หยางเจี้ยนผู้มีตาสามดวง!
หลัวเลี่ยมองไปยังแผ่นหลังของเด็กน้อยที่จากไป จากนั้นเขาหัวเราะออกมาเสียงดังในทันที
นับั้แ่พวกซือสิ่งหลงและพี่น้องตระกูลโม่ของเขาจนมาถึงเด็กน้อยหยางเจี้ยนผู้นี้ที่มีอายุราวห้าถึงหกขวบ ดวงตาของพวกเขาช่างมีแววในการเลือกอาจารย์นัก
และหยางเจี้ยนคนนี้เป็หนึ่งในผู้ที่มีพร์ที่สุดในอนาคต
“ดูเหมือนว่าเ้าถูกกำหนดให้เป็ศิษย์อันดับต้นๆ ของข้า” มุมปากของหลัวเลี่ยโค้งขึ้น เขาตัดสินใจแล้ว
เด็กน้อยหยางเจี้ยนไม่ได้สนใจคำพูดนั้นของหลัวเลี่ย เขาทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยินและรีบเดินหายเข้าไปในฝูงชน เห็นได้ชัดว่าแม้เขาจะอายุน้อยแต่ก็มีความคิดที่เป็ผู้ใหญ่และกล้าแสดงออกมาก
เมื่อเกาอวิ๋นเหลิ่งและศิษย์ของสำนักอูอวิ๋นเซียนเห็นว่าทางฝั่งหลัวเลี่ยดูคล้ายจะไม่ใส่ใจเื่นี้มากนัก พวกเขาก็เริ่มโมโหมากขึ้น
นี่มันเื่อะไรกัน?
เด็กเหลือขออายุห้าถึงหกขวบขอให้หลัวเลี่ยฆ่าไก้อู๋ซวงเป็ครั้งที่สองก่อนจึงจะนับถือหลัวเลี่ยเป็อาจารย์หรือ
เื่นี้ดูผิวเผินเหมือนจะไม่มีอะไร แต่มันก็เป็การง่ายที่จะปั่นกระแสความคิดเห็นของผู้คน ทำให้กระทบไปถึงชื่อเสียงของบรรพชนอูอวิ๋นเซียนและศิษย์ทั้งหลายของสำนักอูอวิ๋นเซียน
“หลังจากนี้อีกสี่สิบวัน เ้าหลัวเลี่ยนั่นจะต้องถูกไก้อู๋ซวงสังหารอย่างแน่นอน!” เกาอวิ๋นเหลิ่งอดไม่ได้ที่จะพูดประโยคนี้ออกมาอีกครั้ง
หลัวเลี่ยยิ้มเบาๆ แล้วบินออกไป
เขาไม่จำเป็ต้องกังวล
สิ่งที่หลัวเลี่ยต้องทำในตอนนี้คือการฝึกฝนและพัฒนาตัวเอง
แค่ได้ยินชื่อของเคล็ดวิชานิพพานเป็ตายหลัวเลี่ยก็รู้แล้วว่าการเกิดใหม่ของไก้อู๋ซวงในครั้งนี้ต้องทำให้นางแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มากแน่ๆ ซึ่งความจริงแล้วก่อนหน้านี้พลังของหลัวเลี่ยและไก้อู๋ซวงก็ถือว่าไม่ได้ต่างกันมากนัก ที่ครั้งก่อนหลัวเลี่ยชนะได้ก็เพราะว่าสมรรถภาพทางกายของเขาแข็งแกร่งกว่า แต่ถ้าครั้งนี้ไก้อู๋ซวงแข็งแกร่งขึ้นแล้วหลัวเลี่ยยังไม่มีการพัฒนาที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มีหวังเขาคงได้เป็ฝ่ายที่ถูกสังหารแน่
ดังนั้นหลัวเลี่ยก็รู้สึกกดดันมากเช่นกัน
นอกจากนี้ตัวของเขาเองก็ยังอยากจะแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
หลังหลัวเลี่ยเดินออกมาจากจตุรัสเหยียนหลง เขาก็ยังคงเข้าไปในโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ของตระกูลข่ง
ทางโรงเตี๊ยมได้จัดเตรียมห้องเอาไว้ให้หลัวเลี่ยนานแล้ว และห้องของเขาก็ยังคงเป็พื้นที่ส่วนเล็กๆ ที่ข่งเยวี่ยเจินเคยอาศัยอยู่
วัสดุก่อสร้างในสถานที่ส่วนที่ข่งเยวี่ยเจินเคยอาศัยอยู่นั้นแตกต่างจากตัวโรงเตี๊ยมมาก วัสดุเหล่านี้ต่างช่วยป้องกันการสอดแนมและการบุกค้นจากคนภายนอก เช่นเดียวกับสถานที่ที่คนในตระกูลข่งอาศัยอยู่ และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่หลัวเลี่ยเลือกอาศัยในสถานที่แห่งนี้
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีสาวใช้สองถึงสามคนที่เป็ผู้ติดตามของข่งเยวี่ยเจิน
พวกนางทั้งหมดต่างละทิ้งโอกาสที่จะกลับไปตระกูลข่ง และเลือกอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องหลุมฝังศพของข่งเยวี่ยเจิน เพียงแค่ตัวเลือกนี้ก็ทำให้ผู้คนเคารพพวกนางมากแล้ว
เมื่อสถานที่โดยรอบ ห้องพัก และสถานที่ฝึกฝนถูกเตรียมพร้อมแล้ว หลัวเลี่ยจึงพูดคุยกับเยี่ยนอวิ๋นหวู่เล็กน้อยโดยเขสบอกให้เยี่ยนอวิ๋ยหวู่คอยเฝ้าที่นี่และห้ามให้ใครเข้ามารบกวนการฝึกฝนของเขาอย่างเด็ดขาด แล้วหลังจากนั้นหลัวเลี่ยก็ไปฝึกฝนพลัง
หลัวเลี่ยนั่งลงขัดสมาธิภายในห้องฝึกฝน แต่หัวใจของเขากลับไม่สามารถสงบได้ในระยะเวลาอันสั้น
หลัวเลี่ยไม่เพียงนึกถึงการปรากฏตัวของหยางเจี้ยนเท่านั้น แต่เขายังคิดถึงเื่ไก้อู๋ซวงด้วย
ตอนที่หลัวเลี่ยอยู่ในจัตุรัสเหยียนหลง เขารู้สึกถึงไอพลังที่คุ้นเคยอย่างเบาบาง ซึ่งไอพลังนี้ก็คงจะมาจากสมบัติรูปัที่มีความเกี่ยวข้องกับไก้อู๋ซวง แม้ว่าตอนนั้นหลัวเลี่ยดูเหมือนจะไม่ได้สนใจ แต่จริงๆ แล้วเขาใมาก
สำหรับผู้คนมากมายแล้ว ไก้อู๋ซวงเป็คนที่คาดเดาไม่ได้
มีเพียงหลัวเลี่ยเท่านั้นที่ค่อนข้างจะคุ้นเคยกับนาง เพราะทั้งสองได้ผ่านการปะทะกันที่ยากลำบากและโหดร้ายมาแล้ว
และความคุ้นเคยนี้เองที่ทำให้หลัวเลี่ยสามารถคาดเดาสถานการณ์ทางฝั่งของไก้อู๋ซวงได้ผ่านทางไอพลังของนาง
ถ้าไอพลังของไก้อู๋ซวงแข็งแกร่งเทียบเท่ากับไอพลังของหลัวเลี่ยแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะไม่เพียงไอพลังของนางจะมีความคงที่และเข้มข้นขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญคือไอพลังนั้นยังมีระยะที่ไกลกว่าเดิม ซึ่งหมายความว่าพลังของไก้อู๋ซวงมีความก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเกิดใหม่ในครั้งที่สองนี้ของนางก็มีโอกาสที่นางจะมีพลังอยู่ในระดับหยินหยางขั้นกลางั้แ่แรกเลย
นอกเหนือจากเื่นี้แล้ว แม้ว่าหลัวเลี่ยจะไม่รู้สึกถึงสิ่งอื่นอีก แต่เขาก็คาดเดาได้บางอย่าง
บางทีการที่ไก้อู๋ซวงได้ตายแล้วเกิดใหม่อาจทำให้นางได้เลาะกระดูกเปลี่ยนพลังให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็เป็ได้ และหากเป็เช่นนี้จริงๆ ถ้าหลัวเลี่ยไม่สามารถพัฒนาพลังให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว เขาก็คงต้องโดนไก้อู๋ซวงสังหารเป็แน่
แรงกดดันในเื่นี้ยิ่งใหญ่มาก
ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงเริ่มฝึกฝนพลังวรยุทธ์อย่างเข้มงวดอีกครั้ง
มนุษย์เราก็เป็แบบนี้ เวลาไม่มีแรงกดดัน แม้ดูเหมือนทำงานอย่างหนัก แต่ผลงานที่ออกมากลับอยู่ในเกณฑ์ที่พอจะรับได้ แต่เมื่อได้รับแรงกดดันอย่างมากจนถึงขั้นหัวชนฝาแล้ว ผลงานที่ออกมาก็มักจะดีเกินมาตรฐานที่ตั้งไว้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์
นี่เป็เหตุผลว่าทำไมคนใดก็ตามที่มาจากกองกำลังที่ทรงพลัง ขอเพียงเขามีความทะเยอทะยาน เขาก็จะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อสร้างแรงกดดันให้กับตัวเองและบีบเค้นเอาศักยภาพของตนเองออกมา ทำให้เติบโตและพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
“เห็นได้ชัดว่าหากฝึกฝนตามปกติคงจะตามไก้อู๋ซวงไม่ทันแน่”
“เช่นนั้นก็ต้องเป็การเลื่อนขั้นทางพลังที่ไม่ธรรมดา”
“ถ้าอย่างนั้นก็มีวิธีเดียวแล้ว”
หลัวเลี่ยพลิกข้อมือของตนเองหนึ่งครั้ง จากนั้นระฆังจันทราก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
ตอนนี้ในมือของเขามีเพียงสิ่งเดียวที่สามารถมอบพลังของการฝึกฝนที่ไม่ธรรมดามาให้เขาได้ และสิ่งๆ นั้นก็คือระฆังจันทรา
หลัวเลี่ยเข้าใจวิธีใช้ระฆังจันทรามากขึ้นแล้วจากการจ้องมองมันก่อนหน้านี้ และครั้งนี้เขาก็จำเป็ต้องพึ่งพามัน หลัวเลี่ยยื่นมืออีกข้างออกไปและกดลงบนระฆังจันทรา จากนั้นเขาก็รู้สึกถึงพลังวรุยทธ์ที่เพิ่มขึ้นจากการัั การรับรู้ และจากทางกายภาพ
ผ่านมาห้าวันแล้ว แต่หลัวเลี่ยก็ยังคงวางมือของตัวเองลงบนระฆังจันทราอยู่ เขาขยับมือของตัวเองเล็กน้อยและค่อยๆ ใช้นิ้วกดลงไปที่ระฆัง
ชิ้ง!
ทันใดนั้นระฆังจันทราก็เปล่งแสงสว่างเป็ประกายออกมาอย่างงดงาม ลวดลายดอกไม้ แมลง และปลาที่อยู่บนระฆังต่างเริ่มลอยออกมา จากนั้นลวดลายูเา แม่น้ำ และก้อนเมฆก็ค่อยๆ แผ่ขยายออกมาอย่างเชื่องช้าเช่นกัน ระฆังจันทรานี้งดงามสมชื่อเพราะมันมีทั้งประกายเปลวเพลิงและแสงจันทร์เยือกเย็นผสานเข้าด้วยกันจนถักทอกลายเป็ฉากที่หยินและหยางมากัน
ความจริงแล้ว สิ่งนี้คือลักษณะพิเศษของระฆังจักรพรรดิแดนประจิม เพราะมันได้รวบรวมพลังแก่นแท้ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เอาไว้
ในฐานะที่ระฆังจันทราเป็หนึ่งในเก้าส่วนของระฆังจักรพรรดิแดนประจิม ทำให้มันมีคุณสมบัตินี้เช่นกัน
จากนั้นมือของหลัวเลี่ยที่ตอนแรกทำเพียงวางไว้ก็ออกแรงตบลงไปอย่างแรงหนึ่งครั้ง
เพี๊ยะ!
ทันใดนั้นระฆังจันทราก็ขยายความสูงขึ้นจนสูงเกือบหนึ่งจั้ง แล้วจากนั้นมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้นและดูดกลืนร่างของหลัวเลี่ยเข้าไปข้างในระฆัง
หลัวเลี่ยที่ตอนนี้อยู่ในระฆังจันทราแล้วกลับไม่รู้สึกถึงความมืดและความเหงาเลย
ด้านในระฆังจันทราเหมือนเป็โลกใบใหม่
ดอกไม้ นก แมลง ปลา ูเา แม่น้ำ และก้อนเมฆต่างมีความอุดมสมบูรณ์คล้ายกับเป็สถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด เพราะมิติในระฆังนี้เกิดจากพลังของเปลวเพลิงและแสงจันทร์ที่มาจากแก่นพลังของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์
ดังนั้นเมื่อหลัวเลี่ยได้เข้ามาอยู่ด้านในระฆังนี้ เขาก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นอย่างง่ายดาย
มิติด้านในระฆังจันทรานี้ก็แสดงถึงความลึกลับของเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมมิใช่หรือ
เมื่อคิดได้ดังนั้นหลัวเลี่ยจึงเริ่มฝึกฝนตามเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิมในระฆังจันทราทันที
มิติภายในระฆังจันทราเป็สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝึกฝนเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม หากหลัวเลี่ยฝึกฝนที่นี่ ผลที่ได้จากการฝึกฝนก็จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งอาจทำให้มีพลังมากกว่าการฝึกแบบปกติที่โลกภายนอกสามถึงห้าเท่า
นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของเขาก็พัฒนาขึ้นอย่างมากเช่นกัน
สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการฝึกฝนของหลัวเลี่ยคือความแข็งแกร่งของเขาไม่เพียงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่เขายังมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับเคล็ดวิชาจักรพรรดิฟ้าแดนประจิม และประเด็นสำคัญคือมันทำให้เขาค้นพบทางลัดสู่ความลึกลับของระฆังจันทรา
ความรู้สึกนี้ก็เหมือนกับตอนที่หลัวเลี่ยและไก้อู๋ซวงเริ่มต่อสู้กันโดยที่ไม่มีฝ่ายไหนเอ่ยคำใดออกมา
ส่วนใครจะแข็งแกร่งกว่ากันนั้นก็ต้องต่อสู้กันจริงๆ ก่อนจึงจะเห็นผลลัพธ์
หลัวเลี่ยไม่มีเวลาสำหรับการฝึกฝนมากนัก ดังนั้นเขาจึงหมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนในระฆังนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งเดิมทีเขาตั้งใจจะฝึกฝนจนกว่าไก้อู๋ซวงจะเกิดใหม่อีกครั้งและแน่นอนว่าถึงตอนนั้นนางก็คงจะมีพลังอยู่ในระดับหยินหยางขั้นกลางแล้ว แต่ใครจะคาดคิดว่าหลังจากที่เขาฝึกฝนได้สิบวัน จู่ๆ ด้านนอกระฆังจันทราก็เกิดเื่ขึ้น
หลัวเลี่ยััได้ว่ามีหนึ่งในเก้าส่วนของระฆังจักรพรรดิแดนประจิมปรากฏขึ้นในเมืองหลวงของแคว้นเหยียนหลง
