“ข้าเกลียดความลำบาก ท่านรู้หรือไม่ ว่านับจากเด็กจนโต ข้าอิจฉาซินหยางมาตลอด ในตอนนั้นข้ามีคำถามมากมายว่าทำไมซินหยางถึงได้สุขสบายไปเสียหมด อีกทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ ก็ดูแตกต่างจากข้าราวฟ้ากับเหว โตมาจึงรู้ว่า เพราะฐานะของเราสองครอบครัวแตกต่างกัน ข้าพยายามข่มความรู้สึกริษยาไว้ ไม่ให้ปะทุออกจนน่าเกลียด แต่หลายครั้งข้าก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมท่านพ่อ ไม่เป็ขุนนางระดับสูงเฉกเช่นพ่อของซินหยาง ทุกครั้งที่พบกัน ข้ารู้สึกต่ำต้อย กว่านางเสมอ เป็ข้าเองที่อมทุกข์อยู่ตลอดเวลา เป็นางที่มีความสุขเบิกบานเพราะมีพร้อมทุกอย่าง นางไม่เคยเป็อย่างข้านางไม่มีวันเข้าใจ” หญิงสาวพูดจบ จึงยิ้มกว้างออกมาแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นางมีคำสอนมากมายคอยสอนข้า ถึงเวลาที่นางลำบาก ข้าอยากรู้นัก ว่านางจะสอนตัวเองเช่นใด ป่านนี้ก็คงนอนร้องไห้น้ำตาเป็สายเื นึกแล้วก็อยากเห็นหน้านางนัก!” เซิ่นหลานฟังลูกสาวพรรณนาความในใจออกมาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดสิ่งใดต่อ
ซินหยางติดต่อเถ้าแก่เฉียงสำเร็จ นำชาชั้นดีมาลงไว้ที่ร้าน ทั้งยังจัดซื้อแป้งและวัตถุดิบจำนวนหนึ่งมาตุนไว้เพื่อทำเป็ขนมสำหรับกินคู่กับชา หญิงสาวมองวัตถุดิบต่าง ๆ พร้อมสายตามีความหมายพลันหันมายังมารดาแล้วพูดขึ้น
“ขนมกุ้ยฮวาเป็ขนมที่กินกับชา แล้วอร่อยเป็ที่สุด ฝีมือของท่านแม่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้ ข้าเชื่อว่าต้องขายดี จึงตุนแป้งไว้ให้มาก เพราะนอกจากขนมกุ้ยฮวาแล้ว ท่านแม่ยังทำขนมได้อีกหลายอย่าง ข้าจะขายให้หมด” เสียงของซินหยางทำให้มารดายืนมองวัตถุดิบบนชั้น แล้วหันมายังบุตรสาว
“ลงทุนมากเช่นนี้ หากขายไม่ได้จะทำอย่างไร”
“ทั้งค่าเช่าร้าน ค่าวัตถุดิบ เป็เงินจากเครื่องประดับส่วนหนึ่งเท่านั้น ข้ายังมีเครื่องประดับอีกหลายชิ้น อีกทั้งเงินที่ลักลอบเอามาจากจวนสกุลหลี่ก็ยังอยู่ครบ ท่านแม่ไม่ต้องห่วง ข้าทำบัญชีไว้หมดแล้ว และข้าก็มั่นใจว่าเงินที่ลงทุนไปไม่สูญเปล่า” หญิงสาวพูดด้วยความมั่นใจ ก่อนเสียงฝีเท้าของใครบางคน จะเดินเข้ามาหยุดด้านหลัง ทำให้สองแม่ลูกหันมายังต้นเสียงพร้อมเพรียงกัน
คุณชายหวง น้อมกายลงเคารพซูซิน ด้วยท่าทางสง่างามเช่นเดิม ก่อนหญิงกลางคนจะยิ้มรับอย่างเมตตา
“ที่แท้ก็เป็คุณชายหวง อุตส่าห์ตามหาจนเจอ ข้านับถือท่านนัก” ชายหนุ่มน้อมกายรับเล็กน้อย ก่อนซูซินจะเอ่ยขึ้นทิ้งท้าย
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” ว่าแล้วหญิงกลางคนก็เบี่ยงตัวเดินจากไป ปล่อยให้ทั้งสองมีเวลาอยู่ด้วยกัน ก่อนชายหนุ่มจะเลื่อนสายตามายังซินหยางอย่างมีความหมาย พลันเดินเข้ามาหานาง แล้วหันมองสถานที่โดยรอบด้วยสายตาสั่นไหว
“เหตุใดจึงไม่ส่งข่าว เ้าลำบากถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่ไปพบข้าที่จวนสกุลหวง” ซินหยางก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่ตอบคำถามอีกฝ่าย เก็บความเ็ปไว้ภายในไม่แสดงออกมา
“ข้าได้ข่าวจากท่านพ่อ ว่าใต้เท้าหลี่กับฮูหยินเลิกรากัน รู้สึกเป็ห่วง จึงมาตามหา ถามจากพ่อค้าแม่ค้าแถวนี้ก็ได้ความว่าเ้าอาศัยอยู่ที่นี่” หวงโจวเหรินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จับจ้องมองตรงมายังซินหยางด้วยสายตาแน่นิ่ง ก่อนนางจะยิ้มบางเบาแล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่ใช่คุณหนูสกุลหลี่อีกแล้ว ตอนนี้ข้าไม่มีตำแหน่ง ไม่มีฐานะอะไรคู่ควรกับท่านแล้วล่ะ” ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นจึงส่ายศีรษะ พลันเอื้อมมาจับมือนางแน่น
“ไม่ใช่คุณหนูสกุลหลี่แล้วยังไง เ้าก็ยังเป็เ้าที่ข้ารัก!”
“แต่ฐานะของข้าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เื่การหมั้นหมายของเราทั้งสองตระกูลจะเป็ยังไงต่อไป” นางถามเขาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น ก่อนหวงโจวเหรินจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าจะแต่งงานกับเ้า ข้าสัญญาว่าจะแต่งงานกับเ้า” ชายหนุ่มให้คำมั่น ก่อนซินหยางจะโผเข้ากอดเขาด้วยความซาบซึ้ง เขาเป็รักแรก และรักเดียวที่นางยอมมอบใจให้ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ คำสัญญาและความอบอุ่นจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายทำให้ซินหยางมีกำลังใจก้าวเดินต่อ ทว่าสายตาของซูซินที่แอบยืนมองอยู่ห่าง ๆ ทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ ราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า
‘คำสัญญาของผู้ชาย ไม่อาจเชื่อถือได้’ ซูซินรำพึงออกมาเพียงลำพัง
ภายในจวนสกุลหลี่ ใต้เท้าหลี่เฉินตง นั่งดื่มเหล้าอยู่ตามลำพัง พร้อมเอื้อมไปหยิบขนมกุ้ยฮวาขึ้นมากิน เมื่อเคี้ยวไปได้สองสามคำ ก็วางขนมชิ้นนั้นลง ทอดสายตาไปยังขนมชิ้นนั้นอย่างเงียบ ๆ ก่อนภาพของซูซินจะฉายวนกลับมาให้เขาต้องกระดกเหล้าขึ้นดื่ม
‘ข้าเองก็อยากรู้นัก ว่าพวกเ้าสองแม่ลูกจะใจแข็งไปถึงเมื่อใด ข้าจะรอวันที่พวกเ้า มาอ้อนวอนขอร้องกลับเข้าจวน’ ใต้เท้าหลี่ยังคงรอคอยอย่างมีความหวัง
“ดื่มสุราอีกแล้วเหรอเ้าคะ” เสียงของเซิ่นหลานเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน ก่อนใต้เท้าหลี่จะรินเหล้าใส่จอก แล้วกระดกขึ้นดื่มอีกครั้ง พลันตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ข้าดื่มไม่มากหรอก เ้าไม่ต้องเป็ห่วง” เซิ่นหลานเหลือบมองไปยังขนมกุ้ยฮวาที่ถูกเขากัดเหลือไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วหันมายังสามี
“คิดถึงซูซินอีกแล้วงั้นเหรอ”
“ใครว่าข้าคิดถึงนาง”
“การกระทำของท่าน ข้าดูออกว่าท่านยังรักนางอยู่มาก” เขานิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม ยังคงยกเหล้าขึ้นดื่มเป็ระยะ เมื่อนั่งอยู่ครู่หนึ่งชายกลางคนไม่พูดสิ่งใดออกมา เอาแต่รินเหล้าใส่จอกแล้วกระดกดื่มอย่างเงียบ ๆ เซิ่นหลานจึงลุกขึ้นแล้วเบี่ยงตัวเดินจากไป
“ท่านแม่” เสียงเรียกของฟางเหมย ทำให้เซิ่นหลานที่เดินเข้าไปในครัว ค่อย ๆ หันมายังลูกสาว
“มาหาข้าถึงในครัว เ้ามีอะไรงั้นเหรอ” นางถามบุตรสาว ก่อนสายตาของฟางเหมย จะเลื่อนมองขนมกุ้ยฮวาที่ตั้งอยู่บนเตา พลันหยิบขึ้นกินช้า ๆ ก่อนเซิ่นหลานจะเดินไปหยิบขนมพวกนั้นขึ้นใส่จาน
“หากเ้าชอบก็กินให้หมด ใต้เท้าหลี่ไม่คงไม่กินแล้วล่ะ” น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยขึ้น พร้อมความคิดผุดขึ้นในใจ
‘ไม่ว่าข้าพยายามสักเท่าใด ก็ไม่อาจทำขนมกุ้ยฮวาเทียบเท่าซูซินได้ ใต้เท้าหลี่กัดไปได้เพียงเสี้ยวเดียวก็ต้องวาง ขณะที่ซูซินเคยบอกข้าว่า เขาชอบขนมกุ้ยฮวามากที่สุด’
