ตลอดทั้งวันเซี่ยเสี่ยวหลานดูไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย
หยางหย่งหงกำลังครุ่นคิด เมื่อเช้าผู้ใหญ่คนนั้นคุยอะไรกับเสี่ยวหลานกันแน่?
แม้ทุกคนร่วมงานเสวนาก่อนนอนทั้งคืนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้สนิทสนมกันมากจริงๆ นี่นา
ลฺหวี่เยี่ยนอายุน้อยที่สุด ทว่าก็ไม่พูดมาก หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือเพราะเธออายุน้อยที่สุดนั่นเอง เธอจึงไม่ใส่ใจเื่ราวซับซ้อนพวกนี้แม้แต่น้อย อีกทั้งเธอไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าอารมณ์ของเซี่ยเสี่ยวหลานหมองมัวลงเล็กน้อย
ตลอดทั้งวัน ห้อง 307 กำลังทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในรั้วมหาวิทยาลัย
พวกเธอรู้แล้วว่ารับประทานอาหารที่ไหน ไปหอพักอย่างไร ห้องสมุดอยู่ตรงไหน ที่ตั้งของหอประชุมใหญ่ ห้องเรียนที่ต้องเรียนในอนาคตอันใกล้ วันนี้ไม่มีตารางเรียน เนื่องจากทางมหาวิทยาลัย้าปล่อยให้นักศึกษาใหม่ได้รู้จักหัวชิงบ้างเช่นกัน พื้นที่ของหัวชิงนั้นมีขนาดใหญ่ มีอาคารต่างๆ มากมาย ถ้า้าเดินทางอย่างอิสระภายในมหาวิทยาลัย ทางที่ดีจำเป็ต้องมีจักรยานสักคัน
“ฉันไปดูสระบัวมาแล้ว สถานที่ที่คุณจู [1] เขียน《สระบัวใต้แสงเดือน [2]》น่ะ!”
โจวลี่ิ่กลับมาจากข้างนอก สิ่งที่เธอพูดก่อให้เกิดความรู้สึกร่วมจากเพื่อนร่วมหอนอนหลายๆ คน
ในหนังสือเรียนวิชาภาษาจีน ใครไม่ได้ท่อง《สระบัวใต้แสงเดือน》จนคล่องแคล่วขึ้นใจบ้าง?
“เหนือสระบัวที่คดเคี้ยว เห็นใบบัวเขียวสดทั่วสุดลูกหูลูกตา...” โจวลี่ิ่โยกศีรษะ แม้ดอกบัวในเดือนกันยายนจะโรยราแล้ว ก็ไม่ส่งผลต่อความตื่นเต้นของเธอ เมื่อเห็นสระบัวนั้น ความรู้สึกที่เธอมีต่อการเข้าเรียนในหัวชิงของตัวเธอเองชัดเจนยิ่งขึ้น ภาพที่หนังสือเรียนภาษาจีนบรรยายปรากฏให้เห็นเป็ภาพจริง เธอไม่เพียงแต่ยืนอยู่บนสถานที่เดียวกับคุณจู เกือบทุกมุมของหัวชิงล้วนมีร่องรอยที่เหล่าบุคคลสำคัญทิ้งเอาไว้
แล้วเธอเล่า อีกหลายสิบปี หัวชิงจะเก็บชื่อ ‘โจวลี่ิ่’ ของเธอไว้หรือไม่?
คำกล่าวนี้ของโจวลี่ิ่ ไม่มีใครหัวเราะเยาะ
กระทั่งหยางหย่งหงก็รู้สึกตื่นเต้นมากเหมือนกัน ใครบอกว่าพวกเธอไม่มีทางทิ้งกิตติศัพท์ไว้ในหัวชิงได้เล่า? ทุกความชำนาญล้วนมีผู้เชี่ยวชาญ มีบุคคลอัจฉริยะ พวกเธอแค่ต้องเพียรพยายามให้มากพอ
ซูจิ้งกำลังเท้าคาง “ฉันจะต้องออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกลักษณ์อันเป็ต้นแบบแสนยอดเยี่ยมให้ได้!”
หลายคนพากันกลอกตา นอกจากถูกย้ายมายังสาขาสถาปัตยกรรม คนที่เลือกเรียนด้วยตนเองคนไหนไม่อยากออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่เป็ยอดต้นแบบบ้าง?
“เสี่ยวหลาน เธอล่ะ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานหลุดจากภวังค์ทันทีที่ได้ยินชื่อของตน “ขอโทษ เมื่อครู่ฉันกำลังคิดเื่บางอย่างน่ะ พวกเธอคุยอะไรกันอยู่หรือ?”
“วันนี้หลังจากที่เธอกลับมาจากโรงอาหารก็ออกจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนะ เมื่อครู่ลี่ิ่บอกว่าอยากสร้างชื่อเสียงไว้ในหัวชิง ซูจิ้งบอกว่าจะออกแบบสิ่งก่อสร้างอันโดดเด่นที่เป็ต้นแบบ เธอล่ะ ทำไมเธอถึงเลือกสาขาสถาปัตยกรรม?”
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากพูดออกไปเหลือเกิน เธอกลัวว่าตอนทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตจะโดนสถาบันออกแบบหลอก โดนสถาปนิกที่ไม่น่าเชื่อถือหลอก เกิดอีกฝ่ายจะสร้างแบบ ‘กางเกงชั้นในั์’ ออกมาให้ โฆษณาแก่เธอว่าอาคารนี้ทั้งทันสมัยและมีรสนิยมสูง เธอควรปฏิเสธหรือยอมรับอย่างไร?
ความรู้ที่เธอเคยศึกษาจากมหาวิทยาลัยหัวชิงเหล่านี้ก็น่าจะฟาดเข้ากลางหน้าสถาบันออกแบบ
ด้วยคำพูด ‘ฉันจบการศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมหัวชิงรุ่นที่ 84 ขอถามพวกคุณหน่อยว่า...’ และด้วยคุณวุฒินี้ น่าจะสามารถเอาชนะนักออกแบบสิ่งปลูกสร้างได้มากกว่า 80%
หากจะพูดถึงด้านการบริหาร เธอเองก็ทำงานเป็ผู้บริหารระดับสูงมาหลายปี ประสบการณ์เกือบสิบปีถือว่าเพียงพออย่างแน่นอน นี่คือการมาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติมจากสายงานที่ตนไม่รู้จัก ในอนาคตไม่ว่าจะการออกแบบ งบประมาณ ราคาค่าก่อสร้าง ใครก็อย่าได้คิดหลอกลวงเธอทั้งนั้น—โดยสรุปแล้ว เพื่อหาเงินอยู่ดีนั่นแล!
ถ้าบอกเหตุผลนี้ออกมา มันช่างเห็นแก่ผลกำไรเกินไปแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงเกรงว่าจะถูกเหล่าเพื่อนร่วมห้องรังเกียจ
“ฉันอยากออกแบบบ้านที่โดดเด่นไร้เทียมทานให้ตัวเอง”
เอ๋?
ออกแบบบ้านให้ตัวเอง!
ซูจิ้งยื่นปาก “รัฐจัดสรรบ้านให้ทั้งนั้น พวกเราจำเป็ต้องออกแบบบ้านให้ตัวเองอีกหรือ? โอ๊ะ ฉันเข้าใจแล้ว เธออยากจะออกแบบที่อยู่อาศัยของหน่วยงานสินะ!”
ซูจิ้งไม่นำพา ของแบบนั้นมีอะไรให้ออกแบบกัน ทั้งหมดล้วนมีแบบแผนไร้ความหลากหลาย
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดในใจ เด็กโง่เอ๋ย ในอนาคตรัฐไม่จัดสรรที่อยู่อาศัยให้แล้ว ราคาบ้านของปักกิ่งสูงจนทำให้บัณฑิตหัวชิงต้องย่ำเท้าด้วยความกระวนกระวายใจด้วยซ้ำ แต่ปัจจุบันมหาวิทยาลัยยังไม่ได้เพิ่มอัตราการรับนักศึกษา นักศึกษามหาวิทยาลัยหัวชิงมีคุณค่าสูงจริงๆ ไม่ว่าจะถูกบรรจุเข้าหน่วยงานใด ไม่มีใครที่จะไม่ได้รับบ้าน
ขอแค่ซื้อบ้านสวัสดิการด้วยวิธีสุจริตเก็บไว้ใน่ปฏิรูปที่อยู่อาศัย ไม่ว่าชีวิตในวันข้างหน้าจะย่ำแย่เพียงใด ก็จะไม่ขวัญกระเจิงเพราะราคาบ้านที่สูงลิ่ว
คนในพื้นที่ปักกิ่งอย่างซูจิ้งนี้ยิ่งไม่ต้องกังวล มีสิทธิ์รับที่อยู่อาศัยจากการรื้อถอนนี่นา อีกทั้งบ้านที่ซูจิ้งจะได้รับในอนาคต ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเป็บ้านสำหรับคนท้องที่ซึ่งสร้างขึ้นแรกๆ ไม่กี่หลังอีกด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานจิตใจล่องลอยเพราะคำพูดของกวนฮุ่ยเอ๋อเมื่อเช้า
“หกโมงครึ่งแล้ว รีบไปกันเถอะ พิธีเปิดเรียนอยู่ที่สนามใหญ่ฝั่งตะวันตก!”
จะไปสายไม่ได้เด็ดขาด อาจารย์ไต้บอกแล้ว ควรไปถึงเร็วดีกว่าไปสาย ผู้บริหารหลายท่านของมหาวิทยาลัยจะมาร่วมงาน สาขาสถาปัตยกรรมไปสายนั้นสมควรที่ไหน!
ความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลานยังจัดระเบียบไม่เรียบร้อยดีด้วยซ้ำ ก็ถูกซูจิ้งผลักให้วิ่งไปเสียแล้ว
“ม้านั่ง ถือม้านั่งไปด้วย วิ่งเร็วขนาดนั้นไปทำไมกัน!”
หยางหย่งหงะโไล่หลัง
สนามกีฬาใหญ่ฝั่งตะวันตกไม่มีที่นั่งเสียด้วย พิธีเปิดการศึกษาใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองชั่วโมง จะให้เหล่านักศึกษายืนหรือ?
ตอนนี้ไม่ใช่มัธยมปลายแล้ว หากปล่อยให้นักศึกษายืนเปล่าๆ สองชั่วโมงจะมีความหมายอะไร หนักหนาโดยใช่เหตุ
อาจารย์ไต้บอกให้พวกเธอเตรียมม้านั่งเอง คนในหอพักจึงถือม้านั่งของตนเองเดินลงจากอาคาร ห้อง 307 และ 305 พบกันแล้ว ทุกคนอยู่สาขาสถาปัตยกรรม เข้าๆ ออกๆ ต้องทักทายกันอยู่แล้ว มีนักศึกษาหญิงจากห้อง 305 คนหนึ่งตื่นเต้นเป็พิเศษ
“เดี๋ยวในพิธิเปิดเรียนน่ะ หนิงเสวี่ยจากห้องพวกเราจะขึ้นกล่าวบนเวทีในฐานะตัวแทนนักศึกษาใหม่ปีนี้! หนิงเสวี่ยสุดยอดไปเลย...”
ซูจิ้งพยักหน้าอย่างแรง “สุดยอดจริงๆ !”
แม้ลฺหวี่เยี่ยนเป็คนปักกิ่ง แต่เธอไม่ได้เรียนในโรงเรียนมัธยมปลายเดียวกันกับซูจิ้ง “พวกเธอพูดถึงหนิงเสวี่ย?!”
ทั้งสามคนเริ่มหันหน้ากระซิบกระซาบกัน ไม่สนใจความสับสนของเพื่อนต่างถิ่นโดยสิ้นเชิง หยางหย่งหงกระทุ้งถามเซี่ยเสี่ยวหลาน “เธอรู้จักหนิงเสวี่ยที่พวกเขาพูดหรือเปล่า? นี่ก็สุดยอดมากเลยนะ นักศึกษาใหม่เยอะขนาดนี้ เธอได้ขึ้นไปพูดได้อย่างไรกัน?”
อย่าคิดเพียงทุกคนดูอัธยาศัยดีกันหมด
สอบเข้าหัวชิงได้ ใครจะด้อยกว่าใครกัน?
เลือกใครออกไปล้วนคือนักเรียนดีเด่น จู่ๆ มีคนในสาขาเดียวกัน ซึ่งเป็นักศึกษาหญิงที่อยู่ห้องถัดไป จะขึ้นไปกล่าวในพิธีเปิดเรียนในนามนักศึกษาใหม่ประจำปีนี้
หยางหย่งหงไม่ได้ใจแคบ เธอแค่อยากถามเหมือนกัน ทำไมหนิงเสวี่ยคนนี้ถึงก้าวข้ามทุกคน และกลายเป็ตัวแทนนักศึกษาใหม่ได้!
เรียนสาขาสถาปัตยกรรมเหมือนกัน เมื่อวานอาจารย์ไต้ก็ไม่ได้พูดถึงเลย หนิงเสวี่ยถูกเลือกได้อย่างไร ตัวแทนนักศึกษาใหม่มีมาตรฐานอะไร? นอกจากสาวปักกิ่งทั้งสาม คนอื่นๆ ล้วนสงสัยใคร่รู้แทบทนไม่ไหว
ในที่สุดซูจิ้งก็นึกถึงเหล่าพวกพ้องร่วมห้องนอน จึงเดินไปพลางอธิบาย “หนิงเสวี่ยเก่งมากเลยล่ะ เธอเป็อันดับหนึ่งทั่วประเทศของเกาเข่าในปีนี้! ตอนอยู่มัธยมปลาย เธอได้ตำแหน่งนักเรียนสามดีของประเทศทุกปี... พวกเธอว่าเ้าตัวสอบได้คะแนนดีขนาดนี้จะเลือกสาขาสถาปัตยกรรมไปทำไมกัน? นั่นเพราะครอบครัวเธอเป็ตระกูลสถาปนิกน่ะสิ!”
หนิงเยี่ยนฝาน
ในสมองของเซี่ยเสี่ยวหลานมีชื่อนี้โผล่ออกมากะทันหัน
ปรมาจารย์สถาปนิกของจีนนี่นา คุณผู้ชายคนนี้อายุยืนมาก ภายหลังพอถูกอินเตอร์เน็ตตีแผ่ ความสำเร็จด้านสถาปัตยกรรมทั้งหมดก็เปิดเผยสู่สาธารณชน มีชื่อเสียงบนอินเตอร์เน็ตเป็อย่างยิ่ง
โด่งดังจนคนผ่านทางอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานคนนี้ยังรู้จัก
เป็ไปตามคาด ซูจิ้งกล่าวชื่อของหนิงเยี่ยนฝานออกมาอย่างเป็เกียรติ
โจวลี่ิ่อ้าปากกว้าง
“หลานสาวของผู้เฒ่าหนิง? ไม่แปลกใจ...”
ซูจิ้งเคืองเล็กน้อย “หนิงเสวี่ยไม่ได้ถูกเลือกเพียงเพราะเป็หลานสาวของอาจารย์หนิงเยี่ยนฝานนะ ครอบครัวเธอมีความรู้ที่สืบทอดกันมา ได้รับการปลูกฝังพื้นฐานความรู้ด้านสถาปัตยกรรมมาตั้งนานแล้ว เคยเข้าร่วมการแข่งขันออกแบบสิ่งก่อสร้างั้แ่มัธยมปลาย... ช่างเถอะ พูดกับพวกเธอเยอะแยะขนาดนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ สู้อีกเดี๋ยวไปดูอะไรน่าประทับใจด้วยตาตัวเองไม่ได้หรอก!”
เมื่อเล่าแบบนี้แล้ว แม้แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังเกิดความสนใจ
เชิงอรรถ
[1]คุณจูในที่นี้คือ จูจื้อชิง (朱自清) นักเขียนร่วมสมัยชาวจีน สร้างผลงานทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง
[2]荷塘月色 สระบัวใต้แสงเดือน คือ งานประพันธ์ร้อยแก้วของจูจื้อชิง เป็หนึ่งในร้อยแก้วต้นแบบชิ้นเอกที่มีชื่อเสียง จูจื้อชิงเขียนผลงานนี้ขณะออกมาเดินชมสระบัวในมหาวิทยาลัยชิงหัว ซึ่งตอนนั้นเขาทำงานเป็อาจารย์ในมหาวิทยาลัย