ร้านหนังสือของที่บ้านเปิดมาได้สองสามปีแล้ว แม้จะไม่ได้ทำเงินเป็กอบเป็กำอะไรมากมาย แต่เมื่อเทียบกับเงินเดือนของพ่อแม่แล้ว ก็ถือว่าไม่น้อยหน้าเลยทีเดียว จะให้ปิดไปง่ายๆ แบบนี้ มันน่าเสียดายเกินไปไหม? หมี่หลันเยว่ไม่เคยคิดเลยว่าแม่จะตัดสินใจเด็ดขาดขนาดนี้
"แม่คะ เปิดร้านนี้ไว้เถอะค่ะ หนูกับพี่ชายจะช่วยกันดูแลเอง ส่วนร้านใหม่ก็ให้คนดูแลคนเดียวก็พอแล้วค่ะ ส่วนพวกเราสองคนก็สลับกันกลับมาดูร้านนี้"
หมี่หลันเยว่คิดว่า ที่แม่พูดแบบนี้ เป็เพราะกลัวว่าเธอและพี่ชายจะเหนื่อยเกินไป จริงๆแล้วแค่ดูแลร้านเฉยๆ มันไม่ได้หนักหนาอะไร
"หลันเยว่ แม่รู้ว่าร้านใหม่ที่ลูกจะเปิดนั้น ลูกอยากจะทำให้มันใหญ่โต แต่ถ้าพี่ชายของลูกต้องกลับมาดูแลร้านนี้บ่อยๆ คนงานที่ร้านลูกก็จะขาดมือ อย่าว่าแต่เื่ทำเงินเลย ร้านนี้มันก็แค่ร้านเล็กๆ เอาไว้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ร้านเสื้อผ้าของลูกมันคือธุรกิจ มันคือความสำเร็จในชีวิตของลูกในอนาคต สองอย่างนี้มันเทียบกันไม่ได้หรอก"
"ถึงแม้ว่าร้านหนังสือเล็กๆ นี้จะทำเงิน แต่ถ้าร้านใหญ่ของลูกไม่ทำเงิน แม่ก็ยังสนับสนุนให้ลูกเปิดร้านเสื้อผ้าให้ดีที่สุดอยู่ดี แถมแม่ก็เชื่อมั่นในตัวลูกด้วยว่า ร้านเสื้อผ้าของลูกจะต้องทำเงินอย่างแน่นอน ถ้าเป็อย่างนั้น ลูกก็จะยิ่งยุ่งมากขึ้นไปอีก ส่วนร้านหนังสือเล็กๆ นี้ก็จะกลายเป็ตัวถ่วงลูกเปล่าๆ ไม่ใช่แค่เื่คนที่ต้องมาดูแลร้านเท่านั้น แต่มันอาจจะกินเวลาของลูกด้วย"
หมี่หลันเยว่รู้ว่าแม่หมายถึงพี่ชายที่ต้องกลับมาดูแลร้านทุกวัน และตัวเธอเองก็อาจจะต้องสลับกับพี่ชายมาดูแลร้านเป็ครั้งคราว
"แม่คะ ไม่เป็ไรหรอกค่ะ แค่่เย็นๆ เท่านั้นเอง"
หวังหย่วนฉิงส่ายหน้า
"แล้วตอนกลางวันพวกลูกมีเวลาหรือไง?"
คำถามนี้ทำให้หมี่หลันเยว่พูดอะไรไม่ออก
"ตอนกลางวันพวกลูกก็ต้องไปเรียน จะมีก็แค่่เย็นๆ เท่านั้นแหละที่พอจะใช้ประโยชน์ได้ พวกลูกต้องดูแลทั้งโรงงาน ทั้งร้านเสื้อผ้า แถมยังต้องทำการบ้านอีก แล้วจะมีเวลาเหลือที่ไหน ถ้ายังต้องมาวุ่นวายดูแลร้านหนังสือนี้อีก มันก็จะเหนื่อยเกินไป แม่ว่าร้านหนังสือนี้เราปิดไปเถอะ"
พูดตามตรง การปิดร้านหนังสือนี้ หวังหย่วนฉิงก็คิดแล้วคิดอีก เธอเองก็เสียดายเหมือนกัน เพราะรายได้จากการให้เช่าหนังสือและการขายของในร้านนั้น ก็ถือว่าดีมากๆ ในแต่ละเดือน แต่เธอจะยอมให้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาขวางทางก้าวหน้าของลูกๆ ได้ยังไง?
ธุรกิจของลูกสาวเริ่มจะดีขึ้นแล้ว ตอนนี้เป็่หัวเลี้ยวหัวต่อของการเริ่มต้นธุรกิจ ในฐานะที่เป็คนมีการศึกษา หวังหย่วนฉิงจะไม่เหมือนกับแม่บ้านทั่วไป ที่มองแต่ผลประโยชน์ตรงหน้า ร้านเสื้อผ้าของลูกสาว คืออนาคตของลูกสาว เธอจึงอยากให้ลูกสาวไม่ต้องมีอะไรให้ต้องกังวลใจ และทุ่มเทอย่างเต็มที่
"แม่ครับ ผมช่วยแม่ดูร้านได้นะ หลังจากเลิกเรียนแล้ว ผมจะไม่ไปเล่นที่ไหนเลย ผมจะกลับมาช่วยแม่ดูร้านหนังสือ แม่บอกว่าพี่สาวกับพี่ชายช่วยแม่เปิดร้านหนังสือนี้ั้แ่ตอนอายุเก้าขวบ แล้วตอนนี้ผมก็สิบขวบแล้วเหมือนกัน ถึงผมจะเปิดร้านเองไม่ได้ แต่ช่วยดูแลร้านให้แม่ได้แน่นอนฮะ"
หวังหย่วนฉิงมองดูลูกชายคนเล็กที่แสดงท่าทีแน่วแน่ว่าอยากจะรับภาระนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เด็กๆ มักจะเติบโตขึ้นเสมอ และด้วยการมีลูกชายคนโตและลูกสาวเป็แบบอย่าง ลูกชายคนเล็กคนนี้ แม้ว่าจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ แต่ก็ไม่ได้สูญเสียความดีงามและความบริสุทธิ์ไป นี่ทำให้หวังหย่วนฉิงภูมิใจมาก ลูกทั้งสามคนของเธอเก่งกันทุกคน
"ไม่ต้องหรอก หลันซิง แม่รู้ว่าลูกก็อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของที่บ้าน แต่ร้านหนังสือนี้ เราไม่เปิดมันแล้วดีกว่า เอาเวลาที่จะดูร้าน ไปช่วยพี่สาวของลูกดีกว่านะ ไม่ว่าจะเป็ที่โรงงานหรือที่ร้าน เราก็ช่วยได้"
การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่ใช่การตัดสินใจที่เร่งรีบของหวังหย่วนฉิง เธอได้ไตร่ตรองมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ไม่อย่างนั้น เธอคงจะไม่เร่งเร้าให้สามีไปช่วยลูกสาวหาร้านเช่าั้แ่เมื่อเช้านี้หรอก หลังจากที่เธอไปช่วยงานที่โรงงานของลูกสาวได้ไม่กี่วัน เธอก็รู้ว่าลูกสาวไม่ได้ทำเล่นๆ แต่กำลังทำธุรกิจอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะ เมื่อวานนี้ที่บ้านแม่ของเธอ ได้เห็นภาพลูกสาวดูแลลูกชายของเธอ ทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งใจเป็อย่างมาก ลูกสาวเสียสละเพื่อครอบครัวนี้มากเกินไป ในขณะที่ตัวเธอเองซึ่งเป็แม่ กลับทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจที่จะปิดร้านหนังสือ เพื่อให้ลูกสาวไม่ต้องกังวลเื่ครอบครัว
ในฐานะที่เป็แม่ ธุรกิจของลูกสาวคือสิ่งสำคัญที่สุด เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่สนับสนุน ไม่ว่าอะไรจะมาถ่วงลูกสาวไว้ เธอก็จะไม่ยอม แม้แต่ตัวเธอเองด้วยซ้ำ ร้านเล็กๆ ที่บ้านจะทำเงินมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถขยายใหญ่ได้ แถมยังอาจจะถ่วงความก้าวหน้าของลูกสาวไว้อีกด้วย สู้ปล่อยมือั้แ่เนิ่นๆ ให้ลูกสาวก้าวไปข้างหน้าได้เต็มที่
"แม่คะ..."
หมี่หลันเยว่รู้สึกซาบซึ้งใจมาก เธอรู้ว่าแม่เป็คนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่การที่แม่ยอมหยุดร้านหนังสือที่ทำเงินมาโดยตลอดนั้น ไม่ใช่การตัดสินใจธรรมดา แสดงให้เห็นว่าแม่ได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้ว
เธอคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว เธอเข้าใจว่าแม่้าที่จะช่วยเธออย่างเต็มที่ เพื่อให้เธอสามารถบริหารร้าน ห้องเสื้อหลันเยว่ให้ดีที่สุด เมื่อได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เธอจะยังต้องกลัวอะไรอีก? เส้นทางสู่ความสำเร็จอาจจะมีอุปสรรคบ้าง แต่เธอจะไม่ยอมถอยอย่างแน่นอน
ตราบใดที่คนในครอบครัวร่วมแรงร่วมใจกัน ก็ไม่มีอะไรที่เป็ไปไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังมีสมองที่เคยผ่านโลกมาแล้วครั้งหนึ่ง ประสบการณ์จากชาติที่แล้วที่ไม่เป็ที่รู้จักเ่าั้ จะช่วยนำทางเธอไปสู่ความสำเร็จในธุรกิจได้อย่างแน่นอน อนาคตของเธอจะต้องสดใสและไร้ขีดจำกัด
เมื่อตัดสินใจว่าจะไม่เปิดร้านหนังสือต่อแล้ว หมี่จิ้งเฉิงก็ติดประกาศที่หน้าร้าน โดยระบุว่าร้านจะปิดทำการอย่างถาวรในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ก่อนหน้านั้น หากเพื่อนๆ คนไหนที่ยังอยากอ่านหนังสือ ก็ขอให้รีบมาดู ส่วนสินค้าในร้าน จะขายในราคาถูก ใครอยากซื้อให้รีบมา
นั่นหมายความว่า ร้านหนังสือของบ้านหมี่ จะปิดตัวลงก่อนเปิดเทอมใหม่ ่เวลาที่เหลืออีกหนึ่งเดือนนี้ เป็่เวลาพักผ่อนของหมี่จิ้งเฉิงและหวังหย่วนฉิง ดังนั้นหนึ่งเดือนก็ยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ และหลันซิงตัวน้อยก็ยกมือสนับสนุนด้วยว่า เขาจะทำหน้าที่เป็พนักงานขายของร้านหนังสือของตัวเองให้ดีที่สุดใน่เดือนสุดท้ายนี้
เมื่อที่บ้านไม่ต้องให้เธอและพี่ชายเป็ห่วงอีกต่อไป หมี่หลันเยว่ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ที่บ้านเสียสละเพื่อเธอขนาดนี้ เธอก็ต้องแสดงความสามารถให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ถึงจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังกับการสนับสนุนที่พวกท่านมอบให้ เธอจะต้องพยายามให้มากขึ้น
"ลุงหมี่ มีคนจากร้านข้างหน้ามาบอกว่า ให้ลุงกับลูกสาวไปดูห้องเช่าตอนแปดโมงครึ่งพรุ่งนี้เช้านะ พวกเขาไม่รู้ว่าห้องเช่าอยู่ที่ไหน คงไม่ได้บอกในโทรศัพท์"
คนจากร้านข้างหน้าวิ่งมาแจ้งข่าวด้วยความเป็ห่วง กลัวว่าเธอจะฟังข่าวสารไม่เข้าใจ
"อ้อ เรารู้แล้ว ขอบคุณมากนะ ที่อุตส่าห์วิ่งมาบอก"
หมี่จิ้งเฉิงดีใจมากที่ได้ยินข่าว จึงยื่นเงินให้ไปห้าเหมา ลุงที่มาส่งข่าวรีบหาเงินทอน
"เอาแค่เหมาเดียวก็พอ ไม่ต้องให้เยอะขนาดนี้ ไม่มีเหรียญย่อยเหรอ งั้นฉันหามาทอนให้"
"ไม่ต้องหรอก อุตส่าห์วิ่งมาตั้งไกล เงินไม่ต้องทอนหรอก เื่นี้สำคัญกับผมมาก ลุงรีบมาบอกผมก็ดีใจมากแล้ว รีบกลับไปเถอะ ที่ร้านต้องมีคนดูแล"
หมี่จิ้งเฉิงไม่รอให้เขาควักเงินทอนออกมา ดันตัวเขาออกไปเลย
นี่เป็ข่าวดีจริงๆ ดังนั้น หมี่จิ้งเฉิงจึงดีใจมากที่ได้รับข่าวอย่างรวดเร็ว และไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเงินไม่กี่เหมาที่เสียไป เขามีกำลังใจมาก ในเมื่อตอนนี้เป็่วันหยุด ถ้าลูกสาวสามารถจัดการเื่ห้องขายของได้ เขาก็ยังมีเวลาที่จะช่วยได้บ้าง
ยังไงก็ตาม หมี่จิ้งเฉิงยังไม่รู้ว่าลูกสาวของเขาจะสร้างความยิ่งใหญ่ขนาดไหน ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่มั่นใจขนาดนี้ บางทีอาจจะใจนทำอะไรไม่ถูกไปเลยก็ได้ แต่หมี่หลันเยว่ไม่มีเวลามาสนใจเื่พวกนี้ เธอเริ่มคิดแล้วว่า พรุ่งนี้จะทำยังไงถึงจะใช้ต้นทุนที่น้อยที่สุด เพื่อให้ได้ผลประโยชน์ที่มากที่สุด
"ลุงหวังคะ หลังจากตรุษจีน พวกลุงเคยบอกเื่การปล่อยเช่า่บ้างไหมคะ มีใครสนใจไหมคะ แล้วจะมีคนมาเช่าห้องขายของประมาณกี่คนคะ"
หมี่หลันเยว่ถามคำถามที่เป็ประโยชน์กับหวังเ้าชิ่ง เพื่อที่จะได้รู้ว่า จะมีห้องขายของให้เช่าออกไปได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็กุญแจสำคัญว่า หมี่หลันเยว่จะสามารถเช่าพื้นที่ครึ่งหนึ่งของร้านได้ในราคาถูก
"ยังไม่ได้ประกาศออกไปเลย หลังจากตรุษจีน พวกเราก็จะประกาศเื่การปล่อยเช่า่นี้ แต่พูดตามตรงนะหลันเยว่ อนาคตมันไม่ค่อยสดใสนักหรอก"
หวังเ้าชิ่งไม่ได้คิดที่จะปิดบังอะไรหมี่หลันเยว่ เขาอยากจะบอกเื่นี้ให้เด็กสาวฟังจริงๆ
แม้ว่าเด็กสาวจะยังเด็ก แต่หลังจากที่ได้ติดต่อกันมาสองครั้ง หวังเ้าชิ่งก็ดูออกแล้วว่า หมี่หลันเยว่ไม่ได้ดูเด็กและตัวเล็กอย่างที่เห็น ภายในใจของเธอเข้มแข็งและแข็งแกร่งมาก แถมเธอยังมีไหวพริบดี มีความคิดดีๆ และสามารถพลิกแพลงสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว บางทีปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ อาจจะได้รับการแก้ไขจากเธอได้อย่างง่ายดายก็ได้
"อ้อ งั้นคงต้องวางแผนกันอย่างดีๆ แล้วล่ะค่ะ ลุงหวังคะ พวกลุงตั้งใจจะแบ่งพื้นที่เป็ห้องขนาดเท่าไหร่คะ"
หมี่หลันเยว่พยักหน้ารับ แล้วให้เฉียนหย่งจิ้นและหลินเผิงเฟยวัดพื้นที่อย่างละเอียด เพื่อที่จะได้รู้ว่า หากเช่าพื้นที่ครึ่งหนึ่งของร้าน จะสามารถแบ่งเป็ห้องได้กี่ห้อง
"ด้านนี้มีห้าห้อง ด้านที่ยาวมีสิบสองห้อง ส่วนตรงกลางก็ต้องคำนวณแยกต่างหาก ประมาณนี้แหละ"
ใกล้เคียงกับที่เธอคาดการณ์ไว้
"งั้นก็ได้ค่ะ ลุงหวัง ในเมื่อหนูมาก่อน ก็ขอใช้โอกาสนี้หน่อยนะคะ หนูขอเหมาห้าห้องด้านขวามือทั้งหมดเลยค่ะ"
หมี่หลันเยว่ใช้มือชี้ไปยังตำแหน่งที่อยู่ตรงหน้า
"ห้าห้องนี้เป็ของหนู ร้านของหนูจะเปิดทำการหลังจากเปิดร้าน ส่วนห้องที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง หนูขอจองไว้ก่อนนะคะ อย่างนี้ พวกคุณก็แค่แบ่งห้องที่เหลือให้คนอื่นเช่าไปก่อนก็พอ"
หวังเ้าชิ่งขำ
"นี่เธอคิดได้ดีนี่นา ห้าห้องนี้มีตู้กระจกแสดงสินค้าอยู่ด้านหลังด้วย เธอนี่เลือกเก่งจริงๆ"
"ลุงหวังคะ นอกจากหนูแล้ว จะมีใครอยากได้ห้าห้องรวดเดียวล่ะคะ ถ้าไม่ได้ห้าห้องพร้อมกัน หน้าต่างโชว์สินค้าพวกนั้นก็จะกลายเป็ปัญหาใหญ่ไปเลยค่ะ"
ต้องบอกว่า หมี่หลันเยว่พูดถูกอีกแล้ว หวังเ้าชิ่งได้แต่บอกว่า เด็กสาวคนนี้มีความคิดที่เฉียบแหลมเกินไป
"เอาล่ะๆ ในเมื่อลุงรับปากว่าจะให้เธอเลือกก่อนแล้ว ลุงก็จะไม่ผิดคำพูดหรอก แถมเธอยังช่วยลุงไว้เยอะขนาดนี้ด้วย ความคิดเื่การจองนี่ก็ดีนะ ลุงจะปรึกษากับเพื่อนร่วมงานในแผนกดู ทุกคนน่าจะเห็นด้วยที่จะใช้วิธีของเธอ"
"งั้นเราตกลงกันแล้วนะคะ ลุงหวัง หนูขอจองห้าห้องนี้ไว้นะคะ จะให้ทำเื่เมื่อไหร่ บอกหนูได้เลย ส่วนที่เหลือ ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของลุงๆ แล้วล่ะค่ะ แต่ถ้าถึงตอนนั้นมีปัญหา หนูจะช่วยลุงๆ คิดหาวิธีอีกที"
หมี่หลันเยว่มั่นใจมาก ตอนนั้นร้านนี้ปล่อยเช่าพื้นที่ไปได้ครึ่งหนึ่งโดยที่ปล่อยพื้นที่ว่างไว้นานกว่าครึ่งปี กว่าจะมีผู้เช่ารายใหม่เข้ามาอย่างช้าๆ แถมยังปล่อยเช่าในราคาถูก แต่ก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาแค่ปีเดียวเท่านั้น อย่างอื่นช่างมันก่อน อย่างน้อยเธอก็จองห้าห้องนี้ได้แล้ว
