เหล่าทหารต่างทยอยเข้าสู่ลานฝึก และเข้าแถวอย่างเป็ระเบียบโดยไม่มีความวุ่นวายแม้แต่น้อย ตอนนี้ทั้งลานฝึกมีเพียงเสียงกรอบแกรบจากเสื้อเกราะเงินและเสียงฝีเท้าของเหล่าทหารเท่านั้น
ใจของหลินเฟิงเริ่มเต้นระรัว เมื่อเห็นทหารในลานฝึก
เขาเห็นทหารทั้งหมดสามกองทัพ และเป็สามกองทัพที่มีขนาดใหญ่ซึ่งกำลังเข้าแถวรูปขบวนเป็สี่เหลี่ยมโดยไม่วุ่นวายเลยแม้แต่น้อย และแสงอาทิตย์ก็ได้ส่องไปที่ชุดเกราะที่มีทั้งสามสีจนทำให้เกิดการหักเหของแสง และแสงที่หักเหนั้นก็สะท้อนไปยังดวงตาของผู้คน
ชุดเกราะของทหารมีสามสีคือ ทองแดง เงิน และทอง
ทหารเกราะทองมียศสูงสุด ส่วนทหารเกราะทองแดงมียศต่ำสุด ซึ่งสามารถเข้าใจได้ทันทีเพียงแค่เหลือบมอง
ส่วนชุดเกราะของต้วนเทียนหลางเป็สีดำมืด และร่างของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายความตายที่เย็นะเื ทำให้เหล่าผู้คนต่างต้องหวาดกลัว
“ตุบ ตุบ ตุบ!”
เสียงฝีเท้าของเหล่าทหารยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเห็นทหารเกราะทองแดงกำลังแบกกลองาเดินไปข้างหน้า กลองานั้นมีน้ำหนักมาก เนื่องจากมันทั้งใหญ่และหนัก จึงต้องใช้ทหารเกราะทองแดงสี่นายถึงสามารถยกขึ้นมาได้
“ตูม!!!”
มีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมา ทหารเกราะทองแดงต่างกำลังแบกกลองากันอย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นก็ตั้งกลองาไว้ที่พื้น และเกิดเสียงดังอย่างต่อเนื่องจนผืนปฐีต้องสั่นะเืเล็กน้อย
มีทั้งหมด 5 แถว และแต่ละแถวมีกลองา 9 ใบ
“นั่นกำลังทำอะไรกัน?”
หลินเฟิงประหลาดใจ เขาไม่รู้ว่าทหารเกราะทองแดงจะยกกลองาออกมาทำไม อย่างไรก็ตามหลายๆ คนก็ยังเฉยเมยราวกับว่าคุ้นเคยกับสิ่งที่เกิดขึ้นดี และแววตาของพวกเขาก็เป็ประกายไปด้วยความตื่นเต้น
“วันนี้มีสำนักใหญ่ๆ ทั้งสองสำนักรวมถึงเหล่ารุ่นเยาว์อัจฉริยะต่างมารวมตัวกันที่นี่ ซึ่งหาได้ยากนักเพราะไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ และกลองาจะถูกตีโดยพวกเ้า นอกจากนี้ข้ายังมีข่าวที่จะประกาศว่า การประลองในครั้งนี้ เทียนหลางอ๋องเป็แม่ทัพ ส่วนรองแม่ทัพจะรับหน้าที่โดยต้วนซินเยี่ยน้องสาวของข้า วันนี้นางก็มาร่วมด้วย หากวันนี้ใครสามารถทำให้กลองาส่งเสียงได้มากที่สุด คนนั้นจะได้รับหน้าที่เป็องครักษ์ของซินเยี่ย”
ต้วนหวู่หยากล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา จากนั้นได้มีร่างเงาที่สวยงามเดินออกมาจากกองทัพทหาร แม้จะสวมชุดเกราะแต่ก็ยังคงไม่อาจบดบังใบหน้าของนางได้ คนคนนี้ก็คือ องค์หญิงต้วนซินเยี่ย
แววตาของเหล่าผู้คนต่างตกตะลึง องค์หญิงต้วนซินเยี่ยเป็รองม่ทัพ? เพราะเหตุใดกัน?
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของเหล่ารุ่นเยาว์อัจฉริยะนั้นกลับฉายแววตื่นเต้นออกมา ใครสามารถทำให้กลองาส่งเสียงได้มากที่สุด ก็จะได้เป็องครักษ์ขององค์หญิง โอกาสเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง
หลินเฟิงดูประหลาดใจ ต้วนเทียนหลางเป็แม่ทัพ?
ตอนนี้หลินเฟิงยังคงไม่เข้าใจว่า ต้วนหวู่หยาและต้วนเทียนหลางมีความสัมพันธ์กันอย่างไร นอกจากนี้เขาให้ต้วนซินเยี่ยเป็รองแม่ทัพ มันหมายความว่าอย่างไร?
“ห้าคน ใครจะเริ่มก่อน?”
ต้วนเทียนหลางะโออกมา หลังจากนั้นได้มีร่างเงาปรากฏอยู่หน้ากลองาและกล่าวว่า “ข้ายินดีจะเริ่มเป็คนแรก”
เพียงชั่วพริบตา ด้านหน้ากลองาทั้งห้าแถวก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนอยู่
ร่างของทั้งห้าคนได้เคลื่อนไหวไปพร้อมกัน ลมปราณอันแข็งแกร่งได้ปลดปล่อยออกมาจากพวกเขา ช่างเป็ลมปราณที่หนาวเหน็บยิ่งนัก
“ตูม!”
มีคนหนึ่งได้ปล่อยหมัดออกไปโจมตีกลองา ซึ่งทำให้กลองามีเสียงเล็กน้อย แต่กลับไม่เป็ผล แม้กระทั่งคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับมายังทำให้เขาต้องกระเด็นออกไป
ในขณะนั้นสีหน้าของคนผู้นี้กลายเป็น่าเกลียด สีแดงบนใบหน้าแสดงว่าเขากำลังโกรธเกรี้ยว เขาก้มศรีษะจากนั้นค่อยๆ เดินกลับที่นั่งของตัวเอง คาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่สามารถทำให้กลองาส่งเสียงออกมาได้
คนที่สองมีั์ตาอึมครึม ด้วยลมปราณอันหนาแน่นของเขา เมื่อปล่อยหมัดอันร้ายกาจออกไปจึงทำให้กลองาส่งเสียงทุ้ม นอกจากนี้กลองายังเกิดรอยร้าว จึงทำให้สายตาของคนนี้ฉายแววตื่นเต้นออกมา จากนั้นเขาก็ปล่อยหมัดไปอีกครั้ง ทำให้กลองาใบที่ 2 แผดเสียงก้อง
เสียงกลองาไม่เพียงแค่ตีให้ส่งเสียงออกมาเท่านั้น หากกลองาเกิดรอยร้าว มันสามารถกระตุ้นขวัญและกำลังใจของเหล่าทหารได้
การตีกลองา มีเพียงผู้ที่มีสถานะเป็บุคคลระดับสูงเท่านั้นถึงจะตีกลองาได้ และใครที่สามารถทำให้กลองาส่งเสียงออกมาได้มากก็จะได้รับความชื่นชมยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามตอนที่คนนี้ทำให้กลองาใบที่ 3 ส่งเสียงออกมา แต่กลับไม่มีรอยแตกร้าว สีหน้าของเขาพลันหม่นหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากนั้นคนที่สามก็ทำให้กลองา 3 ใบส่งเสียงออกมาได้ คนที่สี่ ทำให้กลองาส่งเสียงออกมาได้เพียง 2 ใบ และคนที่ห้าก็ทำให้กลองาส่งเสียงออกมาได้เพียง 3 ใบ
ขณะที่พวกเขากำลังเดินกลับไปที่นั่งของตัวเอง ทันใดนั้นก็มีทหารเกราะทองแดงเดินออกมานำกลองามาเสริม แต่ก็ยังคงห้าแถวเหมือนเดิม แต่ละแถวมีกลองาเก้าใบ
แววตาของหลินเฟิงดูไม่มั่นคง เขามองไปที่กลองาและพบว่าการตีกลองเหมือนจะมีกฎบางอย่าง โดยทั่วไปแล้วการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 สามารถทำให้กลองาส่งเสียงได้ 2 ใบ และคนที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 ก็สามารถทำให้กลองาส่งเสียงได้ 3 ใบ และกลองาทั้งเก้าใบนี้ ดูเหมือนว่าจะสอดคล้องกับการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 9
แม้จะคิดเช่นนั้นแต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังไม่ชัดเจน เพราะขนาดคนที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 เมื่อครู่นี้ก็สามารถทำให้กลองาส่งเสียงได้เพียง 2 ใบ และคนที่หนึ่งที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 1 กลับไม่สามารถทำให้กลองาส่งเสียงออกมาได้เลยสักใบ
“ยังมีใครอีกไหม?”
ต้วนหวู่หยากล่าวอีกครั้งขณะมองไปที่ผู้คน
“ข้าเอง” หยวนซานที่ข้างๆ หลินเฟิงลุกขึ้นยืนและก็เดินไปที่กลองา
“พี่หยวนซาน ข้าจะไปกับพี่ด้วย” ต้วนเฟิงก้าวออกมา และติดตามหยวนซานไปด้วย
เพียงชั่วครู่ ทั้งห้าคนก็ได้รวมตัวกันอยู่หน้ากลองา
คนที่แข็งแกร่งที่สุดในห้าคนนี้ อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 และสามารถทำให้กลองาส่งเสียงออกมาได้ 4 ใบ จากนั้นคนคนนี้ก็เดินจากไปอย่างเริงร่า
การบ่มเพาะของหยวนซานอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 3 และสามารถทำให้กลองส่งเสียงออกมาได้ 3 ใบ และต้วนเฟิงที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 สามารถทำให้ผู้คนตกตะลึงได้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะทำให้กลองาส่งเสียงออกมาได้ 3 ใบเช่นกัน ซึ่งได้ทำให้หลายคนต่างประทับใจในตัวเขา
หลายคนได้ลองพยายาม ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่สามารถทำให้กลองาใบที่ 5 ส่งเสียงได้เลย
ในขณะนั้นมีร่างเงาหนึ่งได้ลุกขึ้นยืน และกล่าวกับเหล่าศิษย์ของสำนักเทียนอี้ว่า “ข้าถูฟูจากลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ในสำนักเทียนอี้มีใครอยากประลองบ้าง?”
“ถูฟู!”
หลินเฟิงมองไปที่ชายรูปร่างสูงใหญ่ แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะก่อนหน้านี้ถูฟูและเขาต่างเป็ศิษย์นิกายหยุนไห่ แต่วันนี้เขากลับยืนอยู่ในกองทัพของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่
สายตาของผู้คนจากสำนักเทียนอี้และลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ต่างเป็ประกาย เมื่อฝั่งลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ได้เริ่มยั่วยุก่อน
“ศิษย์สำนักเทียนอี้ เป็คนขี้ขลาดกันอย่างนั้นหรือ?”
ถูฟูเห็นว่าไม่มีใครในสำนักเทียนอี้ตอบ จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“คนไร้ยางอายและทรยศเช่นเ้า ยังกล้าปากดีอีกหรือ”
หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า จนทำให้ถูฟูต้องตกตะลึง จากนั้นก็จ้องมองมาที่หลินเฟิงทันที
“ผู้ชนะรอด ผู้แพ้จักต้องตาย กฎแห่งธรรมชาติซึ่งผู้เข้มแข็งที่สุดจึงจะอยู่รอด นี่คือกฎของเส้นทางแห่งนักรบ ต้วนเทียนหลางได้ทำลายนิกายหยุนไห่ เพราะนิกายหยุนไห่อ่อนแอ แน่นอนว่าข้าต้องติดตามผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เรียกได้ว่าเป็การเอาตัวรอดเพื่อกลายเป็อัจฉริยะ”
ถูฟูกล่าวเสียงดังอย่างเ็า จากนั้นเขาก็จ้องมองหลินเฟิงและกล่าวต่อว่า “หลินเฟิง หากเ้ายอมเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ข้ากับต้วนเทียนหลางจะละเว้นโทษเ้า หรือบางทีท่านอ๋องอาจจะยอมรับเ้าก็ได้”
“เป็ฏที่ไร้ยางอายแท้ๆ แต่ทำไมถึงได้เด็ดเดี่ยวและองอาจได้ขนาดนี้กัน” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าขณะมองถูฟู จากนั้นเขาก็หันไปมองผู้ที่สวมหน้ากากทองแดงและกล่าวว่า “เ้าไป”
“อืม” ผู้ที่สวมหน้ากากทองแดงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นมองไปที่ถูฟูอย่างเยือกเย็นและกล่าวว่า “ข้าไปเอง”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็เดินไปที่หน้ากลองาทันที
แววตาของถูฟูกลายเป็อึมครึม จากนั้นเขาก็มาถึงหน้ากลองาและกล่าวว่า “ใครจะเริ่มก่อน?”
“เ้าเริ่มก่อนเถอะ” ผู้ที่สวมหน้ากากทองแดงกล่าวออกมาอย่างเ็า ถูฟูพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เคลื่อนไปข้างหน้าทันที
“ตูม!!!”
เสียงะเิได้ลอยเข้าไปในโสตประสาทของผู้คน และกลองาใบที่ 1 ก็แตกออกเป็เสี่ยงๆ
ถูฟูเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน ปล่อยหมัดออกไปอย่างบ้าคลั่ง กลองาใบที่ 2 และใบที่ 3 ล้วนแตกออกเป็เสี่ยงๆ จนเกิดเสียงะเิออกมา
“ย๊าก!!!”
ถูฟูใช้เพียงแค่หนึ่งลมหายใจและคำรามออกไป ขณะนั้นเขาก็ปล่อยหมัดออกไป จนกลองาใบที่ 4 ต้องแตกออกเป็เสี่ยงๆ
“แคร๊ก”
ถูฟูปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง ซึ่งกลองาใบที่ 5 นั้นไม่มีใครสามารถทำลายลงได้ แต่ถูฟูกลับทำได้
หลังจากนั้นดูเหมือนว่าถูฟูจะยังมีพละกำลังเหลืออยู่ จากนั้นเขาก็หันไปทางกลองาใบที่ 6 และได้เข้าปะทะกับกลองาโดยตรง
“แคร๊ก… แคร๊ก…!”
กลองาสั่นะเืไม่หยุด แต่ในขณะนั้นได้มีระลอกคลื่นออกมาจนทำให้ถูฟูถอยหลังไป 100 เมตร อย่างไรก็ตามกลองาใบที่ 6 ก็ได้เกิดรอยร้าวไปทั่งใบแล้ว
“ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 เกือบทำให้กลองาต้องแตกออกเป็เสี่ยงๆ แล้ว สมแล้วที่เป็อดีตอัจฉริยะของนิกายหยุนไห่ แต่น่าเสียดายที่เป็ฏ”
หลินเฟิงมองไปที่กลองาที่แตกร้าวใบนั้นและกล่าวด้วยเสียงโทนต่ำ แต่กลับไม่ได้ให้ความสนใจถูฟูที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 ในสายตาเขานั้นถูฟูก็ไม่ได้มีอะไร และป้าเตาจะให้บทเรียนกับถูฟูอย่างลึกซึ้งเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้