“มิน่าละท่านถึงได้คอแข็งขนาดนี้ ข้าเองก็ชมชอบสุรายิ่งนัก ได้ดื่มสุราแล้วจิตใจข้าสงบ ข้าชอบบรรยากาศยามที่ข้ากำลังเมามาย เมามายอย่างไร้สิ่งใดกังวลใจ ช่างสบายอารมณ์ยิ่งนัก!” จื่อต้าหลงกล่าวอย่างเข้าใจ
“ถูกแล้วนี่แหละวิถีเมรัย บุรุษใดบ้างไม่ชอบดื่มสุรา ฮ่าๆๆ” กัวจื่อหรานกล่าว
“จริงสิท่านปู่ ท่านช่วยเล่าเื่สมัยหนุ่มให้ข้าฟังหน่อยได้รึไม่? ข้าอยากฟัง อยากรู้ว่าท่านปู่ผ่านการท่องยุทธภพแบบไหนมาบ้าง ถึงได้มาเป็เ้าเมืองอย่างทุกวันนี้” จื่อต้าหลงถามอย่างสนใจ เด็กหนุ่มนั้นเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ การที่ได้ฟังผู้าุโบอกเล่าตำนานของตนเองนั้น เป็เื่ที่เด็กหนุ่มชื่นชอบยิ่งนัก!
กัวจื่อหรานได้ยินดังนั้นชายชราก็ได้เล่าวีรกรรมต่างๆให้เด็กหนุ่มฟัง วีรกรรมบางอย่างก็ทำเอาจื่อต้าหลงหัวเราะจนงอหงาย หนึ่งหนุ่มหนึ่งชรา นั่งพูดคุยร่ำสุรากันไปจนสุราหมดไปหลายป้าน
“ฮ่าๆๆ ท่านปู่สมัยหนุ่มท่านเองก็แสบใช่ย่อยเลยนะ ข้าไม่คิดเลยว่าเ้าเมืองอย่างท่านแอบปีนเข้าบ้านอิสตรีด้วย ฮ่าๆๆ ความรู้สึกในตอนนั้นมันเป็อย่างไรบ้างรึ?” จื่อต้าหลงถามอย่างสนใจ
“ฮ่าๆๆ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเลยล่ะ ข้าต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว หากพลาดแม้แต่นิด… คงได้โดนพ่อของนางฉีกร่างเป็ชิ้นๆแน่ ฮ่าๆๆ” กัวจื่อหรานเล่าอย่างสนุกสนาน ชายชรารู้สึกดีที่ได้เล่าประสบการณ์ให้จื่อต้าหลงฟัง เขาคิดถึงอดีตเหลือเกิน เหล่าผู้าุโมักจะชอบคิดถึงเื่ราวดีๆต่างๆในอดีตที่ได้เคยประสบพบเจอ พวกเขาชอบเล่าเื่ความยากลำบากในอดีตให้คนหนุ่มสาวฟังพร้อมกับสอนข้อคิดชี้แนะวิธีแก้ไขให้ จื่อต้าหลงชมชอบการเล่าเื่ของเหล่าผู้าุโเป็อย่างยิ่ง จึงนั่งฟังอย่างตั้งใจ ทั้งสองนั่งพูดคุยกันจนกระทั่งสุราหมด หลังจากสุราหมดก็ได้ทำการแยกย้ายกันไปนอน คืนนี้นับว่าเป็อีกคืนที่จื่อต้าหลงมีความสุข
……………………………………………………………….
เช้าวันถัดมา หลังจากตื่นนอนแล้ว สามสหายจื่อต้าหลง เฉิงไฉเซียวและลวี่เหรินก็ได้มานั่งพูดคุยกัน
“การมาท่องเที่ยวครั้งนี้ พบเจออะไรหลายอย่างเลย พวกท่านรู้สึกยังไงกันบ้าง?” จื่อต้าหลงกล่าว
“อืม…. การมาครั้งนี้ทำให้ข้าเปิดหูเปิดตายิ่งนัก ยุทธภพล้วนเต็มไปด้วยคนดีคนชั่ว การที่ข้าได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือชาวบ้านที่กำลังจะถูกข่มแหงรังแกนับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว” เฉิงไฉเซียวกล่าว การที่ได้ออกมาท่องยุทธภพช่วยเหลือผู้คนมากมาย นี่นับว่าเป็ความภาคภูมิของเหล่าบุรุษอย่างแท้จริง ปกติเขามักอยู่แต่ในเมืองปลาทอง ทำตัวเป็อันธพาลน้อยไปวันๆ เขามีเื่ให้ต้องต่อสู้กับเหล่าอันธพาลทั้งหลายในเมืองอยู่เสมอั้แ่ยังเล็ก นี่จึงเป็สาเหตุให้เขาฝีมือดีด้านเชิงยุทธ ด้วยพลังระดับเดียวกัน เขาได้ชื่อว่าไม่เคยแพ้ใครมาก่อน
“ข้าเห็นด้วยกับเฉิงไฉเซียว ข้าเองก็รู้สึกได้เปิดหูเปิดตายิ่งนัก” ลวี่เหรินกล่าว เขาเองก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวเล่นนอกเมืองซักเท่าไหร่เพราะปกติหลังจากฝึกเสร็จเขาก็ชอบที่จะอ่านตำราต่างๆอยู่บ้านมากกว่า การที่ได้ออกมาท่องยุทธภพแล้วได้ช่วยเหลือผู้คนมากมายมันทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ ไม่เสียแรงที่เขาเฝ้าฝึกฝนวิชาฝีมืออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“อืม…. ข้าเห็นด้วยกับพวกท่าน หากเอาแต่นอนอยู่บ้านไม่ทำอะไร จะฝึกฝนวรยุทธเล่าเรียนหนังสืออ่านตำรามากมายไปทำไมกัน? ได้ออกเดินทางท่องยุทธภพ ท่องโลกกว้างชีวิตมีอิสระเสรีภาพ พบเจอสิ่งแปลกใหม่นี่ไม่น่าสนุกน่าตื่นเต้นเร้าใจกว่าหรือ? ผดุงความยุติธรรมช่วยเหลือผู้อื่น ทดแทนบุญคุณครูบาอาจารย์และบุพการี หล่อหล่อมจิตใจให้แข็งแกร่ง นี่จึงจะนับว่าเป็ยอดบุรุษอย่างแท้จริง!” จื่อต้าหลงกล่าวเด็กหนุ่มเห็นด้วยกับทุกคำพูดของเฉิงไฉเซียวและลวี่เหริน
“พูดได้ดี!!” เฉิงไฉเซียวตบเข่าถูกใจคำพูดของจื่อต้าหลงเป็อย่างยิ่ง
“นี่นับเป็ครั้งแรกที่ข้าได้ยินเ้าพูดจามีสาระ” ลวี่เหรินกล่าวหน้าตาย
“ลวี่เหรินเ้าอย่าพูดจาซี๊ซั๊วสิวะ! เดี๋ยวผู้ใดได้ยินเข้าจะเข้าใจข้าผิดกันไปหมด ปกติข้าเป็คนมีสาระอยู่แล้ว! พวกเ้าไม่สังเกตุเอง! พวกเ้าก็ไปร่ำลาบรรดาสาวๆของพวกเ้าก่อนเถอะ พวกเราจะกลับกันตอนเช้าวันพรุ่งนี้ ข้าเองก็ต้องไปร่ำลารุ่ยหานเช่นกัน นางดีต่อข้ามาก” หลังจากที่กล่าวจบจื่อต้าหลงก็ออกจากห้องไปเด็กหนุ่มตรงไปยังห้องของกัวรุ่ยหานเพื่อบอกลา
เมื่อไปถึงจื่อต้าหลงก็ได้เรียกกัวรุ่ยหานออกมาเด็กหนุ่มบอกนางว่า พรุ่งนี้พวกเขาจะกลับเมืองปลาทองกันแล้ว เขาจึงมาชวนนางไปเดินเล่นก่อนกลับ กัวรุ่ยหานได้ยินดังนั้นก็ใ แต่นางก็เข้าใจในตัวจื่อต้าหลง เหล่าบุรุษล้วนไม่อยู่กับที่ พวกเขารักอิสระเสรีไม่อยู่ที่ไหนนานๆอย่างแน่นอน นี่จะเป็การเดินเที่ยวกันเป็ครั้งสุดท้าย… จื่อต้าหลงบอกนางว่าอยากไปเที่ยวที่สวนต้นไม้สีชมพู กัวจื่อหรานจึงพาเขาไป….
เมื่อมาถึงสวนดอกไม้ ทั้งคู่ก็นั่งลงใต้ต้นไม้สีชมพูต้นนึง บรรยากาศในวันนี้เต็มไปด้วยความเงียบสงบ สายลมอ่อนพัดหวิว ใบไม้และดอกชมพูลอยร่วงโรยมาจากต้นมากระจายไปทั่วพื้นที่ งดงามเหนือคำบรรยาย….
“เราจะยังมีโอกาสได้เจอกันอีกมั้ยเ้าคะ?” กัวรุ่ยหานถามอย่างคาดหวัง
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ถ้าหากมีเวลาข้าเองก็อยากกลับมานั่งพักผ่อนที่นี่อีกครั้ง” จื่อต้าหลงกล่าวยิ้มๆ
“งั้นวันนี่ข้าจะพาท่านเที่ยวให้เต็มที่ไปเลย อยากไปไหนก็ให้บอกข้ามาได้เลย” กัวรุ่ยหานกล่าวอย่างอ่อนโยน
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ได้ไปเที่ยวด้วยกันพวกเขาเดินไปชมดอกไม้ในสถานที่ต่างๆมากมาย กัวรุ่ยหานเองก็เป็ผู้นำทางที่ดี นางพาจื่อต้าหลงเที่ยวรอบเมืองอย่างสบายอารมณ์ จนกระทั่งตกดึก นางก็พาจื่อต้าหลงไปหาข้าวกินที่โรงเตี๊ยม หลังจากกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็ร่ำสุรากันต่อ ทั้งสองซื้อสุราเพื่อไปนั่งกินด้วยกันในสวนต้นไม้แห่งนึง ที่นี่งดงามไม่แพ้ที่ใดในเมือง
เวลาไหลผ่านทั้งสองต่างก็ดื่มไปคุยไป มีแอบกระหนุงกระหนิงกันเล็กน้อย ส่วนมากจะเป็จื่อต้าหลงมากกว่าที่เป็ฝ่ายหยอกล้อหญิงสาว ทำให้บรรยากาศเป็ไปอย่างสนุกสนาน
“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วแถมสุราก็หมดเรากลับกันเถอะ” จื่อต้าหลงกล่าวเด็กหนุ่มยกขวดน้ำเต้าสุราขึ้นมาเทเล่น เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีน้ำไหลออกมาจากขวดอีกแล้ว
“ได้เ้าค่ะ…” กัวรุ่ยหานกล่าวด้วยสุ้มเสียงแ่เบา ในใจนางมีคำพูดมากมายที่อยากจะกล่าว แต่กลับไม่เอ่ยอะไร เด็กสาวทำเพียงจ้องมองจื่อต้าหลงอย่างเหม่อลอย….
เช้าวันถัดมา จื่อต้าหลงกับสหายก็ได้แวะไปบอกกัวจื่อหรานว่าจะกลับเมืองแล้ว
“จะกลับแล้วรึจื่อน้อย?” กัวจื่อหรานถาม
“ใช่แล้วขอรับท่านปู่ ข้าจากบ้านมาหลายวันแล้ว คงต้องกลับไปให้ท่านพ่อท่านแม่เห็นหน้าสักหน่อย เดี๋ยวจะพาลลืมหน้าลูกชายสุดที่รักกันไปหมด ฮ่าๆ” จื่อต้าหลงกล่าวยิ้มๆ
ชายชราได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะเข้าใจ “ฮ่าๆๆ เอาเถอะ! งั้นขอให้เ้าเดินทางโดยปลอดภัยนะ รุ่ยหานไปส่งจื่อน้อยด้วยนะ” กัวจื่อหราวกล่าว
“เ้าค่ะท่านปู่” กัวรุ่ยหานตอบ
หลังจากอำลากันเสร็จ กัวรุ่ยหานได้เดินนำสามสหายไปจนถึงรถม้า เด็กสาวโบกมือลาอย่างอาลัยอาวรณ์ จากกันครั้งนี้อาจไม่ได้พบกันอีกเลยชั่วชีวิต…
“แล้วเจอกันอีกนะเ้าคะ” กัวจื่อหรานกล่าวยิ้มๆ
“แล้วเจอกัน ข้าจะคิดถึงเ้า” จื่อต้าหลงกล่าวจบก็โบกมือลาเด็กสาวด้วยท่าทีร่าเริง
กัวรุ่ยหานทำเพียงยิ้มบาง “……”
หลังจากอำลากันเสร็จจื่อต้าหลงก็ได้สั่งให้ลุงฉีออกรถ รถม้าเคลื่อนที่ผ่านไปกัวรุ่ยหานยืนมองจื่อต้าหลงไปจนลับสายตา…. หลายวันมานี้พวกเขาไปเที่ยวด้วยกันแทบทุกวัน ทำให้นางมีความรู้สึกดีๆให้แก่จื่อต้าหลง จื่อต้าหลงเองก็มีความรู้สึกที่ดีต่อนางเช่นกัน….
…………………………………
ภายในรถม้าที่กำลังเคลื่อนไปอย่างช้าๆ “ฮ่าๆๆ ดูเหมือนนางจะอาลัยอาวรณ์เ้าเป็พิเศษเลยนะ” เฉิงไฉเซียวกล่าว
“ท่านไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์บ้างเลยรึ?” จื่อต้าหลงถาม
“ข้าน่ะรึ… ก็มีบ้างนิดหน่อย แล้วเ้าล่ะเสี่ยวต้าหลง?”
“ข้าเองก็มีบ้างนิดหน่อยเหมือนกัน” จื่อต้าหลงตอบ
ไม่มีใครออกปากถามลวี่เหริน เพราะเขาคงไม่ได้อาลัยอาวรณ์มากนัก เขานั่งเงียบอ่านตำราตลอดทาง ในการเดินทางกลับครั้งนี้ต้องใช้เวลาถึง 6-7 วันเท่ากับขามา จื่อต้าหลงคิดว่าในการมาเมืองดอกไม้ครั้งนี้เขาได้ประสบการณ์แปลกใหม่มากมาย ทำให้เขาเริ่มเติบโตขึ้น ด้วยวัยเพียง 16 ปีของเขานั้น ยังถือว่าเป็แค่เด็กน้อยผู้หนึ่ง แต่กลับสามารถเอาชัยจากกองโจรโลหิตอันโด่งดังได้นั้นนับว่าไม่ธรรมดา!
การต่อสู้กับซ่งเหว่ยหนานนั้น ตึงมือเกินไปสำหรับเขา เป็ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตไม่ปลอดภัย เขาจึงอยากแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่านี้ เพื่อปกป้องผู้คนที่เขารัก หากไม่มีวิชาทางสายเือย่างเนตรัม่วง ฝ่ามือัม่วง และไหวพริบชั้นเชิงอันเหนือชั้น เขาก็คงจะตายไปแล้ว เด็กหนุ่มวางแผนที่จะเพิ่มพลังฝีมือของตัวเองให้มากกว่าเดิม เขาจึงจะสบายใจได้ ยุทธภพนั้นอันตรายมาก หากเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเข้า พวกมันสามารถทำให้เขาตกตายได้ทันที!
บทเรียนในครั้งนี้สอนให้เขารู้จักคำว่า “ยุทธภพ” ผู้แข็งแกร่งกว่าคือทุกสิ่ง หากคิดจะท่องยุทธภพและสามารถมีชีวิตรอดได้ เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้น! จื่อต้าหลงมีเป้าหมายใหม่นั่นคือ การเป็เ้าแห่งยุทธภพ!! นี่นับว่าท้าทายความสามารถไม่เบาพวกท่านมิคิดเช่นนั้นหรือ?
