ฮูหยินสกุลิ่มีความอิจฉาริษยาไท่ไท่สามมาโดยตลอด ทุกคราที่เอ่ยถึงสตรีผู้นี้ นางจะมีท่าทางผิดปรกติเสมอ ถึงอย่างไรก็เคยเป็คู่หมั้นของสามีนาง แม้จะดูเหมือนเป็การจับพลัดจับผลู แต่ในใจของทุกคนก็ยังรู้สึกว่าไท่ไท่สามสกุลซูทิ้งคนเก่าไปหารักใหม่
แม่ทัพิ่ก็ยากจะตัดใจลืมความหลัง เมื่อสามีอาจมีผู้อื่นในใจ จะให้นางเบิกบานได้อย่างไร
วันนี้เห็นไท่ไท่สามสกุลซูทั้งอ่อนหวานงดงามผิวพรรณขาวผุดผ่อง ดูงามสง่าราศีจับไปทั้งตัว นางยิ่งระทมใจเป็ธรรมดา
แต่ไท่ไท่สามก็มิได้พูดอะไรมากมาย นางยิ้มอ่อนโยน หลังจากนั้นก็กล่าวว่า "ฮูหยินิ่ชมเกินไปแล้ว ท่านเองก็ยังดูองอาจเฉกเช่นเมื่อก่อน"
หากบอกว่าเดิมทีไม่เข้าใจ แต่หลายปีมานี้ ผ่านเื่ราวมากมายมาจนชินตา ทุกคนล้วนมองอุปนิสัยของคนทั้งคู่ออก แม้ไม่ถึงกับรู้ทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็มีหกเจ็ดส่วน
คนผู้นี้เป็คนแบบไหน ก็เห็นชัดเจนอยู่
แต่ไหนแต่ไรมาไท่ไท่สามสกุลซูมักทำตัวเป็เข็มซ่อนในปุยนุ่น พวกนางไหนเลยจะไม่รู้
ถ้อยคำเยินยอที่กล่าวอยู่ตอนนี้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมองมันอย่างไร
ไท่ไท่สามกับเฉียวเยว่นั่งลงด้านข้าง โม่หลันกับมารดาของนางมาแต่เช้า นางยิ้มให้เฉียวเยว่แล้วยื่นมือออกไปทักทาย แท้จริงแล้วครานี้สกุลิ่้าให้ิ่จื้อรุ่ยเลือกคนที่เหมะสม โม่หลันจึงนับว่ามีความเป็ไปได้สูงสุด ถึงอย่างไรก็มาจากตระกูลนักรบ สามารถเข้าใจซึ่งกันและกัน และด้วยเหตุนี้แม่ลูกสกุลหยางจึงมาแต่เช้าเพื่อแสดงให้เห็นถึงเจตนาดีของตนเอง
เมื่อเด็กสาวสองคนยิ้มทักทายกันเช่นนี้ ก็ทำให้ฮูหยินิ่ไม่พอใจ
นางมีอุปนิสัยก้าวร้าว จึงไม่มีสหายเพศเดียวกัน อย่าว่าแต่ที่เมืองหลวงของต้าฉี แม้แต่ที่ที่พวกเขาอยู่หรือชายแดน ก็ไม่มีที่ไหนดีที่สุดในสายตานาง ภรรยาของบริวารคนสนิทของแม่ทัพิ่เ่าั้ นางก็ไม่สนิทชิดเชื้อ
นางขบริมฝีปากกล่าวอีกว่า "แม่นางน้อยสกุลซูกับแม่นางน้อยสุกลหยางดูจะมีความสัมพันธ์ดียิ่ง เพียงแต่..."
คำกล่าวที่เหลือยังไม่ทันพูดให้จบ ก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าิ่ตัดบทไปเสียก่อน
"เฉียวเยว่กับโม่หลันเป็สหายร่วมชั้นเรียน ทั้งเป็สหายรู้ใจที่สนิทกันเป็ส่วนตัว ย่อมมีอัธยาศัยที่ดียิ่ง"
สะใภ้ของผู้อื่นล้วนสง่างามมีความสามารถ แต่สะใภ้ตระกูลนางกลับหยาบกระด้างราวกับหญิงบ้านป่าเมืองเถื่อน ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็จนปัญญา ได้แต่จำทน เมื่อแต่งงานไปแล้ว บุตรชายของตนเองก็พึงพอใจ หลานชายก็ดีขนาดนี้ นางไม่อาจพูดมากเกินไป
อีกอย่างสิบกว่าปีผ่านไป นางก็ชินเสียแล้ว อย่างไรเสียสตรีอ่อนแอในเมืองหลวงก็ไม่เหมาะที่จะไปใช้ชีวิตที่ชายแดน
"เฉียวเยว่ไม่ได้มาหลายวัน แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้รับของขวัญจากเ้า รู้สึกดีใจมาก เห็ดกับปูแม่น้ำล้วนสดใหม่ดียิ่ง" แท้จริงแล้วคนที่ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ต้องตาที่สุดคือซูเฉียวเยว่ เพียงแต่นางรู้สึกได้ว่าความสนใจของสกุลซูไม่สูงนัก ส่วนสะใภ้ของตนเองก็ไร้เหตุผลไม่รู้จักแยกแยะ ผู้อื่นย่อมไม่อยากเข้าใกล้เป็ธรรมดา
แน่นอนว่าสะใภ้ของตนเองคนนี้ยังพอคุยกันได้ แต่ทางสกุลซูกลับยังไม่แน่
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่รู้สึกว่าสกุลซูรักเฉียวเยว่มาก หากเฉียวเยว่ยืนกรานแน่ชัด เื่นี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสสำเร็จ ด้วยเหตุนี้นางจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง
เฉียวเยว่ลุกขึ้นยอบกายน้อยๆ ยิ้มกล่าวว่า "แท้จริงแล้วข้าไม่ได้เก็บเองสักเท่าไร ล้วนเป็ท่านลุง พี่จ้านแล้วก็ฉีอันเก็บมาทั้งสิ้น ท่านชมข้าเช่นนี้ ข้าก็เขินแย่สิเ้าคะ"
แม้เฉียวเยว่จะเห็นหรงจ้านเป็พี่ชาย ไม่เคยมีความคิดเหลวไหลเป็อย่างอื่น แต่นางกลับมีไหวพริบ รู้ว่ายกเขาออกมาพูดเวลานี้มีประโยชน์ที่สุด แล้วสิ่งที่เห็นก็เป็ไปตามคาด พอนางเอ่ยถึงเช่นนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เฉียวเยว่ยิ้มสดใสราวกับไม่รู้อันใดสักอย่าง นางย่อมมีแผนการเป็ของตนเอง แต่ก็หวังว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดอื่นใด
"เพียงแค่มีน้ำใจก็ดีแล้ว" ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ยิ้มน้อยๆ
"พี่จื้อรุ่ยดีต่อข้ากับฉีอันมาก นี่คือสิ่งที่พวกเราสมควรทำแล้ว" เฉียวเยว่ตอบอย่างไร้ที่ติ
ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆ น้ำเสียงไพเราะอ่อนหวาน ดูเป็เด็กที่น่ารักจริงๆ แต่ยิ่งเป็เช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้คนมองอุปนิสัยของนางไม่ออก
แต่ผู้ใดก็มิใช่คนเขลา เฉียวเยว่แสดงความเป็เด็กออกมาเช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่มีความคิดเป็อย่างอื่น ฮูหยินผู้เฒ่าิ่ย่อมเข้าใจยิ่งกว่า แต่นางยังรู้สึกว่าความสัมพันธ์ศิษย์พี่กับศิษย์น้องก็ไม่เลว แต่ตอนนี้เฉียวเยว่ยังอายุน้อย ความคิดของนางอาจมีผลสืบเนื่องมาจากครอบครัวก็เป็ได้
"เรียนฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินสวี่มาแล้วเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่มองไป เป็สวี่ม่านหนิงสองแม่ลูกตามคาด นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่นำพาต่อสวี่ม่านหนิงมากนัก
สวี่ม่านหนิงสวมชุดกระโปรงยาวรัด่เอวสีชมพู มวยผมดุจเส้นไหมสีดำปักปิ่นหยกขับเน้นความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปล่อยเรือนผมยาวทิ้งตัวลงมาเคลียบ่า
นางเดินตามอยู่หลังมารดายอบกายเล็กน้อย กล่าวคารวะเสียงเบา
ไม่ว่าจะเข้าวังหรือเข้าทางท่านอ๋องอีกสองสามคน สวี่ม่านหนิงล้วนไม่มีอนาคตอันใดแล้ว ดังนั้นดูจากตอนนี้ ิ่จื้อรุ่ยจึงเป็ทางเลือกที่ไม่เลว แต่เท่าที่เฉียวเยว่สังเกตเห็น แววตาของนางมีความไม่ยินยอมซ่อนเร้นอยู่ นางเดาว่าเป็ไปได้แปดส่วนที่นางจะถูกฮูหยินสวี่บังคับ หากให้สวี่ม่านหนิงเลือกเอง นางคงจะไม่ยินดี เพราะ้าขึ้นสูงยิ่งกว่านี้
เฉียวเยว่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร
พวกผู้ใหญ่ทักทายกันตามมารยาท ถ้อยคำที่พวกนางคุยกันล้วนแต่มีความหมายเฉียบคมซ่อนเร้น เฉียวเยว่รำพึงในใจ นี่ช่างมีสีสันยิ่งกว่าการต่อสู้ในวังหลังเสียอีก มานึกดูดีๆ แท้จริงแล้วทุกคนไม่มีความสัมพันธ์ด้านผลประโยชน์ แต่กลับมีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเป็กลุ่มต่างๆ
บุรุษเป็เช่นนี้ สตรีก็ย่อมจะเหมือนกัน คนส่วนใหญ่มักคบหาเป็สหายกับคนที่เข้ากันได้ดี หรือคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับสามีของตน
เฉียวเยว่ไม่รู้ว่าภายภาคหน้าตนเองก็จะเป็เช่นนี้หรือไม่ แต่นางเห็นมารดาเข้าสังคมได้อย่างคล่องแคล่วชำนาญ ก็รู้สึกว่าตนเองที่กลับมาเกิดใหม่ แม้จะย้อนเวลากลับมาก็ใช่ว่าจะมีความสามารถทุกเื่
เื่ราวมากมายนางก็รับมือไม่ได้เหมือนกัน
ขณะเฉียวเยว่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็ถูกไท่ไท่สามกุมมือ เฉียวเยว่เงยหน้า เห็นไท่ไท่สามยิ้มให้นางเหมือนกำลังปลอบใจ คงเพราะเห็นสีหน้าเบื่อหน่ายของนางกระมัง
เฉียวเยว่ยิ้มหวานทันควัน ทำท่าเป็เด็กน้อยรู้ความ
ท่าทีของนางทำให้ไท่ไท่สามยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ
"มีบุตรสาวก็เหมือนมีคนรู้ใจ คุณหนูเจ็ดสกุลซูช่างเป็แก้วตาดวงใจของไท่ไท่สามจริงๆ"
ฮูหยินิ่จดจ้องไท่ไท่สามตลอดเวลา เฉียวเยว่กลอกตาอย่างอดไม่ได้ คนผู้นี้หาเื่ไม่จบไม่สิ้นจริงๆ ไม่ใช่เด็กแล้วแต่ก็ยังเป็แบบนี้ นึกถึงป้าสะใภ้รองที่บ้าน ก็มีอุปนิสัยเหมือนกับคนผู้นี้ ไม่เกี่ยวข้องกันอายุแม้แต่ส่วนเสี้ยว
นางเบะปาก แต่ไม่พูดอะไร
ไท่ไท่สามจับมือบุตรสาวแล้วเอ่ยเสียงเบา "ยายหนูคนนี้เป็ลิงน้อยซุกซน หากไม่จับนางไว้ กลัวว่านางจะไปก่อเื่ ท่านตาของนางมักกล่าวว่าเด็กซนหน่อยถึงจะฉลาด แต่ไม่เห็นอกเห็นใจมารดาอย่างข้าบ้างเลย ทุกคราที่พานางออกจากจวน ใจข้ามักพะว้าพะวงตลอดเวลา"
"ท่านแม่เอาข้ามาขายข้างนอกได้อย่างไร ข้ากลับไปจะไปฟ้องท่านตา ให้ท่านตาอบรมท่านเสียหน่อย"
เฉียวเยว่ทำปากยื่น ดูน่ารักยิ่ง
"ท่านว่าร้ายข้า กระซิกๆ" นางทำเสียงกระเง้ากระงอด
ทุกคนในที่นั้นต่างพากันหัวเราะ "ดูดู๊ แม่นางน้อยคนนี้ช่างฝีปากคมยิ่ง ยังไปฟ้องอีกด้วย"
ไท่ไท่สามทำทีถอนหายใจ "ก็นั่นน่ะสิ เป็แม่คนก็ลำบากเช่นนี้เอง"
ไท่ไท่สกุลหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม "อย่างท่านยังลำบากอีกหรือ ข้าอิจฉาแทบตายอยู่แล้ว ทั้งบุตรชายบุตรสาวเฉลียวฉลาดอย่างกับอะไรดี หากเด็กบ้านข้ามีสติปัญญาปราดเปรื่องเช่นนี้ ไม่ว่าจะซุกซนแค่ไหน ข้าก็พึงพอใจ แต่เ้าดูบ้านของพวกเราสิ ยายหนูคนนี้ของข้าก็ร่าเริงสดใส แต่ยังไม่เฉลียวฉลาดเหมือนเฉียวเยว่เลย"
"ข้ารักท่านป้าหยางที่สุด" เฉียวเยวยิ้มตาหยีพลางทำปากยื่น
พรืด!
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างหัวเราะลั่นออกมา
ไท่ไท่สามตีนางหนึ่งที "ใครปกป้องเ้า เ้าก็ว่าผู้นั้นดี เ้าคิดว่าตนเองอายุสามขวบหรือไร"
เฉียวเยว่โบกมือน้อยๆ เอ่ยทักท้วง "แต่ข้าห้าขวบแล้วชัดๆ"
ฮูหยินผู้เฒ่าิ่หัวเราะจนน้ำตาไหล "โอ๊ย... เฉียวเยว่น่ารักอะไรอย่างนี้"
ทุกคนต่างหัวเราะตาม แต่เฉียวเยว่เห็นสีหน้าของทุกคนแล้วก็รู้ว่าตนเองทำพลาดไปอีกแล้ว นางจะทำตัวเด่นไปทำไม แสร้งทำตัวเด็กก็มิอาจทำเช่นนี้ ขณะที่เ้าคิดว่าแสร้งทำตัวเพื่อให้คนเอ็นดู แต่ผู้อื่นอาจเข้าใจว่าเ้าจงใจทำตัวให้เป็จุดเด่น
อย่าว่าแต่ใครอื่น แค่ดูจากสีหน้าของสวี่ม่านหนิงก็รู้แล้ว นางต้องคิดว่าตนเองจงใจเป็แน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกเหมือนยกหินมาทุ่มใส่เท้าของตัวเอง
เฉียวเยว่ไม่สนใจความรู้สึกของใครบางคน แต่นางไม่อยากถูกคนสกุลิ่หมายตา
เฉียวเยว่เชิดใบหน้าดวงน้อย แม้จะยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในใจกลับก่นด่าความโง่เขลาของตนเอง
"เรียนฮูหยินผู้เฒ่า ท่านอ๋องอวี้มาถึงแล้วเ้าค่ะ"
สิ้นคำดังกล่าว เฉียวเยว่กลับเบิกตากว้าง พี่จ้านมาได้อย่างไร?
แต่เพียงชั่วอึดใจ ก็เห็นบุรุษสวมอาภรณ์สีขาวกระจ่างเข้ามาในห้อง เขาดูเยือกเย็นและอ่อนน้อมถ่อมตน มีรอยยิ้มประดับมุมปาก "คารวะกูไหน่ไน"
เฉียวเยว่รู้สึกว่า่นี้สมองของนางคงจะใช้งานไม่ดีนัก จะว่าไปก็ถูกต้อง พี่จ้านต้องมาอยู่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าิ่เป็ท่านป้าของบิดาเขา นับได้ว่าเป็ญาติกันแท้ๆ
ไม่ว่าอย่างไรหรงจ้านก็ต้องมาคารวะเมื่อถึงเทศกาลต่างๆ
"จ้านเอ๋อร์รีบมานั่งข้างกูไหน่ไน" ฮูหยินผู้เฒ่าิ่อมยิ้ม
พูดไปแล้วก็แปลกนัก หากเป็บุรุษอื่นย่อมไม่สะดวกรั้งอยู่ทางนี้ ถึงอย่างไรก็มีแขกสตรีมากมาย ดูน่าเกลียด แต่หรงจ้านมักไม่ทำให้คนรู้สึกเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร
เขาไม่มีส่วนไหนที่คล้ายสตรี อุปนิสัยก็ไม่ถือว่าดีนัก แต่เป็คนประเภทที่มองข้ามความแตกต่างระหว่างชายหญิงมาแต่ไหนแต่ไร
หรงจ้านล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเริ่มเช็ด ทุกคนต่างรู้สึกกระอักกระอ่วน
ไม่ว่าจะเห็นมาแล้วกี่ครั้งกี่ครา ก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิม เฉียวเยว่เห็นสีหน้าของทุกคน ก็รู้สึกว่าการปรับตัวของพวกนางค่อนข้างย่ำแย่
หรงจ้านเช็ดทุกอย่างเรียบร้อยค่อยนั่งลง ยิ้มเอ่ยว่า "กูไหน่ไน ข้าทำขนมเองกับมือมาให้ท่านด้วย"
ซื่อผิงยกตะกร้าเข้ามา พูดตามตรงภายใต้การป่าวประกาศของเฉียวเยว่ แทบจะทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ว่าฝีมือการทำอาหารของหรงจ้านเป็หนึ่งไม่มีสองในใต้หล้า เพียงแต่ถึงแม้จะอยากกินของฝีมือเขา ก็ต้องดูด้วยว่าตนเองมีวาสนาพอหรือไม่
ฮองเฮาในวังยังไม่ได้รับอภิสิทธิ์เช่นนี้เลย
หรงจ้านเงยหน้า ประสานสายตากับเฉียวเยว่พอดี นางเม้มปากน้อยๆ หรงจ้านหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า "แม่หนูน้อย พรุ่งนี้จะมาเที่ยวจวนข้าหรือไม่ ใกล้ปีใหม่แล้ว ข้าว่าจะทำอาหารใหม่ๆ ให้เสด็จย่า เ้าอยากมา 'ทดสอบอาหาร' หรือไม่?”
เฉียวเยว่ "..."
เมี้ยว!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้