จากนั้นมู่จื่อหลิงก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น หันมองกลับไป
เห็นหลินเกาฮั่นซึ่งอยู่ด้านหลังพวกเขาด้วยสภาพง่อนแง่น เดินด้วยสีหน้าราวคนกำลังจะตาย ดูเหมือนว่าระยะทางอันสั้นนี้ เขาต้องใช้เวลาเดินกว่าสิบปี
ทันใดนั้น มู่จื่อหลิงเข้าใจทันที ว่าเหตุใดหลินเกาฮั่นถึงยืนรออยู่ด้านนอก อีกทั้งจุดที่เขายืนยังอยู่ห่างจากปากถ้ำ
เพราะจากจุดที่พวกเขายืนอยู่ในยามนี้ สามารถได้กลิ่นเหม็นอันน่าสะอิดสะเอียนออกมาจากในถ้ำ
นี่คือกลิ่นเหม็นที่ปล่อยออกมาจากซากศพเน่าเปื่อย กลิ่นน่าขยะแขยง ทำให้คนหวาดกลัวจนอยากอาเจียน
ยามนี้ยังไม่ทราบว่าถ้ำใหญ่เพียงใด ไม่รู้ว่าในถ้ำมีภาพที่น่าใหรือน่าขยะแขยงอย่างไรบ้าง
แต่ยามพิจารณาจากกลิ่นเหม็นที่เล็ดลอดออกมาจากปากถ้ำ มู่จื่อหลิงสามารถแน่ใจได้ว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ของนางได้รับการยืนยันแล้ว มันคือศพที่ทำให้เกิดโรคระบาดจริงๆ
ศพนี้ไม่ใช่ศพสัตว์แต่เป็ศพมนุษย์
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่มู่จื่อหลิงหยุดอย่างกะทันหันด้วยความใก็คือ...
ถ้านี่เป็เพียงกลิ่นศพที่เน่าเปื่อย นั่นก็สมเหตุสมผลแล้ว แต่ที่สำคัญคือกลิ่นนี้ผสมกับกลิ่นเหม็นคาวที่ทำให้คนเวียนหัว
กลิ่นเหม็นนี้เป็พิษ!
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา มู่จื่อหลิงค่อนข้างแน่ใจว่ากลิ่นเหม็นรุนแรงนี้ไม่ได้มาจากซากศพเน่าเปื่อยอย่างแน่นอน
ดังนั้น นอกจากซากศพในถ้ำแล้ว ยังมีสิ่งที่ไม่รู้จักในถ้ำอีกด้วย
แต่มันคืออะไร? มันส่งกลิ่นคาวรุนแรงได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? มู่จื่อหลิงขมวดคิ้ว แววตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
แต่ยามนี้เพื่อให้ข้อสงสัยในใจได้รับการตรวจสอบ ดังนั้นไม่ว่ากลิ่นหืนจะโชยมารุนแรงและน่าขยะแขยงเพียงใด พวกเขาก็ต้องเข้าไป
กลิ่นเหม็นรุนแรงเช่นนี้ แม้แต่กุ่ยเม่ยที่เคยประสบกับภาพนองเืนับไม่ถ้วน เป็ผู้ที่สงบนิ่งมาโดยตลอดก็แทบทนไม่ได้
ดูเหมือนยังไม่มีใครเข้าไป ไม่ว่าสถานการณ์ข้างในจะอันตรายหรือไม่ก็ตาม...กุ่ยเม่ยเหลือบมองมู่จื่อหลิงที่กำลังครุ่นคิด ตัดสินใจทันที “หวางเฟย ให้ข้าน้อยเข้าไปตรวจสอบเองจะดีกว่า ท่านควรรออยู่ข้างนอก...”
แต่ก่อนกุ่ยเม่ยจะพูดจบ มู่จื่อหลิงก็โยนเม็ดยาเข้าไปในปากที่เปิดอยู่ของเขา เป็การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในคราวเดียว
สีหน้ากุ่ยเม่ยเปลี่ยนไป ด้วยสัญชาตญาณแห่งความระมัดระวัง เขารีบคายมันออกมาอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่รู้ว่า เป็เพราะมู่จื่อหลิงขว้างได้แม่นยำและเร็วเกินไปหรือไม่ เม็ดยาติดอยู่ที่คอ แล้วกลายเป็ของเหลวไหลเข้าไปในท้อง หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่สามารถคายออกมาได้ กุ่ยเม่ยจึงพยายามสำรอกออกมาโดยไม่รู้ตัว
เ้าท่อนไม้โง่นี้...เส้นสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของมู่จื่อหลิง จากนั้นจึงเอ่ยเตือนเขาอย่างเ็า “เ้ากล้าคายสิ่งที่เปิ่นหวางเฟยประทานให้หรือ?”
ยามได้ยินเสียงดุเอ่ยเตือน ใจกุ่ยเม่ยก็สั่นสะท้าน เขากลืนน้ำขมที่สำรอกออกมาลงไปโดยไม่รู้ตัว
อันที่จริง มันไม่ใช่ความผิดของเขา เพราะนอกจากนายท่านแล้ว พวกเขาล้วนระแวดระวังต่อทุกสิ่ง การระแวดระวังได้กลายเป็ปฏิกิริยาสะท้อนกลับโดยไม่อาจแก้ได้
เมื่อใดก็ตามที่เกิดเื่ร้ายขึ้น พวกเขาจะต่อต้านโดยสัญชาตญาณทันที
ยามเผชิญหน้ากับนายหญิงที่ก้าวร้าวต่อหน้าเขา...กุ่ยเม่ยรู้สึกเ็ปในหัวใจ
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คุ้นเคยในการปรับตัวเข้ากับนายหญิงผู้นี้ซึ่งเป็คนอื่นนอกเหนือจากนายท่าน ดังนั้นเขาจึงรักษาระดับความระแวดระวังไว้อย่างเต็มกำลัง
ในเวลาเดียวกัน กุ่ยเม่ยงงงวยยิ่งด้วยไม่สามารถเข้าใจได้
เห็นได้ชัดว่าเขาทั้งสูงและกำยำ เหตุใดจึงถูกหวางเฟยผู้ผอมเพรียว ‘จัดการ’ ได้ง่ายนัก?
ขว้างเพียงครั้งเดียว เป็การขว้างที่ทั้งแม่นยำและรวดเร็ว เร็วจนเขาผู้ซึ่งคิดว่าตนมีปฏิกิริยาว่องไว ไม่สามารถตอบสนองได้ทันท่วงที
เป็เพราะความระมัดระวังของเขาลดลงหรือ? หรือหวางเฟยผู้มีแรงเพียงสามารถเหยียบมดตาย [1] ได้จะมีพลังมากขึ้น? คำถามนี้ทำให้ในใจกุ่ยเม่ยเกิดความสับสน
หากในยามนี้มู่จื่อหลิงรู้ว่ากุ่ยเม่ยเทียบความแข็งแกร่งของนางว่ามีแรงเพียงสามารถกระทืบมดให้ตายได้ นางคงกระทืบเขาให้ตายเป็แน่
รู้ว่าหวางเฟยไม่มีวันทำร้ายเขา แต่...กุ่ยเม่ยก็ยังมองมู่จื่อหลิงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแฝงความสับสน ราวกับอยากถามว่ามันคือยาอะไร
“วางใจได้ ยานั้นจะไม่ฆ่าเ้า!” มู่จื่อหลิงมองเขาอย่างโกรธจัด นางมองถ้ำที่ปกคลุมด้วยเถาวัลย์ ร่องรอยความซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง “ในเมื่อเปิ่นหวางเฟยมาแล้ว ย่อมต้องเข้าไปด้วย เหตุใดเ้าถึงกระตือรือร้นถึงเพียงนี้?”
หลงเซี่ยวอวี่เป็คนฉลาด เขาจะเลี้ยงคนที่มีเพียงมัดกล้ามเช่นนี้ออกมาแค่นี้หรือ? มู่จื่อหลิงไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“แต่...” กุ่ยเม่ยขมวดคิ้วลังเลเล็กน้อย
ไม่เคยมีใครเข้าไป เกรงว่าด้านในจะมีอันตราย นั่นเป็เหตุผลที่เขาอาสาเข้าไปก่อน
ยามเห็นสีหน้าตึงเครียดของกุ่ยเม่ย มู่จื่อหลิงก็มองเขาอย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงกินยาที่เหมือนกันลงไป
กลิ่นซากศพอันแรงกล้านี้หากรับกลิ่นเป็เวลานานจะเป็อันตรายต่อร่างกายโดยไม่เกิดประโยชน์ พวกเขาต้องใช้ยานี้เพื่อต่อต้านและป้องกัน
“แต่อะไรเล่า เ้าทำอะไรได้อีกนอกจากต่อสู้? เ้ารู้จักยาหรือไม่? เ้าไม่รับรู้แม้แต่กลิ่นพิษจางๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากซากศพ เ้ายังอยากเข้าไปเพียงลำพังอีก...ให้ตายเถอะ!” มู่จื่อหลิงดุเขาอย่างรุนแรง นางใช้น้ำเสียงที่น่าหมั่นไส้ยิ่งนัก
นางไร้วรยุทธ์ แต่นางไม่ได้อ่อนแอจนต้องให้ใครมาคอยปกป้องตลอดเวลา เื่แค่นี้จะนับเป็อะไรได้
ความภาคภูมิใจของมู่จื่อหลิง ทำให้นางไม่มีวันยอมให้ตนต้องรอรับการปกป้องตลอดเวลาเช่นนี้ นางตระหนักว่าตนเคยเป็ขยะในสายตาของทุกคนมาก่อน คำว่า ‘ขยะ’ ต้องหายไปจากพจนานุกรมของนาง
กุ่ยเม่ยตกตะลึงพูดไม่ออกกับคำพูดของมู่จื่อหลิง
ยามเห็นมู่จื่อหลิงกินยาแบบเดียวกัน ประกอบกับสิ่งที่นางพูด ความประหลาดใจฉายวาบในดวงตาลึกล้ำมืดมนของกุ่ยเม่ย จากนั้นมันก็ชัดเจนขึ้นในทันที
ยามเผชิญหน้ากับมู่จื่อหลิงที่ตรงไปตรงมาและมีเหตุผล กุ่ยเม่ยต้องยอมหุบปากอย่างเชื่อฟัง
ไม่ว่าหวางเฟยจะพูดอย่างไร ก็ควรเป็อย่างที่นางพูด กุ่ยเม่ยถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
นอกจากนี้ เ้าคนชราที่อยู่ด้านหลังก็กำลังมองหวางเฟยด้วยความละโมบ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาข้างใน อีกทั้งที่นี่ยังไม่มีคนของพวกตน เช่นนั้นใครจะปกป้องหวางเฟย?
เมื่อคิดถึงเื่นี้ กุ่ยเม่ยก็ไม่กล้าอวดอีก ทำเพียงปกป้องมู่จื่อหลิงอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
ต้องเข้าไปข้างใน แต่ไม่อาจทนกลิ่นอันน่าขยะแขยงนี่ไหวจริงๆ
ทันใดนั้น ประกายแห่งแรงบันดาลใจก็แวบเข้ามาในความคิดของมู่จื่อหลิง นางเม้มริมฝีปากเป็รอยยิ้ม หยิบหน้ากากสองชิ้นพร้อมน้ำยาหลิงอวิ้นออกมาจากระบบซิงเฉิน พรมน้ำยาหลิงอวิ้นลงบนหน้ากาก
ในชั่วพริบตา อากาศรอบตัวพวกเขาก็ถูกห้อมล้อมด้วยกลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์ของน้ำยาหลิงอวิ้น กลิ่นเหม็นหืนคาวคลุ้งทั้งหมดถูกกลบด้วยกลิ่นหอมมหัศจรรย์ของน้ำยาหลิงอวิ้น
กลิ่นสดชื่นที่กุ่ยเม่ยคุ้นเคย เขาอดไม่ได้ที่จะแอบสูดลมหายใจลึกสองครั้ง กลิ่นหอมอบอวลหลังจากได้กลิ่นแล้วเขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา
“เมื่อสวมสิ่งนี้ เ้าจะไม่ได้กลิ่นเ่าั้” มู่จื่อหลิงสวมหน้ากากแล้วโยนหน้ากากอีกอันให้กุ่ยเม่ย
หลังจากถอดผ้าปิดหน้าแล้ว กุ่ยเม่ยก็นำหน้ากากหอมกรุ่นที่มู่จื่อหลิงโยนมาสวมอย่างชำนาญ
กุ่ยเม่ยคิดกับตนเอง ก่อนหน้านี้พวกเขาใช้ผ้าขี้ริ้วแบบใดมาปิดหน้ากัน เมื่อเทียบกับหน้ากากเนื้อแน่นที่มีกลิ่นหอมของหวางเฟย ของเก่านั้นแย่เพียงนี้เชียวหรือ?
ทั้งสองเตรียมการอย่างเรียบง่าย จากนั้นจึงเดินตรงไปที่ทางเข้าถ้ำ
ข้างหลังพวกเขา หลินเกาฮั่นหยุดเดิน มองแผ่นหลังของพวกมู่จื่อหลิง ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ความชั่วร้ายฉายแววในดวงตาของเขา
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ยามนี้แล้ว ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้จะไม่มีวันพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับปัญหาโรคระบาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เหตุใดเขาไม่ฉวยโอกาสอันยอดเยี่ยมนี้ให้เป็ประโยชน์ ถ้ำที่สมบูรณ์แบบนี้สามารถใช้ผนึกยายเด็กหน้าเหม็นนี่ไว้ข้างในได้โดยตรงไม่ใช่หรือ?
ด้วยวิธีนี้ นอกจากสามารถช่วยเขาให้สามารถหลบเลี่ยงจากปัญหามากมายได้แล้ว ใครจะไปรู้ว่าฉีหวางเฟยเสียชีวิตอย่างน่าอนาถในถ้ำประหลาดแห่งนี้...
แต่ใครจะรู้ ก่อนที่แผนการในใจของหมอหลวงหลินจะเสร็จสิ้น ความฝันโง่ๆ ของเขาก็พังทลายลงในทันใด
มู่จื่อหลิงกับกุ่ยเม่ยเดินไปที่ปากถ้ำ มู่จื่อหลิงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ นางจึงหยุดเท้าลงอีกครั้ง
นางกอดอก หันหน้ากลับมา จ้องมองหมอหลวงหลินที่หยุดอยู่ด้านหลังอย่างเกียจคร้าน ผู้ซึ่งไม่ได้ก้าวเดินไปมาเป็เวลานาน
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็หันกลับมามอง ความชั่วร้ายในสายตาของหมอหลวงหลินนั้น ดูเหมือนจะสายเกินกว่าจะลบล้างออกไปได้ ราวกับว่าเขาถูกมองทะลุ หัวใจของเขาสั่นสะท้าน
ดูเหมือนมู่จื่อหลิงไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าเยือกเย็นของหมอหลวงหลิน นางเพียงแค่ะโเสียงดังด้วยน้ำเสียงเ็า “หมอหลวงหลิน เ้าแก่จนไร้ประโยชน์แล้วหรือ หรือเ้าอยากให้เปิ่นหวางเฟยยอมอ่อนน้อมเพื่อรอเ้า?”
หึ เหตุใดนางจะไม่รู้ว่าที่เ้าคนชราผู้นี้เดินช้านั้นเป็เพราะทนกลิ่นเน่าไม่ไหว เขากำลังจงใจยื้อเวลาด้วยไม่อยากเข้าไม่ใช่หรือ?
แต่นางจะกันพวกเขาออกไปหรือ? ย่อมเป็ไปไม่ได้
ยังไม่ต้องกล่าวถึงสถานการณ์ภายใน ด้วยนางยัง้าแรงงานที่ไม่ต้องจ่ายเงินมาใช้อยู่ นอกจากนี้เ้าคนชราผู้นี้อาจมีเจตนาชั่วร้ายและแรงจูงใจที่ซ่อนเร้นก็เป็ได้
หากพวกเขาเข้าไปยามนี้ แล้วคนผู้นี้ทำอะไรบ้าๆ บางอย่างนอกถ้ำ หรือปิดทางเข้าถ้ำ เช่นนั้นพวกเขาที่ติดอยู่ข้างในคงทำได้เพียงคร่ำครวญต่อว่าฟ้าดินแล้ว
ยามได้ยินคำพูดประชดประชันของมู่จื่อหลิง ร่างหมอหลวงหลินก็แข็งทื่อ ใบหน้าของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง เขาตอบกลับเสียงดัง “หวางเฟย ให้จือฟางเข้าไปตรวจสอบกับท่าน กระหม่อมมีกำลังไม่พอสำหรับการสำรวจนี้ กระหม่อมจะคอยเฝ้าถ้ำด้านนอกให้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะพูด เขาก็ขยิบตาให้เด็กปรุงยานามจือฟางซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
เด็กปรุงยานามจือฟางเข้าใจ รีบติดตามพวกมู่จื่อหลิงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม มู่จื่อหลิงยังไม่พอใจ
“เ้ามาที่นี่เพื่อเฝ้าปากถ้ำหรือ?” มู่จื่อหลิงทำราวกับกำลังได้ยินเื่ตลกที่ดีที่สุดในใต้หล้า นางยิ้มด้วยสายตาเหน็บแนมที่ไม่ปิดบัง “หมอหลวงหลิน เ้าล้อเล่นอยู่หรือ? ร่างกายเ้ารับไหวอยู่แล้ว ทั้งยังสามารถให้คนแบกไปได้ เปิ่นหวางเฟยให้ท่านเฝ้าถ้ำเช่นนั้นหรือ?”
จากนั้น มู่จื่อหลิงชำเลืองมองคนที่อยู่รอบตัวเขาเบาๆ “ดูสิ มีใครที่นี่ที่อ่อนแอบ้าง...สามารถปกป้องท่านที่ชราภาพ อ่อนแอหรือพิการได้สบาย”
เฝ้าถ้ำ? ปกป้องคุ้มภัย
แววตาของมู่จื่อหลิงฉายแววเย้ยหยัน
คนชราผู้นี้แปลกเกินไปไหม? ข้อแก้ตัวที่ไร้สาระเช่นนี้ เขายังสามารถคิดขึ้นมาได้ มันก็แค่การหาให้ตนต้องขุ่นเคืองก็เท่านั้น
ตามที่คาดการณ์ไว้
ประโยคคมกริบบาดใจ ทำให้หมอหลวงหลินกระอักจนพูดไม่ออก ในใจของเขาโกรธมาก
หากเขาอยากเข้าไป เขาคงเข้าไปนานแล้ว เขาจะรออยู่นอกถ้ำด้วยเหตุใด
เหตุผลที่เขารอเพราะเขา้าให้มู่จื่อหลิงเปิดเผยข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับโรคระบาด
ใครจะคิดว่าเมื่อมู่จื่อหลิงมาถึง นางจะไม่เปิดเผยแม้แต่คำเดียว...หมอหลวงหลินที่ทรมานมาหลายวันจะหายใจออกได้อย่างไร?
เขาเห็นยายเด็กหน้าเหม็นผู้นี้ออกมาหลังจากทำงานหนักมาหลายวัน สิ่งที่รออยู่มีเพียงคำพูดประชดประชันของนาง
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] มีแรงเพียงสามารถเหยียบมดตาย (力气只能踩死蚂蚁) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า มีแรงเพียงน้อยนิด แทบทำอะไรไม่ได้เลย