บทที่ 31 ตอบโต้
มู่หรงเหิงที่อยู่ข้างๆ เขามองดูรอยกระบี่ลึกบนพื้น กลืนน้ำลายลงคอ แล้วแอบกัดลิ้น "ผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน ไฉนฉู่อวิ๋นผู้นี้ถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนี้?! น่ากลัวนัก...เขายังเป็มนุษย์อยู่หรือเปล่า?”
โชคดีที่ตอนนี้เขาบอกความจริงไปแล้ว ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ถูกฟันขาดอาจจะไม่ใช่พื้น แต่เป็ร่างกายของเขา
ทันใดนั้น ฉู่อวิ๋นจ้องไปที่มู่หรงเหิงอย่างเ็า ทำให้หัวใจของเขาเต้นรัว
“ในรอบแรกของการประลองนี้ เ้าก็ควรพักสักหน่อย ไม่มีส่วนของเ้าแล้ว” ฉู่อวิ๋นเผยรอยยิ้มแปลกๆ ก่อนจะจับมู่หรงเหิงที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วะโขึ้นไปบนสัตว์แห่งลมและขี่ออกไป
จู่ๆ มู่หรงเหิงก็ตื่นตระหนกและถามอย่างรวดเร็ว "พี่ใหญ่อวิ๋น! ท่านจะ...พาข้าไปที่ไหน!"
ฉู่อวิ๋นไม่ตอบแต่เตะท้องของสัตว์ปีศาจ ทำให้สัตว์แห่งลมทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ไม่นานหลังจากนั้น เมื่ออยู่ห่างจากบริเวณแม่น้ำไม่มากแล้ว ฉู่อวิ๋นก็โยนมู่หรงเหิงลงบนพื้น
จากนั้น ฉู่อวิ๋นก็ใช้แถบผ้ารัดมัดมู่หรงเหิงให้แน่น แล้วแขวนเขาไว้บนกิ่งไม้สูงและขอให้สัตว์แห่งลมเฝ้าอยู่ด้านล่าง
“นี่นี่ คุณชายมู่หรง เ้าที่เคยคิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าคนอื่นตอนนี้เป็อย่างไรบ้างเล่า? สูงพอหรือยัง? ได้ไปเปลือยกายแขวนห้อยอยู่บนต้นไม้สบายใจหรือไม่?” ฉู่อวิ๋นเงยหน้ามองมู่หรงเหิงที่อับอายและพูดด้วยรอยยิ้ม
มู่หรงเหิงแกว่งไกวไปมาในอากาศ ตัวสั่นด้วยความกลัว และกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า "ฮือ! พี่ใหญ่อวิ๋น! ข้าผิดไปแล้ว ปล่อยข้าลงไปเถอะ! ข้า...ข้ากลัวความสูงนิดหน่อย!"
“ไม่สูงไม่สูง! แค่อย่าขยับไปไหนก็พอ ถ้าตกลงมาอย่าลืมว่ามีสัตว์ปีศาจคอยเฝ้าอยู่นะ ถ้าเ้าอยากปลอดภัยก็ทำตัวดีๆ อยู่บนนั้นเสีย” ฉู่อวิ๋นยิ้มอย่างขี้เล่น
ปล่อยให้มู่หรงเหิงอยู่ที่นี่ ฉู่อวิ๋นก็พอโล่งใจอยู่บ้าง เพราะแม้ว่าผู้คุ้มกันทั้งสองจะตื่นขึ้นมาแต่ก็ต้องใช้ในเวลาค้นหาตำแหน่งของมู่หรงเหิงไปไม่น้อย
เมื่อถึงเวลานั้น แม้ว่าทั้งสามคนจะร่วมมือกัน แต่ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะมีคะแนนมากพอจนเข้าสู่รอบต่อไป
แม้ว่าฉู่อวิ๋นจะเห็นแก่มู่หรงซินจึงไม่ได้สังหารมู่หรงเหิง ทว่าก็ควรทรมานให้เขาได้รับบทเรียนเสียหน่อย
ก่อนออกเดินทาง ฉู่อวิ๋นยังกระซิบกับสัตว์แห่งลมซึ่งสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ บอกให้มันวิ่งหนีทันทีเมื่อเห็นใครเข้ามา
ฉู่อวิ๋นไม่้าให้สัตว์ปีศาจตัวน้อยนี้ประสบกับภัยอันตรายที่ไร้เหตุผล
จากนั้น ฉู่อวิ๋นก็รีบไปยังจุดที่มีเครื่องหมายสีแดงขนาดใหญ่บนแผนที่ทันที
บนกิ่งไม้ มู่หรงเหิงมองไปที่แผ่นหลังของฉู่อวิ๋น ขาของเขาสั่นระริกและเริ่มกรีดร้อง "ฮือ...พี่ใหญ่อวิ๋น! ข้าผิดไปแล้ว!"
“ข้ากลัวความสูงจริงๆ...ปล่อยข้าลงไปเถอะ!”
“อ๊ะ! ท่านอย่าไปนะ อย่าไป ข้ากลัวมากเลย ฮือ...”
หนึ่งชั่วยามต่อมา ฉู่อวิ๋นก็มาถึงจุดหมายของเขา เขาซ่อนตัวอยู่บนโขดหินเล็กๆ เพื่อสังเกตสถานการณ์ด้านล่าง
มองเห็นคนหกถึงเจ็ดคนในเส้นทางที่มีเครื่องหมาย ในหมู่พวกเขา หลินหล่างและฉู่เจี้ยนเหรินกำลังนั่งขัดสมาธิบนก้อนหินขนาดใหญ่ ดูผ่อนคลาย และพูดคุยหัวเราะกัน ในขณะที่คนอื่นๆ ยืนอยู่รอบๆ คอยระวังความปลอดภัย
พวกเขาเกือบทั้งหมดเป็นักรบในระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ และคนที่แย่ที่สุดก็อยู่ถึงระดับสี่ของขอบเขตควบแน่นพลังปราณแล้ว
ในบางครั้ง ผู้เข้าแข่งขันบางคนจะมาที่นี่เพื่อเข้าไปในส่วนลึกของูเา แต่ก็จะถูกหลินหล่างและพรรคพวกขับไล่ออกไป แม้แต่แต้มศิลาหยกก็จะถูกยึดไปด้วย
“สถานที่แห่งนี้ป้องกันง่ายแต่โจมตียาก หลินหล่างกับพวกยึดที่นี่เป็ที่มั่น ร้ายกาจจริงๆ” ฉู่อวิ๋นแอบคิดในใจ เว้นแต่ว่าเขาจะเป็นักรบในระดับหกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณหรือสูงกว่า ไม่เช่นนั้นใครที่ผ่านมาก็จะถูกคนพวกนี้ปล้นฆ่าอย่างเดียว
ในระหว่างการประลอง แม้ว่าจะมีคนที่คิดหรือทำเช่นนี้บ้าง แต่พวกเขาไม่เคยทำอย่างโจ่งแจ้งเท่าหลินหล่างและฉู่เจี้ยนเหริน
พฤติกรรมของพวกเขาไม่ต่างจากโจรสามานย์ ทั้งยังขัดต่อความตั้งใจเดิมของงานประลองเซี่ยหยาง
“หลินหล่างกับฉู่เจี้ยนเหรินเ้าเล่ห์ใช้ได้ หากพวกเขายังทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะรวบรวมศิลาหยกได้จำนวนมากแล้ว ยังใช้โอกาสนี้ซุ่มสังหารข้าได้ด้วย” ความเยือกเย็นในดวงตาของฉู่อวิ๋นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาส่ายหัว จับกระบี่เศวตรรุ้งไว้แน่น "ทว่าน่าเสียดาย..."
น่าเสียดายที่พวกเขาไม่คิดว่าตอนนี้ฉู่อวิ๋นจะอยู่ที่ระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณแล้วเช่นกัน
และพลังยุทธ์ที่แท้จริงยังสูงกว่านี้อีกด้วย
ในเวลานี้ นักรบอีกคนที่ผ่านมา ถูกหลินหล่างและพรรคพวกปล้นศิลาหยกไปอีกแล้ว แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไป
“ฮ่าๆ เราได้ศิลาหยกมาอีกแล้ว พี่เจี้ยนเหริน การประลองล่าแต้มนี้ไม่ยากอะไร พวกเราก็แค่รออยู่ที่นี่แล้วเข้ารอยต่อไปแบบสบายๆ” เด็กหนุ่มจากตระกูลฉู่ส่งต่อถุงเก็บศิลาหยกให้ฉู่เจี้ยนเหรินและพูดด้วยรอยยิ้ม
หลังจากรับศิลาหยกไปแล้ว ฉู่เจี้ยนเหรินก็ยิ้มเล็กน้อยและพูดอย่างภาคภูมิใจ "นี่ เ้าพูดเช่นนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายหลิน เราคงไม่สามารถยึดครองสถานที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
เมื่อได้ยิน หลินหล่างที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาก็หัวเราะและพูดว่า "คำพูดนี้ผิดแล้ว เราทั้งคู่มีศัตรูร่วมกัน จึงควรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คุณชายฉู่มีทักษะกระบี่ยอดเยี่ยมไร้ผู้ใดเทียม การฝึกฝนก็มาถึงระดับห้าของขอบเขตควบแน่นพลังปราณแล้ว เมื่อเ้าสุนัขนั่นมาถึง เราก็ค่อยฆ่าเขาให้สาแก่ใจเสีย”
“ฮ่าๆ ! ใช่แล้ว! เ้าฉู่อวิ๋นนั่นจะต้องถูกตัดเป็พันๆ ชิ้น บรรเทาความเกลียดชังของเราสอง!” ฉู่เจี้ยนเหรินหัวเราะ
ในเวลานี้ ศิษย์ตระกูลหลินคนหนึ่งถามอย่างสงสัย "คุณชายหลิน ถ้าฉู่อวิ๋นเลือกที่จะเป็เต่าหัวหด ไม่มาที่นี่ เราจะไม่รอโดยเสียเปล่าหรือ?"
หลินหล่างยกยิ้มเย้ยและพูดว่า "เ้านั่นมันเ้าเล่ห์และมีไหวพริบ ครั้งที่แล้วมันเกือบทำให้ข้ากับมู่หรงเหิงตาย ครั้งนี้มันคงคิดว่าหากอยากได้แต้มเยอะขึ้นก็ต้องเดินลึกเข้าไปในเขา"
“แต่ถ้ามันโง่ไม่เข้ามาดังเช่นที่ว่าจริงๆ ก็ช่างปะไร อย่างไรเสียเราก็มีถุงแต้มศิลาหยกและแผนที่สัตว์ปีศาจที่เพียงพอสำหรับเราทุกคนให้ผ่านเข้าสู่รอบสองอยู่แล้ว”
ในตอนนี้ หลินหล่างเหลือบมองถุงหินหนักที่อยู่ข้างๆ เขาและยิ้มอย่างพึงพอใจ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ตื่นเต้นมาก การประลองล่าแต้มไม่เพียงแต่ต้องอาศัยความแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยการสังเกตและโชคช่วยเล็กน้อยเพื่อผ่านเข้ารอบต่อไป
เทือกเขากว้างใหญ่ สัตว์ปีศาจมากมาย จะหาสัตว์สักตัวที่มีคะแนนได้ง่ายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?
ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่นให้ผ่านเข้ารอบได้โดยที่ตนเองไม่ต้องลำบาก พวกเขาย่อมมีความสุข
เมื่อมองดูกลุ่มที่แข็งแกร่งนี้ ฉู่เจี้ยนเหรินดูพอใจและพูดอย่างสบายๆ "ข้าคิดว่า ต่อให้เ้าดาวหายนะจะไม่มา แต่เราก็ยังสามารถ 'ยืม' แต้มศิลาหยกที่นี่กันต่อไปได้อยู่ ฮ่าๆๆ ! "
ฉู่เจี้ยนเหรินและหลินหล่างหัวเราะอย่างเต็มที่ พลังของพวกเขานั้นเพียงพอที่จะกวาดล้างผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ได้
ท้ายที่สุดแล้ว จำนวนนักรบที่อยู่เหนือระดับหกของขอบเขตควบแน่นพลังปราณนั้นมีน้อย ไม่เพียงพอจะตั้งค่ายปรามได้ครบสามสิบสองแห่ง
“ปล้นก็คือปล้น มาเรียกกันว่า ‘ยืม’ เช่นนี้ ไร้ยางอายเสียจริง”
ทันใดนั้นก็มีเสียงคล้ายไม่แยแสดังมาจากที่สูง ทำให้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองทันที
“นั่นใครพูดไร้สาระอยู่?! กล้าดีอย่างไรมาด่าว่าพวกข้า?”
“ใครมันกล้าขนาดนี้? แน่จริงก็ลงมา!”
ทุกคนอยู่ในความโกลาหลและะโเสียงดัง แต่ฉู่เจี้ยนเหรินและหลินหล่างกลับขมวดคิ้วและมองหน้ากัน จากนั้นก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายและเงยหน้ามองอีกครั้ง
เขาทั้งคู่จำเสียงนี้ได้
มองเห็นร่างหนึ่งอยู่กลางอากาศ เหมือนใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมา ร่อนลงสู่พื้น ลำตัวยืนสูงตระหง่าน สีหน้าสงบนิ่งเหมือนน้ำ
ฉู่อวิ๋นมองไปรอบๆ อย่างไม่แยแส ก่อนส่ายหัวและถอนหายใจ "พาคนมามากเช่นนี้ พวกเ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างหรือ? การประลองเซี่ยหยางเดิมทีเป็การแข่งขันเพื่อทดสอบความสามารถของนักรบ แต่พวกเ้ากลับก่อพรรคตั้งพวกขึ้นมาปล้นผู้เข้าประลองคนอื่นเช่นนี้หรือ?”
“ต่อให้เข้าสู่รอบต่อไปได้แล้วอย่างไร? สุดท้ายก็จะถูกจับฟาดกระแทกพื้น กลายเป็ตัวตลกให้คนหัวเราะเยาะอยู่ดี”
เมื่อได้ยินคำพูดเย้ยหยันของฉู่อวิ๋น สีหน้าของทุกคนก็เริ่มไม่น่าดู พวกเขาทั้งหมดดึงอาวุธออกมาอย่างอาฆาต
หลินหล่างะโลงจากก้อนหิน เดินไปยังใจกลางกลุ่มแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม "เ้าคนสารเลว ยังมีเวลามาสอนบทเรียนให้เราอีกหรือ? ดูตัวเองเสียก่อนว่าตอนนี้อยู่ในสถานการณ์แบบไหน? เกรงว่าต่อให้ตายไปแล้วก็คงไม่มีใครมาเก็บศพกระมัง!"
นักรบที่เหลืออีกห้าคนรีบเดินไปล้อมรอบฉู่อวิ๋น พร้อมยิ้มอย่างประชดประชัน
เจ็ดต่อหนึ่ง แค่เห็นก็รู้ว่าฝ่ายไหนได้เปรียบ แต่ฉู่อวิ๋นคนนี้กลับยังสงบและใจเย็นขนาดนี้ได้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังจะตาย โง่เขลาจริงๆ
ฉู่เจี้ยนเหรินขยิบตา เดาะริมฝีปากซ้ำๆ ค่อยๆ เข้าหาฉู่อวิ๋นและพูดเยาะเย้ย "เฮ้อ! เ้าเป็คนฉลาด แต่น่าเสียดายที่มาพบกับพวกข้า วันนี้เ้าคงออกไปจากที่นี่ไม่ได้แล้ว"
“เมื่อตกนรกไปก็ไปสารภาพกับท่านอ๋องเหยียนโหลว[1]เสีย เ้าทำให้ข้าอับอายแล้วยั่วยุคุณชายหลินั้แ่แรกเอง? รนหาที่ตายแท้ๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่เจี้ยนเหริน ทุกคนก็หัวเราะออกมาด้วยสายตาดูแคลน
ทว่าฉู่อวิ๋นยังคงดูสงบ และพูดอย่างไม่เร่งรีบ "ข้าทำให้เ้าขายหน้าหรือ? ไร้สาระน่า วันนั้นที่เ้าพ่ายแพ้ข้า ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ สู้คนอื่นไม่ได้ก็อย่าเก็บมาเป็ไฟแค้น ไปขยันฝึกฝนเสียเถอะ”
“ส่วนหลินหล่าง ข้าไปยั่วยุเ้าตอนไหน? วันนั้นเพราะข้าหาเจอ ดอกปี้หลิงจึงเป็ของข้า ไม่อาจยกให้เ้าได้ก็เป็เื่สมควร แต่เ้ากลับคอยข่มขู่ ทั้งตอนนี้ยังมาโจมตีข้าอีก เป็ผู้ร้ายหมายแจ้งศาลก่อน[2]หรืออย่างไร?”
“ฮ่าๆ หากอยากฆ่าข้า เหตุใดต้องทำตัวให้สูงสง่าเสียขนาดนั้น? ลงมือเลยสิ”
จู่ๆ ฉู่อวิ๋นก็เพ่งสายตาและเหวี่ยงกระบี่เศวตรรุ้งออกไป ปรากฏดวงดาวสุกใส และแสงสีม่วงกะพริบระยิบระยับ
ทว่าหลินหล่างและฉู่เจี้ยนเหรินกลับดูสงบ พวกเขาคิดว่าฉู่อวิ๋นคงยอมรับความพ่ายแพ้และพร้อมที่จะสู้จนตัวตายแล้ว
“หลินเหมิ่ง จัดการมันเสีย!”
หลังจากที่หลินหล่างพูดจบ นักรบที่ชื่อหลินเหมิ่งก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมค้อนขนาดใหญ่ตั้งใจฟาดที่หัวของฉู่อวิ๋น
"ตึง!"
เพียงยกค้อนขนาดใหญ่ขึ้น ก็มีเสียงลมพัดทื่อๆ ให้สนั่นหู
“นี่ เ้าชั่ว โจมตีข้าสิ ย๊า!”
หลินเหมิ่งะโเสียงดังและปล่อยให้ค้อนหนักตกลงมาด้วยความเร็วสูงพร้อมกับพลังปราณที่ถ่ายเทลงไปด้วย
"ควั่บ!"
ทันใดนั้น แสงกระบี่ก็พุ่งออกมา เปล่งแสงแวววาวคล้ายกับดาวตกบนท้องฟ้าและหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันใด
ค้อนหนักนั่นนิ่งไปทันที จากนั้นก็หล่นลงกับพื้นเสียงดังกราว แต่ฉู่อวิ๋นยังคงยืนถือกระบี่อยู่
“แค่ก...ทำไม...ทำไม?”
หลินเหมิ่งคร่ำครวญ กระอักออกมาเป็เื มองลงไปก็เห็นาแจากกระบี่พาดเอียงบนหน้าอกของตนเอง
ครู่ต่อมา เขาก็ล้มลงกับพื้นด้วยอาการาเ็สาหัส มองด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
“เกิดอะไรขึ้น? ทำไม...ทำไมจู่ๆ หลินเหมิ่งถึงาเ็ได้ล่ะ?”
“แปลกนัก! ฉู่อวิ๋นคนนี้ดูเหมือนจะไม่ขยับเลย!”
“ไม่ เขาขยับแล้ว! แต่แค่...กระบี่ของเขาเร็วเกินไป ข้าเองก็เห็นแสงกระบี่เพียงแวบเดียวเท่านั้น!”
“หลินเหมิ่งเป็นักรบระดับห้าในขอบเขตควบแน่นพลังปราณ! เขาจะอ่อนแอเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เมื่อเห็นหลินเหมิ่งล้มลงโดยไม่คาดคิด ทุกคนก็ใและมองหน้ากัน แม้แต่หลินหล่างกับฉู่เจี้ยนเหรินก็ยังตกตะลึง
ฉู่อวิ๋นคนนี้ ไม่ใช่นักรบระดับสี่ในขอบเขตควบแน่นพลังปราณหรอกหรือ? เหตุใดเขาจึงเอาชนะหลินเหมิ่งได้ด้วยการกระบวนท่าเดียวเล่า?
ฉู่อวิ๋นสงบลงและพูดอย่างใจเย็น : "มีผู้ใด ้าเข้ามาสังหารข้าอีกหรือไม่?"
--------------------
[1] หรือที่รู้จักกันในชื่อ "าาแห่งนรก" และ "าาแห่งยามะ" เป็หนึ่งในสิบาาแห่งนรกในตำนานจีนโบราณ พระองค์คือผู้ปกครองขุมที่ 5 ในยมโลก ตำนานเล่าว่าชาติก่อนของพระองค์คือเป่าเจิ้ง
[2] เป็คนกระทำผิดแต่กลับแจ้งความจับคนอื่นหรือบ่นเื่ที่คนอื่นไม่ได้มีส่วนกระทำด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้