แต่ทว่าหลี่ฉางเฉิงกลับส่ายหน้ายืนกราน “บิดาบอกว่า บุญคุณของเหล่าโหวเหฺยที่มีต่อเขาหนักดังขุนเขา เขาเป็รองแม่ทัพของเหล่าโหวเหฺยตลอดชีวิตพ่ะย่ะค่ะ หน้าที่ของเขาคือคุ้มครองดูแลเสี่ยวโหวเหฺย เวลานี้บิดาแก่เฒ่าแล้ว หน้าที่คุ้มครองดูแลเสี่ยวโหวเหฺยนั้นย่อมต้องเป็หน้าที่ของกระหม่อม สำหรับกระหม่อมแล้วไม่จำเป็เสมอไปว่าต้องเป็ขุนนางในราชสำนักจึงจะเป็เื่ที่มีความหมาย ทำเื่ที่ตนอยากจะทำ คิดจะทำ จึงจะเป็เื่ที่มีความหมายพ่ะย่ะค่ะ”
“นิสัยของเ้าและหลี่จงินั้นเหมือนกัน” จ้าวหนิงฮ่องเต้ถอนหายใจเบาๆ “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เจิ้นจะแต่งตั้งให้เ้าเป็องครักษ์ขั้นเจ็ด สำหรับทำหน้าที่คุ้มครองดูแลจงหย่งโหว”
หลี่ฉางเฉิงตกตะลึง จากนั้นจึงรีบโขกหัว “ขอบพระทัยฝ่าาพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ที่ฝ่าาแต่งตั้งและให้ขั้นตำแหน่งขุนนางย่อมต่างจากองครักษ์ทั่วไป การเป็องครักษ์ธรรมดาสามัญคุ้มกันอยู่ข้างกายโหวเหฺย ที่จริงแล้วเป็เพียงบ่าว แต่เมื่อฝ่าาแต่งตั้งย่อมไม่ใช่บ่าวอีกต่อไป เท่ากับเป็ขุนนางของราชสำนัก
หลี่ฉางเฉิงไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็บ่าวหรือไม่ แต่เมื่อมีขั้นมีตำแหน่งแล้วย่อมต้องปลาบปลื้มยินดีเป็ธรรมดา
หลี่ลั่วนั้นดีใจไปด้วย ด้วยความจงรักภักดีของหลี่จงิต่อหลี่ซวี่และอุปนิสัยของหลี่ฉางเฉิง เขาย่อมให้หลี่ฉางเฉิงเป็เพียงองครักษ์เล็กๆ ข้างกายตนตลอดชีวิตไม่ได้ ครั้งนี้เขาตั้งใจให้หลี่ฉางเฉิงได้ปรากฏกาย เวลานี้ฝ่าาได้พระราชทานแต่งตั้งตำแหน่งขุนนางขั้นเจ็ด ท่านอาหลี่และอาสะใภ้ต้องยินดีเป็แน่
หลี่ฉางเฉิงเหลียวกลับมามองหลี่ลั่ว เขากำลังยิ้มอย่างตื้นตัน ั์ตามีน้ำตาเอ่อคลอ
หลี่ลั่วถอนใจเบาๆ เด็กหนุ่มอายุสิบห้าปี ยังคงเด็กเกินไปอยู่นั่นเอง
แต่ในสายตาของผู้อื่นแล้วนั้นกลับแตกต่างออกไป ยกตัวอย่างเช่นท่านข้าหลวงจวนว่าการ เขากับหลี่ลั่วได้พบปะกันค่อนข้างบ่อย หลี่ฉางเฉิงมักจะถูกมองข้ามอยู่เสมอ แต่ทุกครั้งที่ได้พบหลี่ลั่ว ข้างกายของเขามักจะมีหลี่ฉางเฉิงเป็เงาตามตัวไม่ห่างกายแม้แต่ก้าวเดียว
และเวลานี้ การติดตามไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียวของเขา ก็ได้รับการตอบแทนแล้วในที่สุด
หลี่เสี่ยวโหวเหฺยช่างเป็เ้านายที่ดีคนหนึ่ง การเป่าขลุ่ยท่องกลอนครั้งนี้ ที่จริงไม่จำเป็ต้องมีองครักษ์ผู้นั้น แต่หลี่เสี่ยวโหวเหฺยกลับยืนกราน้าให้องครักษ์ร่ายรำกระบี่ ความหมายคือ้าให้เขามีโอกาสได้แสดงออกต่อหน้าองค์ฮ่องเต้นั่นเอง
การแสดงต่อมาเป็การร่ายรำ ไม่น่าสนใจอันใด
การแสดงที่แท้จริงนั้นอยู่ใน่กลางคืน ถึงเวลาจะมีทูตจากแคว้นต่างๆ มาร่วมงานด้วย เวลานั้นจึงจะครึกครื้น
กู้จวิ้นเฉินลุกขึ้น กำชับบางอย่างกับจวิ้นอี จากนั้นเดินออกจากงานเลี้ยง ที่จริงหลี่ลั่วมองเขาอยู่ตลอดเวลา ทันทีกู้จวิ้นเฉินเดินออกไป เขาก็นั่งไม่ติดที่แล้ว ทว่าจวิ้นอีกำลังเดินเข้ามาหาเขา “เสี่ยวโหวเหฺย ท่านอ๋องกล่าวว่าท่านอายุยังน้อย ต้องนอนกลางวันแล้วขอรับ”
ริมฝีปากหลี่ลั่วโค้งขึ้น “ได้”
หลี่ลั่วเดินออกจากงานเลี้ยง เห็นกู้จวิ้นเฉินยืนอยู่ข้างประตู หันกลับมามองเขา
“ท่านพี่ฉีอ๋อง” หลี่ลั่ววิ่งเข้าไปด้วยความเร็วเล็กน้อย กู้จวิ้นเฉินย่อกายลงกางแขนออกทั้งสองข้างอุ้มเขาเอาไว้ “ท่านพี่ฉีอ๋อง ท่านต้องไปซีเป่ยให้ได้ใช่หรือไม่?” หลี่ลั่วซุกศีรษะลงกับซอกคอของกู้จวิ้นเฉิน น้ำเสียงละห้อยราวกับคนป่วย
“ตัดใจไม่ได้รึ?” กู้จวิ้นเฉินอุ้มเขาออกไป
ขันทีที่ยืนเฝ้าประตูงานเลี้ยง องครักษ์ และนางกำนัลทั้งหลายต่างก็เห็นเหมือนกัน อดไม่ได้ที่จะหน้าแดง ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าฉีอ๋องจะอุ้มเสี่ยวโหวเหฺยอย่างอ่อนโยนเช่นนี้
“อืม” หลี่ลั่วไม่ปล่อยโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ไป จึงยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ข้าตัดใจจากท่านไม่ได้ทำเช่นใดดีเล่า?”
“คิดถึงข้าได้” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “อนุญาตให้เ้าคิดถึงข้าได้”
“แต่ข้าคิดถึงท่าน ท่านไม่อาจรู้ได้นี่นา หากข้าคิดถึงคนผู้หนึ่ง ข้าปรารถนาให้เขารับรู้ได้ เพราะมีเพียงเขาจึงจะจดจำข้าได้ จึงจะ...ชมชอบข้าตลอดไป” การเอาใจใส่ต่อคนผู้หนึ่งอย่างเงียบๆ นั้นไม่ใช่วิธีการของเขา ในยุคสมัยนี้จะไปหาแม่พระจากที่ใดได้มากมายนัก?
“เช่นนั้นเ้าสามารถเขียนจดหมายให้ข้าได้” กู้จวิ้นเฉินกล่าว “ครั้งนี้ ขอบใจเ้ามาก” น้ำเสียงเคร่งขรึมลงเล็กน้อย
“หา?” หลี่ลั่วรับไม่ทันไปชั่วขณะหนึ่ง
“เื่ของแม่ทัพอวี๋...ข้ากลับมาอย่างเร็วที่สุดคือก่อนปีใหม่ อย่างช้าที่สุดยังไม่แน่นอน” กู้จวิ้นเฉินอุ้มเขาขึ้นเกี้ยว จากนั้นมุ่งหน้าไปตามทิศทางของวังบูรพา
เมื่อมาถึงวังบูรพา สาวใช้ของกู้จวิ้นเฉินประคองน้ำมาถาดหนึ่ง เช็ดหน้าและล้างมือให้กับหลี่ลั่ว จากนั้นปลดอาภรณ์ชั้นนอกของเขา “ไปที่เตียงเถิด”
“อืม” หลี่ลั่วคิดว่าเขา้าจะให้ตนงีบยามบ่าย
แต่ทว่า หลังจากที่เขาคลานขึ้นไปบนเตียงแล้ว กู้จวิ้นเฉินกลับจับตัวเขาเอาไว้ จากนั้นก็... “อ๊ากกก...” เขาร้องเสียงดัง ตีก้นเขาอีกแล้วนะ “เหตุไฉนจึงตีก้นข้าอีกแล้ว? พูดกันอยู่ดีๆ แท้ๆ ไฉนจึงต้องลงไม้ลงมือด้วยเล่า? พูดไม่เข้าหูแค่คำเดียวก็ตีก้นรึ? ท่านชอบตีก้นมากใช่หรือไม่?”
“ข้าไม่ได้ชอบตีก้น” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“แต่ท่านยังคงตีก้นข้า?” หลี่ลั่วถามอย่างไม่ได้รับความยุติธรรม
กู้จวิ้นเฉินส่งเสียงอืมครั้งหนึ่ง “ข้าเพียงแต่ตีเ้า”
“เพราะเหตุใดเล่า? นี่มันไม่ยุติธรรมต่อข้า” หลี่ลั่วอยากตาย เขาไม่้าการปฏิบัติอะไรที่เป็พิเศษ
“เพราะเ้าเป็ว่าที่ภรรยาของข้า” ฉีอ๋องพูดอย่างคล่องปาก
“ขอให้ยกเลิกการหมั้นหมายเสียสิ” หลี่ลั่วรีบเอ่ย
เมื่อกู้จวิ้นเฉินหยุดมือลงนั้น บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็ตึงเครียดขึ้นมา กระทั่งหลี่ลั่วรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีชนิดหนึ่ง จากนั้นเขาก็พลิกร่างของหลี่ลั่วกลับมา กู้จวิ้นเฉินคร่อมกายอยู่้า มือทั้งสองข้างค้ำไว้ทั้งสองด้าน ทำให้หลี่ลั่วถูกกักตัวเอาไว้ระหว่างเตียงนอนและตัวเขา เขามองลงมาสบตากับหลี่ลั่ว ประกายตานั้น...ช่างเย็นะเืยิ่ง “เมื่อสักครู่เ้าว่าอันใดนะ?”
“ข้า...ข้าล้อเล่น” หลี่ลั่วกลัวแล้ว เพราะแววตาของกู้จวิ้นเฉินน่ากลัวยิ่งนัก หัวใจดวงน้อยๆ ของเสี่ยวโหวเหฺยเต้นระรัวไม่หยุด แต่เมื่อคิดได้ว่าตนที่เป็ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีต้องมาถูกเด็กหนุ่มในวัยสิบสามปีทำตามอำเภอใจเช่นนี้ ในใจเสี่ยวโหวเหฺยรู้สึกไม่ยินยอม ดังนั้นเขาจึงถลึงตาทั้งคู่เพื่อแข็งข้อ “ท่านมักจะเอาแต่ตีก้นข้า นี่เป็การใช้กำลังรุนแรง สามารถถอนหมั้นได้”
“จริงหรือ?” กู้จวิ้นเฉินร้องฮึเสียงเย็น “ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้”
“จริงรึ?” หลี่ลั่วตาเป็ประกาย
ประกายแวววาวในดวงตาของเขาทิ่มแทงใจกู้จวิ้นเฉินยิ่งนัก ดังนั้น กู้จวิ้นเฉินจึงเชยคางของหลี่ลั่วและพูดอย่างเ็าว่า “นอกเสียจากว่าเ้าจะตาย”
ร่างกายของหลี่ลั่วพลันแข็งค้าง คำพูดนี้ของกู้จวิ้นเฉิน ไม่เหมือนกำลังล้อเล่นเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อรับรู้ได้ว่าร่างของเด็กน้อยนั้นกำลังสั่นสะท้าน แววตาของกู้จวิ้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่ายังคงกล่าวว่า “เมื่อหมั้นหมายกับข้าแล้ว ต่อให้ข้าตายไป เ้าก็ต้องกอดป้ายิญญาของข้าแต่งให้ข้า แต่หากเ้าตาย การหมั้นหมายระหว่างเราทั้งสองคนเป็อันยกเลิก”
นี่คือความแตกต่างระหว่างชนชั้นในสมัยโบราณ
หลี่ลั่วเงียบขรึม
“แต่...” กู้จวิ้นเฉินหยุดชะงักแล้วพูดต่อว่า “นอกจากว่าข้าจะยินดีและเต็มใจที่จะกอดป้ายิญญาของเ้าแต่งกับเ้า”
ดวงตาของหลี่ลั่วค่อยๆ เบิกกว้างขึ้น เขามองกู้จวิ้นเฉิน อยากจะมองหาความหมายที่ปรากฏอยู่ในแววตาของเขา ทว่าแววตาของเขาทั้งลุ่มลึกและเคร่งขรึม หลี่ลั่วมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก
นี่เป็หนุ่มน้อยที่แบกรับภาระและความรับผิดชอบเอาไว้มากมายเกินไป หลี่ลั่วรู้ ไม่ว่ากู้จวิ้นเฉินจะเลือกอะไร ทั้งสกุลอวี๋และคนของไท่จื่อเยี่ยนล้วนแต่้าการปกป้องคุ้มครองจากเขา ไม่ว่าผู้สืบทอดบัลลังก์ัคนใดพวกเขาล้วนไม่เอนเอียงไปตามขั้วอำนาจเหล่านี้
กู้จวิ้นเฉินได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าจะต้อง่ชิง
แต่ก่อนหน้าที่พิษในร่างกายจะถูกถอนออกไปนั้น เขาไม่มีแม้กระทั่งคุณสมบัติที่จะ่ชิง
“ท่าน...อยากเป็ฮ่องเต้หรือ?” หลี่ลั่วถาม
ร่างของกู้จวิ้นเฉินสั่นสะท้าน เขาหรี่ตาลง แววตาอันตรายและคมปลาบส่องประกายออกมา
“หากท่านอยากเป็ฮ่องเต้ ข้าจะช่วยท่าน” หลี่ลั่วกล่าวขึ้นอีก
กู้จวิ้นเฉินมองหลี่ลั่ว สายตาของเด็กน้อยนิ่งสงบยิ่งนัก แม้กระทั่งรอยยิ้มเจิดจ้าที่เขาชมชอบที่สุดก็ยังถูกเก็บงำเสียจนสิ้น “เหตุไฉนเ้าจึงคิดว่าข้าอยากเป็ฮ่องเต้?”
“เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ท่านอยากเป็หรือไม่” หลี่ลั่วปวดใจแทนเขายิ่งนัก เขาเพิ่งจะอายุสิบสามปี ไม่เหมือนมารร้ายเช่นตน แม้ตนเองจะอายุเพียงห้าขวบ แต่ทว่าจิติญญาของตนนั้นเป็ชายหนุ่มที่เป็ผู้ใหญ่แล้ว “หากท่านไม่เป็ฮ่องเต้ สกุลอวี๋จะต้องพังพินาศ ขุนนางใหญ่ทั้งหลายที่สนับสนุนท่านก็จะพังพินาศ สกุลเฉินต้องพังพินาศ คนที่มีความเกี่ยวข้องอยู่เื้ัท่านล้วนต้องพังพินาศ”
“เ้าเล่า? เ้าจะพังพินาศไปด้วยหรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินถาม
“ก่อนที่จะพังพินาศข้าจะหนีไป” หลี่ลั่วกล่าว
ปลายนิ้วของกู้จวิ้นเฉินลูบไล้ใบหน้าของหลี่ลั่ว “หากว่าข้าต้องพังพินาศแล้วละก็ เ้าจะต้องพังพินาศไปด้วย ข้าจะลากเ้าไปด้วย เส้นทางสู่น้ำพุเหลืองหากไม่มีเ้า คงเงียบเหงาสิ้นดี”
หลี่ลั่วส่ายหน้า “ท่านไม่ทำเช่นนั้นแน่”
“ข้าจะทำ”
“ท่านจะไม่ทำเช่นนั้น ท่านจะให้คนส่งข้าออกไป ไปในที่ที่ไกลแสนไกล” หลี่ลั่วกล่าว หยดน้ำตาไหลลงมาไม่หยุด “จากนั้นเมื่อข้าเติบใหญ่ รอให้ข้ามีความสามารถแล้วจะมาล้างแค้นให้ท่าน”
“เด็กโง่” คนโง่ที่ทำให้เขาวางใจไม่ลง คิดแต่จะดีต่อเขาให้มากขึ้นสักหน่อย ทว่ากลับฉลาดเฉลียวจนทำให้คนวางใจไม่ลง คิดแต่จะจับเขาเอาไว้ให้มั่น ทั้งๆ ที่อยากจะดูแลและดีต่อเขาราวกับน้องชายคนหนึ่ง มันเริ่มขึ้นั้แ่เมื่อใดกันที่เขาปฏิบัติต่อหลี่ลั่วราวกับเป็ว่าที่ภรรยาของตน ความรู้สึกที่ไม่แม้แต่จะแยแสทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะเป็ผู้ แม้แต่ตนเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
เด็กชายตัวน้อยผู้นี้ อายุเพียงห้าขวบเท่านั้น
อาจจะเป็เพราะฉลาดเฉลียวเกินไป
“นอนเถิด นอนให้มาก จะได้โตเร็วๆ” กู้จวิ้นเฉินลากผ้าห่มให้เขา กอดเขานอนไปด้วยกัน
หลี่ลั่วเอนกายอยู่ในอ้อมกอดของเขา สูดกลิ่นน้ำหอมจางๆ บนร่างกายของเขา นี่เป็น้ำหอมที่หมอเทวดาเมิ่งปรุงขึ้นมาเป็พิเศษ สามารถป้องกันการถูกพิษได้ เพื่อเป็การป้องกันไม่ให้ผู้อื่นคิดบัญชีกับกู้จวิ้นเฉินในค่ำคืนนี้ ไม่อาจไม่กล่าวว่าคนที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อไท่จื่อเยี่ยน ช่างซื่อสัตย์ภักดีต่อเขาจริงๆ
เมื่อยามที่หลี่ลั่วตื่นขึ้นมานั้นก็เป็เวลาบ่ายสามแล้ว การงีบครั้งนี้ เขานอนไปถึงสองชั่วโมง แต่กู้จวิ้นเฉินยังคงอยู่ข้างกายเขา เขานั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง เส้นผมยาวนั้นใช้ยางรัดผมมัดไปแบบง่ายๆ ใบหน้านั้นชัดเจนกว่ายามปกติยิ่งนัก
“ตื่นแล้วหรือ?” กู้จวิ้นเฉินถามขึ้นเมื่อเห็นหลี่ลั่วมองมาที่ตนด้วยสายตาอันโง่งม
“อืม งานเลี้ยงกลางคืนใกล้จะเริ่มแล้วกระมัง?” หลี่ลั่วคลานลุกขึ้นจากเตียงมานั่ง
กู้จวิ้นเฉินกลับไม่ใส่ใจ “ยังทันเวลา แต่งานเลี้ยงกลางคืนจะมีทูตจากแคว้นต่างๆ เข้าเฝ้า เ้าต้องระวังฐานะของตนเอง”
“ข้าเข้าใจขอรับ” คำตอบของหลี่ลั่วนั้นมักจะดีที่สุดเสมอ ส่วนเื่ที่ว่าจะเข้าใจจริงหรือไม่นั้น มีเพียงเขาที่รู้
หลังจากทั้งสองคนลุกขึ้นจากเตียง กู้จวิ้นเฉินก็เห็นหลี่ลั่วที่ปล่อยผมสยายลงมา จู่ๆ กู้จวิ้นเฉินก็พลันอุ้มเขาขึ้นมาทันใด ให้เขานั่งลงหน้ากระจกสำริด จากนั้นหยิบหวีขึ้นมา “ข้าเอง”
์...ดวงตาของหลี่ลั่วแทบจะถลนออกมาจากเบ้าแล้ว
“ทำอันใด?” กู้จวิ้นเฉินถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง “ในยามปกติเ้าเคยเห็นข้าสางผมให้ผู้ใดบ้างหรือไม่?”
เหมือนจะไม่มี ต่อให้เป็ยามที่มีเยียนเซ่อคอยปรนนิบัติ เขาก็ยังคงสางผมด้วยตนเองอยู่ดี เมื่อเอ่ยถึงเยียนเซ่อ ลูกั์ตาของหลี่ลั่วกลอกกลิ้งไปมา “เยียนเซ่อน่าจะอยู่ในวัยสมควรจะออกเรือนแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
มือของกู้จวิ้นเฉินหยุดชะงัก จ้องมองหลี่ลั่วอย่างมีความหมาย
“อันใดกันเล่า?” สายตาเช่นนี้ แลดูเ้าเล่ห์ยิ่งนัก
“เ้าไม่ชอบให้มีสาวใช้มาคอยปรนนิบัติข้างกายข้าใช่หรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินถาม “หึงหวงรึ?”
นี่มันเื่อันใดกับอันใดกันล่ะเนี่ย? หลี่ลั่วรู้สึกว่าฉีอ๋องช่างคิดเข้าข้างตนเองดีแท้ เมื่อเห็นว่าหลี่ลั่วไม่ได้รับคำ กู้จวิ้นเฉินจึงพูดขึ้นอีกว่า “ข้าไม่ได้ชอบการมีสามภรรยาสี่อนุ เ้าวางใจได้”