บทที่ 3 : ความลับใต้ผืนดิน (และสายตาที่เริ่มเปลี่ยนไป)
ตึกๆๆ...
เสียงรถอีแต๋นบุกตะลุยผ่านทางลูกรังขรุขระ จนไส้ในท้องฉันแทบจะลงไปกองรวมกันที่ตาตุ่ม แต่พี่ดินยังคงประคองพวงมาลัยหน้านิ่ง ไม่ะเืสะท้านแม้แต่น้อย
ไม่นานนัก ภาพเบื้องหน้าก็ปรากฏสู่สายตา
สวนลำไยขนาด 50 ไร่ที่เคยเขียวชอุ่มในความทรงจำวัยเด็ก ตอนนี้กลับดูเหมือน ‘ป่าช้าต้นไม้’
ต้นลำไยเรียงรายเป็ทิวแถวก็จริง แต่ใบกลับเหลืองซีด บางต้นยืนต้นตายแห้งกรอบ กิ่งก้านหงิกงอเหมือนคนป่วยหนัก พื้นดินด้านล่างแตกระแหงจนเห็นรอยแยก
พี่ดินดับเครื่องยนต์ เสียงเครื่องจักรเงียบลง เหลือเพียงเสียงลมร้อนๆ พัดใบไม้แห้งเสียดสีกันดัง แกรก... แกรก... ชวนหดหู่
“หนักกว่าที่คิดนะ” พี่ดินเปรยขึ้น สายตาคมกวาดมองไปรอบๆ “ปีนี้แล้งจัดด้วย ชาวบ้านแถวนี้เขาตัดใจขายที่ทิ้งกันหมดแล้ว”
เขาหันมามองฉันเหมือนจะสื่อว่า ‘ถอดใจตอนนี้ยังทันนะ’
ฉันะโลงจากรถ (เกือบสะดุดรากไม้แต่ทรงตัวทัน) ปัดฝุ่นที่กางเกงแล้วยิ้มมุมปาก
“ยังไม่ตายสักหน่อย แค่ป่วยหนักเฉยๆ ค่ะ”
ฉันขยับแว่นสายตา เพ่งสมาธิไปที่พื้นดินตรงหน้า แล้วสั่งการในใจ
‘เปิดใช้งาน Eye of Truth!’
วูบ!
ทันใดนั้น โลกตรงหน้าฉันก็เปลี่ยนไป เหมือนใส่แว่น AR อัจฉริยะ ตัวเลขและกราฟิกสีนีออนลอยขึ้นมาจากพื้นดินยัวร์เยียไปหมด
[Soil Analysis : พื้นที่โซน A]
ความชื้น (Moisture): 15% (วิกฤต! ต่ำกว่าเกณฑ์)
ค่าความเป็กรด-ด่าง (pH): 4.2 (กรดจัด)
ธาตุอาหารหลัก (N-P-K):
ฉันถอนหายใจพรืด... นี่มันอาการ “ดินน็อคปุ๋ย” ชัดๆ
“พี่ดินคะ ขอจอบหน่อย” ฉันแบมือ
พี่ดินเลิกคิ้ว “จะเอาไปทำไม?”
“ขุด”
เขาทำหน้างงแต่ก็เดินไปหยิบจอบหลังรถมาส่งให้ พอฉันทำท่าจะง้างจอบ เขาก็รีบแย่งกลับไปทันที
“บอกมาว่าจะขุดตรงไหน เดี๋ยวขุดให้ แขนเล็กแค่นั้นเดี๋ยวก็ไหล่หลุด”
(ปากร้ายแต่ใจดีอีกแล้วพ่อคุณ!)
ฉันชี้ไปที่โคนต้นลำไยต้นหนึ่ง “ตรงนี้ค่ะพี่ดิน ขุดลึกลงไปสัก 30 เซนฯ นะคะ”
ฉึบ! ฉึบ!
พี่ดินลงจอบอย่างหนักแน่น กล้ามเนื้อหลังภายใต้เสื้อกล้ามขยับไหวตามจังหวะ (อาหารตาชั้นดีจริงๆ) ไม่กี่ทีหลุมก็ลึกตาม้า
ฉันนั่งยองๆ ลงข้างหลุม หยิบก้อนดินขึ้นมาบี้ในมือ เนื้อดินแข็งกระด้าง แตกออกเป็ผงฝุ่น ไม่มีความร่วนซุยเลย
“เห็นไหมคะพี่ดิน” ฉันยื่นดินให้เขาดู “ดินแน่นทึบจนรากหายใจไม่ออก แถมข้างล่างยังมี ‘ชั้นดาน’ (Hardpan) แข็งโป๊ก น้ำซึมลงไปไม่ได้ รากก็ชอนไชลงไปหาน้ำไม่ได้ ต้นไม้มันถึงได้ยืนต้นตายไงคะ”
พี่ดินรับก้อนดินไปพิจารณา “แล้วจะแก้ยังไง? ปกติเขาก็อัดปุ๋ยยูเรียกันไม่ใช่เหรอ?”
“ผิดมหันต์เลยค่ะ!” ฉันสวนทันควัน “ดินเป็กรดขนาดนี้ ยิ่งอัดเคมี รากยิ่งเน่า สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ ‘ล้างพิษ’ ให้ดินต่างหาก”
ฉันหันไปหาเศษกิ่งไม้มาวาดลงบนพื้นดิน อธิบายแผนการราวกับกำลังเลคเชอร์ให้นักศึกษาฟัง
“หนึ่ง... เราต้องหว่าน ปูนขาว (Dolomite) เพื่อปรับค่า pH ให้เป็กลาง สอง... หยุดปุ๋ยเคมีทันที แล้วอัด ปุ๋ยหมัก หรือมูลวัวเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ ให้ดินร่วนซุย และสาม...”
ฉันเงยหน้าสบตาพี่ดิน ั์ตามุ่งมั่น
“เราต้องะเิชั้นดานใต้ดินนั่นซะ!”
พี่ดินชะงัก มองหน้าฉันนิ่งๆ เป็ครั้งแรกที่แววตาดูแคลนว่าฉันเป็ ‘เด็กเมืองกรุง’ หายไป แทนที่ด้วยความประหลาดใจและ... ชื่นชมเล็กๆ?
“รู้ลึกเหมือนกันนี่” เขาพึมพำ “นึกว่าเรียนจบมานั่งห้องแอร์อย่างเดียว”
“โถ่พี่... ขวัญจบเกียรตินิยมเหรียญทองนะ ไม่ได้จับสลากได้ใบปริญญามา” ฉันยืดอกภูมิใจ “แต่ว่า...”
ฉันมองไปรอบๆ สวนกว้างสุดลูกหูลูกตา
“พื้นที่ 50 ไร่ แรงงานมีแค่ขวัญกับพ่อแม่... คงทำไม่ไหวแน่ๆ”
พี่ดินโยนก้อนดินในมือทิ้ง ปัดมือสองสามที แล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เงาของเขาทาบทับลงมาบดบังแสงแดดให้ฉัน
“ใครบอกว่ามีแค่พ่อกับแม่”
ฉันเงยหน้ามองเขาตาปริบๆ
“เครื่องจักรในอู่ผมมีเยอะแยะ... ถ้าคุณรู้วิธีแก้ปัญหา เดี๋ยวผมเป็ ‘แขนขา’ ให้เอง” เขากระตุกยิ้มมุมปาก เป็รอยยิ้มแรกที่ฉันเห็นั้แ่ย้อนเวลามา “ถือว่าช่วยลูกหนี้ไม่ให้หนีหนี้ก็แล้วกัน”
ตึกตัก...
ให้ตายสิ... อากาศมันร้อนหรือเพราะผู้ชายคนนี้กันนะ ทำไมหน้าฉันร้อนวูบวาบแบบนี้!
[System Alert]
Relationship Updated: ปฐี (พี่ดิน)
Status: เพื่อนบ้านที่เริ่มสนใจในความสามารถ (Friend -> Interested Ally)
Unlock Blueprint: ผานไถะเิดินดาน (Subsoiler) - ้าช่างฝีมือระดับสูงในการสร้าง
ฉันแอบยิ้มกริ่มในใจ
ได้ทั้งช่าง ได้ทั้งคนช่วยงาน แถมยังปลดล็อกบลูพริ้นต์ใหม่...
ปฏิบัติการ ‘วิศวะ’ x ‘เกษตรกร’ เริ่มต้นอย่างเป็ทางการแล้ว!
