะต่อต้านอีกฝ่าย
ตอนนี้เธอได้อยู่กับเย่เฟิงอีกครั้งและเริ่มฝึกวิถีเซียน กำลังเติมเต็ม่เวลาที่ดีให้ชีวิต หากต้องเผชิญหน้ากับหลงโม่หราน มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอยังไม่สามารถสู้เขาได้ หญิงสาวจึงไม่คิดเอาชีวิตตัวเองมาทิ้งในการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม
“รอโอกาสเคลื่อนไหว!” เย่เฟิงบอกหลงหว่านเอ๋อร์ ถ้าเขามีพลังบ่มเพาะระดับยี่สิบปีก็จะสามารถใช้ทักษะเซียนสื่อจิตกับหลงหว่านเอ๋อร์ได้ น่าเสียดายที่ตอนนี้ระดับพลังของเขายังไม่ถึงขั้นนั้น
สำหรับคนในยุทธจักร หากฝึกวรยุทธ์ได้ลึกซึ้งมากพอก็จะสามารถใช้จิตสื่อสารกันได้ แน่นอนว่ามันเป็เื่ที่ควบคุมได้ยากมาก ไม่อย่างนั้นหลงโม่หรานและพรรคพวกของเขาคงไม่จำเป็ต้องะโสื่อสารกันอยู่แบบนี้หรอก จนถึงตอนนี้คนที่เย่เฟิงรู้จักซึ่งสามารถใช้พลังภายในเพื่อสื่อจิตได้มีเพียงคนเดียวนั่นคือเย่เวิ่นเทียน ส่วนคนอื่นในยุทธจักรล้วนไม่มีใครทำได้
เมื่อหลงหว่านเอ๋อร์ได้ยินเย่เฟิงบอกดังนั้นก็เกิดความลังเล จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความแน่วแน่พร้อมวิ่งไปหยุดอยู่ข้างเย่เฟิง
ด้านหนานฟางไม่ต้องรอให้เย่เฟิงสั่ง เขาก็ซ่อนตัวใต้รถทหารั้แ่ก่อนหน้านั้น ชายหนุ่มทั้งฉลาดและเฉียบแหลม เชื่อว่าใน่เวลาสำคัญย่อมมีบทบาทสำคัญอย่างแน่นอน
แม้ระดับพลังของเย่เฟิงจะไม่มีทางพัฒนาได้รวดเร็วใน่เวลาอันสั้นนี้ แต่ใครบอกกันล่ะว่าการฆ่าใครสักคนมีเพียงการต่อสู้แบบเผชิญหน้ากันตามลำพัง?
ในโลกเทวะ การต่อสู้ย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะให้ได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องเอาด้วยกล การกระทำพวกนั้นน่ารังเกียจยิ่งกว่าการที่เย่เฟิงจะใช้กำลังสามคนรุมหลงโม่หรานเสียอีก
การที่ผู้อ่อนแอจะสามารถชนะผู้แข็งแกร่งกว่าคงมีแค่วิธีการนี้เท่านั้น!
ด้านหลินซือฉิงที่ได้ยินเสียงจากผู้คนโดยรอบกลับไม่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับยิ่งกังวล เพราะคนในยุทธจักรล้วนไม่ลงรอยกับสำนักความมั่นคงแห่งชาติอยู่แล้ว อย่าว่าแต่เธอเป็ผู้หญิงเลย ต่อให้เหลยิยืนอยู่ที่นี่ก็ยังไม่มีสิทธิ์พูดมาก
ฉับพลันนั้นเธอก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ขณะที่เย่เฟิงไม่ได้สนใจเธอ เธอจึงรีบวิ่งไปขึ้นรถคอยดูแลเซียวฉี่พร้อมกับแอบมองสถานการณ์อยู่ข้างใน
เย่เฟิงเองไม่ได้สนใจเธอ แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งย่อมไม่ส่งผลกระทบอะไรอยู่แล้ว ที่สำคัญใน่เวลานี้เขาไม่มีเวลาไปสนใจเธอเลยด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มใช้จิตหยั่งรู้สำรวจทั่วบริเวณก่อนจะพบว่าทั่วทุกทิศล้วนมีคนของยุทธจักรรุมล้อมเข้ามา ยังมีเซียวเยว่ที่เพิ่งได้รับการช่วยเหลือไปก่อนหน้านี้ เธอแอบซ่อนตัวอยู่หลังเงาต้นไม้และดูเหมือนว่ากำลังลอบสังเกตสถานการณ์โดยรอบ
ชูชูที่ยืนอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินเสียงของหลงโม่หราน สีหน้าของเธอก็แปรเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับแอบหลบอยู่ใต้เงามืดเพื่อซ่อนตัว แม้เธอจะเพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธ์ และมีพลังไม่มากนัก แต่ก็คลุกคลีอยู่กับตระกูลหลงมาหลายปี ทำให้เธอยังมีความตระหนักตื่นตัวเทียบเท่ากับผู้ฝึกวรยุทธ์
แสงไฟสว่างไสวจากรถ ทำให้เห็นเย่เฟิงและหลงหว่านเอ๋อร์ยืนอยู่เคียงข้างกัน เหล่าเ้าหน้าที่ของสำนักความมั่นคงแห่งชาตินอนสลบเหมือดอยู่บนพื้น ภายในห้องโดยสารบนรถหลินซือฉิงกำลังดูแลเซียวฉี่ที่ถูกปืนยาสลบยิงจนสลบไป
เนื่องจากฝนตกหนักทำให้บริเวณโดยรอบยิ่งวุ่นวายสับสน ทัศนวิสัยมืดไปหมดอีกทั้งพื้นยังเปียกแฉะ แม้กระทั่งสาวงามอย่างหลินซือฉิงก็ยังไม่มีใครมีเวลาหันมาชื่นชมความงามของเธอ
เพียงครู่เดียว พื้นที่โล่งว่างหน้ารถก็มีคนนับสิบเข้ามาล้อมจนเต็ม นอกจากคนตระกูลหลงที่นำโดยหลงโม่หรานแล้ว ยังมีลูกศิษย์จากสำนักอื่นๆ ตามมาด้วย
เมื่อมีหลงโม่หรานอยู่ คนอื่นๆ จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรผลีผลาม!
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีขาว ตรงเอวของเขาคาดกระบี่เล่มยาว เขาเดินออกมาจากกลุ่มคนด้วยสีหน้าเมินเฉย จนกระทั่งหยุดตรงหน้าเย่เฟิงและหลงหว่านเอ๋อร์
แม้ก่อนหน้านี้หลงโม่หรานจะถูกพายุไต้ฝุ่นพัดหายไป และหลังจากนั้นยังถูกทำร้ายตอนอยู่ใต้ทะเลจนได้รับาเ็สาหัส แต่เวลานี้เขายังคงรักษาท่าทางสง่างามของตัวเองไว้ได้ดังเดิม เว้นเสียแต่รอยเืที่ไหลซึมผ่านเสื้อคลุมสีขาวตรงหน้าอก ส่วนอื่นบนตัวเขาแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
เย่เฟิงกวาดตามองก็พบว่าตรงหน้าอกของอีกฝ่ายที่าเ็ได้รับการรักษาไปมากแล้ว เขาจึงแอบคิดว่ารูปแบบการรักษาของคนในยุทธจักรก็คงจะไม่ธรรมดา...
“โม่จิ่วเกอ วันนี้แกหนีไปไหนไม่รอดแน่”
หลงโม่หรานหรี่ตามองเย่เฟิงที่สวมหน้ากากอยู่ตรงหน้าด้วยความเกลียดชัง
เขานึกถึง่เวลาเมื่อยี่สิบปีก่อนตอนอยู่ที่ถ้ำเขาหลัวฝูแล้วสังหารชายตระกูลเย่ ตอนนั้นเขาก็ล้อมเย่ยวินเฟยไว้เช่นนี้ แม้เวลานั้นภรรยาของเขาจะยืนเคียงข้างเย่ยวินเฟย...
เขาโกรธแค้นจนตัดหัวของเย่ยวินเฟย ในขณะเดียวกันเขาก็ตัดหัวของภรรยาตัวเองเพื่อระบายความแค้นเช่นกัน!
และตอนนี้โม่จิ่วเกอพรากลูกสาวของเขาไป อีกทั้งลูกสาวของเขายังเลือกยืนเคียงข้างอีกฝ่าย ยิ่งทำให้หลงโม่หรานโมโหจนแทบะเิ
สถานการณ์ในตอนนี้คล้ายคลึงกับสถานการณ์ในตอนนั้นมากน้อยแค่ไหนงั้นเหรอ?
ก็แค่แทนที่เป้าหมายเป็ลูกสาวของเขาอย่างไรล่ะ
เยี่ยม ในเมื่อสถานการณ์เหมือนกับเหตุการณ์การตัดหัวเย่ยวินเฟยเมื่อยี่สิบปีก่อน ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะตัดหัวคนทั้งคู่ซะ!
หลงโม่หรานขบคิดกับตัวเอง จากนั้นชักกระบี่ที่เอวออกมาพร้อมชี้มันไปทางเย่เฟิง!
การแสดงเริ่มขึ้นแล้ว นอกเหนือจากทั้งสามคนที่อยู่ในฉาก คนอื่นที่เหลือต่างกระซิบกระซาบถึงฉากนี้พร้อมชี้เย่เฟิงและหลงหว่านเอ๋อร์
พวกเขาทั้งหมดต่างคิดว่าในเวลานี้เย่เฟิงและหลงหว่านเอ๋อร์ควรจำนนต่อหลงโม่หรานจะดีที่สุด ระดับพลังของคนทั้งคู่ย่อมไม่อาจเทียบกับหลงโม่หรานได้ หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมา พวกเขาย่อมถูกหลงโม่หรานสังหารแน่นอน
หลงชิงยืนพิงต้นไม้มองหลงหว่านเอ๋อร์ที่เผชิญหน้ากับหลงโม่หราน เมื่อเห็นใบหน้าไร้เดียงสาของหญิงสาวก็ส่ายหน้าด้วยความเสียใจ เขาชอบและเอ็นดูหลานสาวคนนี้มาก ทว่าเมื่อทุกอย่างมาถึงจุดนี้แล้ว แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถช่วยเธอได้
ด้านหลงจื่อที่สวมชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ด้านข้าง เขามองเย่เฟิงที่สวมหน้ากากด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาคิดจะรับชายคนนี้เข้าตระกูลเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตระกูลหลง ทว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่หมู่บ้านชาวประมงขึ้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าหลงโม่หรานไม่มีทางยอมปล่อยชายสวมหน้ากากคนนี้แน่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเสียงซุบซิบจากทุกคนทำให้หลงหว่านเอ๋อร์กดดันมากเพียงใด ใจของเธอกระวนกระวายหนัก
“ต่อให้ฉันตายก็ไม่มีทางปล่อยให้เธอได้รับอันตรายแม้แต่ปลายเล็บ!” เย่เฟิงพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำพร้อมดึงตัวหลงหว่านเอ๋อร์ไปอยู่ด้านหลังตัวเอง
เย่เฟิงเงยหน้าสบตาหลงโม่หราน แววตาของเขาเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ “จะสู้ก็เข้ามา!”
เขาประกาศกร้าวด้วยความหนักแน่น คำพูดนี้เองที่เปรียบเสมือนะเิซึ่งก่อให้เกิดคลื่นระลอกใหญ่กับผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบ
เ้าเด็กสวมหน้ากากนี่ถึงกับกล้าท้าทายคนอย่างหลงโม่หรานเชียวหรือ? คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!
ไม่ว่าใครหรือแม้กระทั่งหลินซือฉิงที่อยู่ในรถ เมื่อได้ฟังคำประกาศกร้าวของเย่เฟิงต่างมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน นี่เขากล้าต่อต้านหลงโม่หรานจริงๆ งั้นหรือ?