จนกระทั่งหวงถิงเฉิงมาถึงหุบเขาก็ถูกกำแพงรั้วที่สูงใหญ่ ตรงปากทางเข้าหุบเขาทำให้ใอย่างมาก
เกือบสูงตระหง่านเท่ากับกำแพงเมืองไท่ผิงแล้ว แม้แต่วัสดุหินที่ใช้ก่อสร้างกำแพงเมืองโดยรวมก็ใกล้เคียงกัน
ประตูใหญ่กว้างขวาง ประตูด้านนอกเป็ประตูแผ่นไม้เรียงต่อกันสีดำสนิทหนึ่งบาน แผ่นไม้แต่ละอันกว้างเท่าปากถ้วยเรียงลำดับอย่างเป็ระเบียบ ระยะห่างระหว่างแผ่นไม้สามารถยื่นเข้าไปได้สองกำปั้น ไม้ที่ใช้ทำแข็งแรงและหนาหนัก
“ประตูบานนี้ทำจากไม้เถี่ยลี่ [1] มีดใหญ่ตัดอยู่หนึ่งวันก็ตัดมันไม่ขาด ฮ่าๆ” หลิ่วฉางผิงหัวเราะแล้วอธิบาย “ประตูด้านในบานนั้นทำจากสนแดง [2] ชั้นดีและหนามาก ไม่ว่าสัตว์ดุร้ายชนิดไหนก็อย่าได้คิดจะเข้าไปได้”
เกวียนล่อควบเข้าประตูใหญ่ช้าๆ ทันใดนั้นทัศนวิสัยที่กว้างใหญ่ก็ปรากฏสู่สายตา
หวงถิงเฉิงมองบ้านหลังใหญ่ที่ล้อมขึ้นครึ่งหุบเขาอย่างตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก พื้นที่ของบ้านถูกสัดส่วนไปอย่างมากมาย บ้านหลักของคฤหาสน์สร้างเสร็จแล้ว และยังไปหนึ่งในสี่ของพื้นที่ทั้งหมดในหุบเขาด้วย
ซอกซอยทางเดินและบ้านอยู่สูงต่ำปนเปกันไป กำแพงยังไม่ทันทาสีจึงเป็สีขี้เถ้าอยู่ แต่ไม่ได้ปิดบังความโอ่อ่าของคฤหาสน์เลยแม้แต่น้อย อาคารสองชั้นข้างบนชั้นสองมีสองส่วน ส่วนหลักสร้างเสร็จหมดแล้ว แต่ผนังห้อง ประตู หน้าต่างล้วนยังสร้างไม่เสร็จสิ้น
“หลายวันมานี้ ต่างก็เร่งปูพื้นผิวของคฤหาสน์ สร้างเสร็จแล้วถึงจะใส่หน้าต่างกับประตูเข้าไปได้ เจินจูกล่าวไว้ว่าเกือบเข้าหน้าหนาวแล้ว ต้องเร่งติดตั้งประตูกับหน้าต่างให้เรียบร้อย ส่วนงานอื่นๆ เก็บไว้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วค่อยทำต่อได้” หลิ่วฉางผิงชี้ไปที่บานหน้าต่างและประตูที่ว่างเปล่า
“เข้าหน้าหนาวไปแล้วที่นี่จะทำอย่างไรหรือขอรับ?” หวงถิงเฉิงอดถามไม่ได้
“ฮ่าๆ จะทำอย่างไรได้ ให้ล็อกประตูใหญ่ไว้ก็พอ ที่นี่อะไรก็ไม่มี ต่อให้ขโมยเข้ามาก็ไม่มีของให้ขโมยหรอก” หลิ่วฉางผิงหัวเราะเสียงดัง
หวงถิงเฉิงคิดไปแล้วก็ถูก จึงอดหัวเราะตามไม่ได้
...ลานที่พักไท่อัน
“หลิ่วหง พี่ห้าล่ะ?”
ขณะที่โหยวอวี่เวยเข้าไปยังที่พักไท่อัน ก็เห็นเพียงหลิ่วหงคนรับใช้หญิงกำลังทำความสะอาดใบไม้ที่ร่วงอยู่เต็มพื้น
หลิ่วหงรีบวางไม้กวาดลงแล้วเดินไปข้างหน้าย่อเข่าทำความเคารพ “คุณหนู คุณชายห้าไปเยี่ยมฮูหยินใหญ่ที่เฮ่อเหยียนถังแล้วเ้าค่ะ”
เท้าโหยวอวี่เวยหยุดชะงักลง วันนี้เป็วันหยุดทำความสะอาดของกว๋อจื่อเจี้ยน นางนับชั่วยามมาดีแล้ว ไปทำความเคารพท่านป้าก่อนแล้วถึงมาที่นี่ เช่นนั้น… นางค่อยกลับมาอีกทีดีหรือไม่
“พี่ห้าไปนานแค่ไหนแล้ว?”
หลิ่วหงตอบอย่างเคารพนบนอบ “เรียนคุณหนู ครึ่งชั่วยามได้แล้วเ้าค่ะ”
ครึ่งชั่วยาม? เช่นนั้นอีกเดี๋ยวคงกลับมาแล้ว
“อื้ม น่าจะใกล้กลับมาแล้ว จื่อยู่ พวกเรารอสักพักเถอะ” ขณะกล่าวก็นำทางจื่อยู่เข้าไปในห้องโถงที่เปิดกว้างอยู่
กู้ฉีชื่นชอบความเงียบสงบ สาวรับใช้และหญิงชราในที่พักไท่อันมีไม่มาก หลิ่วหงรีบล้างมือให้สะอาด แล้วต้มน้ำชงชาให้โหยวอวี่เวย
คุณหนูลูกพี่ลูกน้องของจวนสกุลโหยวมักมาเยี่ยมเยือนคุณชายห้าบ่อยๆ หญิงรับใช้ในลานต่างก็เห็นจนคุ้นชินแล้ว
โหยวอวี่เวยนั่งลงพักหนึ่ง แล้วเอากล่องไม้หอม [3] ที่เก็บภาพวาดพู่กันจีนจากในมือจื่อยู่มา
นางเปิดกล่องแล้วหยิบเอาภาพดอกเบญจมาศที่ติดกับกระดาษแข็งเรียบร้อยแล้วให้คลี่เปิดออก ดอกไม้เป็ช่อมากมายราวกับผ้าไหม พู่กันที่ใช้ประณีต ลงสีงดงามดูเรียบร้อย โหยวอวี่เวยยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าฝีมือการวาดรูปของตนเองค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาก รอยยิ้มบนใบหน้าจึงผุดออกมา
“ภาพดอกเบญจมาศภาพนี้ของคุณหนู วาดได้ดียิ่ง ขนาดนายท่านยังชมอยู่พักหนึ่งเลยเ้าค่ะ” จื่อยู่กล่าวชื่นชมด้วยความจริงใจ
โหยวฮั่นเป็จิตรกรและนักอักษรวิจิตรที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ชื่นชมภาพดอกเบญจมาศที่บุตรสาวตนเองวาดยิ่งกว่าอะไร แม้คำชื่นชมจะปะปนความคิดของตนเองที่เข้าข้างบุตรสาวมากไปหน่อย แต่ทักษะการวาดภาพนับวันยิ่งค่อยๆ พัฒนาขึ้นเป็ความจริง
โหยวอวี่เวยเม้มปากยิ้มบางๆ บิดาของนางชมนางอยู่พักหนึ่ง ตอนนี้นางคิดขึ้นมาก็รู้สึกเบิกบานใจยิ่ง
หลิ่วหงรินน้ำชาให้ และยืนรับใช้อยู่ด้านข้างด้วยความเคารพนบนอบ
นางเป็เพียงคนรับใช้หญิงระดับสามในลานบ้าน เดิมทีไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาด้านในยกน้ำชาและปรนนิบัติรับใช้ แต่ที่พักไท่อันนอกจากชิงเหมยคนรับใช้หญิงที่มีอายุมากที่สุดอยู่คนเดียวแล้ว ก็มีเพียงสาวรับใช้ระดับสามอยู่สองคนกับหญิงชราเฝ้าลานบ้านสองคนเท่านั้น
คนรับใช้หญิงระดับสามอีกหนึ่งคนนามว่าหลิ่วชิงกำลังทำความสะอาดอยู่ด้านหลังที่พัก ตอนนี้จึงมีเพียงนางที่อยู่รับผิดชอบ
โหยวอวี่เวยดื่มชาไปสองอึก หันไปทางประตูลานอย่างเบื่อหน่ายเล็กน้อย เพราะพี่ห้ายังไม่กลับเสียที
“ถือรูปไว้ พวกเราไปห้องหนังสือของพี่ห้ากัน ดูสิว่าจะแขวนภาพไว้ตรงไหนดี?” นางคิดเช่นนี้ไว้นานแล้ว อยากนำภาพของตนเองมอบแก่กู้ฉี หลังจากนั้นให้เขาแขวนไว้ในห้องหนังสือ
ห้องหนังสือของกู้ฉี เมื่อก่อนโหยวอวี่เวยก็เคยเข้าออก หลิ่วหงไม่ได้ขัดขวาง เพียงเดินตามอยู่เื้ัอย่างเงียบกริบ
ห้องหนังสือหันไปทางทิศใต้ ทำให้ได้รับแสงแดดอย่างดี แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ทั้งห้องหนังสือสว่างไสวไปทั่วทุกมุม
บนโต๊ะหนังสือไม้หวงฮวาหลี ได้จัดวางสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือที่กู้ฉีมักใช้อยู่บ่อยๆ อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย
พู่กัน หมึก กระดาษและถาดฝนหมึกที่ใช้บ่อย ล้วนเป็จื่อหาว [4] เซวียนจื่อและแท่นฝนหมึกซงฮวาชั้นดีที่สุด
บนโต๊ะยังมีกระดาษหนึ่งแผ่นเขียนบทประพันธ์ไว้เสร็จแล้ว และใช้ที่ทับกระดาษรูปสัตว์มงคลแกะสลักจากงาช้างทับไว้
โหยวอวี่เวยมองไปรอบๆ เลือกบริเวณผนังสำหรับแขวนภาพที่เหมาะสม
พบว่าบนผนังฝั่งตะวันตกได้แขวนภาพูเาและแม่น้ำธรรมชาติไว้แล้วหนึ่งภาพ
การลงสีเรียบง่ายแต่ดูงดงาม ความหมายที่ถ่ายทอดออกมาลึกซึ้งนัก บ้านเรือนไม่กี่หลังเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง ป่าหงเฟิงที่อยู่หลังบ้านเรือนเ่าั้ปกคลุมป่าเขาจนมองไม่ชัด สีแดงไม่มากและไม่น้อยเกินไป แต่งแต้มให้ภาพธรรมชาติทั้งภาพสว่างไสว
โหยวอวี่เวยมองด้วยความหลงใหลเล็กน้อย ในห้องหนังสือของพี่ห้าแขวนภาพธรรมชาติภาพนี้ไว้ั้แ่เมื่อไรกัน นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
การลงสีป่าหงเฟิงผืนนั้นเยี่ยมจริงๆ ราวกับว่านางสามารถทะลุภาพวาดเข้าไปเห็นต้นหงเฟิงเต็มไปทั่วทั้งูเาได้
ต้นหงเฟิงเต็มไปทั้งูเาเลยนะ!
…ทำไมนางรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้?
ความรู้สึกลิงโลดในตอนแรกของโหยวอวี่เวยลดลงไปช้าๆ
หลังบ้านของสกุลหูก็ปลูกต้นหงเฟิงไว้เต็มทั่วทั้งูเาเช่นกัน
ในจดหมายของน้องสาวเจินจูเคยเอ่ยถึง นางยังเชื้อเชิญตนเองว่าวันหน้าให้ไปชมป่าต้นหงเฟิงของครอบครัวนางอยู่เลย
…หัวใจของนางกระจายความเงียบเหงาขึ้นช้าๆ
จื่อยู่ที่มองคุณหนูของตนเองอยู่ เห็นใบหน้าเล็กแดงชุ่มชื้นแต่เดิมได้เปลี่ยนไปจดซีดเผือดช้าๆ จึงใจนรีบถามอย่างร้อนใจ “คุณหนู ท่านเป็อะไรหรือเ้าคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือ? ทำไมสีหน้าขาวซีดกะทันหันเช่นนี้เ้าคะ?”
หลิ่วหงได้ยินเช่นนั้นจึงมองไปด้วยความเป็กังวล คุณหนูโหยวเป็แขกทรงเกียรติของจวน หากเกิดเื่อะไรขึ้นในลานบ้าน นางไม่อาจหลบหลีกการลงโทษได้แน่นอน
“เป็อะไรไป?” เสียงเข้มกังวานแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นแว่วมาจากหน้าประตู
กู้ฉีกลับมาจากเฮ่อเหยียนถัง และได้ยินการเคลื่อนไหวในห้องหนังสือ
เสียงจื่อยู่สาวใช้มีอายุของโหยวอวี่เวย เขาฟังออกได้
“คุณชายกลับมาแล้ว!” หลิ่วหงรีบทำความเคารพทันที แล้วถอยออกไปด้านหนึ่ง
กู้ฉีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไป
“คุณชายห้า!” จื่อยู่ก็รีบทำความเคารพเช่นกัน
แต่โหยวอวี่เวยที่จมอยู่ในความสับสนราวกับไม่ได้ยิน ยังคงมองภาพบนผนังด้วยสีหน้าขาวซีดเช่นเดิม
กู้ฉีเห็นนางจ้องภาพวาดูเาและแม่น้ำธรรมชาติบนผนังอย่างไม่ไหวติง หางคิ้วจึงกระตุกเล็กน้อย
“คุณหนู คุณชายห้ากลับมาแล้วเ้าค่ะ” จื่อยู่กระซิบเตือนสติโหยวอวี่เวย
นี่คุณหนูเป็อะไรไป คุณชายกู้อู่ยืนอยู่ด้านหลังนาง แต่นางกลับไม่กล่าวอะไรสักคำ ไม่เหมือนท่าทางในยามปกติของนางเลยจริงๆ
โหยวอวี่เวยหมุนกายกลับหลังช้าๆ ใบหน้าเล็กซีดขาวไปทั้งดวง ั์ตาสองข้างไร้ชีวิตชีวา ขนตาเป็แพยาวสั่นเทาเล็กน้อย
กู้ฉีไม่เคยเห็นท่าทางเปราะบางเช่นนี้ของนางมาก่อน โหยวอวี่เวยคึกคักมีชีวิตชีวามองโลกในแง่ดีมาโดยตลอด ราวกับมักมีกำลังวังชาและคำพูดที่กล่าวได้ไม่จบไม่สิ้น
แต่... นางในตอนนี้ เกิดอะไรขึ้น?
“อวี่เวย เ้าเป็อะไร? ไม่สบายตรงไหนหรือ?”
โหยวอวี่เวยเงยศีรษะขึ้น มองใบหน้าที่คุ้ยเคยตรงหน้า เขากำลังรอนางอยู่หรือ?
เพราะอย่างนี้... ในปีนั้นถึงได้ยิ้มอ่อนโยนปานนั้นให้นางได้?
เพราะอย่างนี้... ถึงได้รักษาการไปมาหาสู่กับนางมาโดยตลอด?
เพราะอย่างนี้... หลายปีที่ผ่านมาก็เลยยืดเวลาออกไปอยู่เสมอ?
น้ำตาของโหยวอวี่เวยไหลหล่นลงมาอย่างไม่คาดคิด หยดน้ำรสเค็มมีรสชาติขมฝาดติดอยู่
ดวงตาสองข้างของกู้ฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เดินไปข้างหน้าสองก้าว คิดจะประคองแขนของนางไว้
แต่โหยวอวี่เวยกลับถอยหลังไป หลบมือที่ยื่นออกมาของเขา
“พี่ห้า ข้า... ไม่สบายนิดหน่อย ต้องขอลากลับก่อนแล้ว”
กล่าวจบก็เดินมุ่งตรงออกไปทางนอกประตู
จื่อยู่เห็นเช่นนั้นจึงหันไปทำความเคารพกู้ฉี แล้วตามออกไปทันที
กู้ฉีมองภาพด้านหลังของผู้เป็นายและสาวรับใช้ที่ไกลออกไป จมดิ่งลงสู่ความครุ่นคิด
“คุณหนูโหยวมานานแค่ไหนแล้ว? ทำไมไม่สบายขึ้นกะทันหันได้?” เขาถามหลิ่วหงที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง
“เรียนคุณชาย คุณหนูโหยวมาได้เค่อกว่าๆ เมื่อสักครู่ยังหยิบม้วนภาพดอกไม้หนึ่งภาพมาชื่นชมด้วยความสนใจอย่างมากอยู่เลยเ้าค่ะ หลังจากนั้นคุณหนูกล่าวว่า จะเข้ามาดูห้องหนังสือเสียหน่อยว่าควรแขวนภาพไว้ตรงไหนดีและเข้าห้องหนังสือมา แล้วยืนอยู่ตรงภาพนั้นไม่นานสีหน้าก็ค่อยๆ แย่ลง หลังจากนั้นท่านก็กลับมาแล้วเ้าค่ะ” หลิ่วหงตอบตามความเป็จริงอย่างเคารพ
ภาพทิวทัศน์ธรรมชาติ? กู้ฉีมองไปทางภาพวาดูเาและแม่น้ำธรรมชาติบนผนังโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็ภาพที่เขาเห็นอยู่ในร้านหนังสือแห่งหนึ่ง ไม่ใช่การลงหมึกของปรมาจารย์ภาพวาดที่ไหน แต่เป็ปัญญาชนตกอับบางคนฝากแขวนขายไว้ที่ร้านหนังสือ ความหมายอันลึกซึ้งที่ถ่ายทอดออกมาบนภาพทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามนี้ ช่างคล้ายกับทัศนียภาพในความฝันยิ่งนัก เขามองไปครั้งหนึ่งจึงซื้อมาไว้
ในใจกู้ฉีตระหนักขึ้นมาได้ ในปีนั้นตอนที่โหยวอวี่เวยไปหมู่บ้านวั้งหลิน ป่าหงเฟิงของสกุลหูเพิ่งเพาะลงไป นางไม่น่าคิดไปถึงอะไรแบบนั้นใช่หรือไม่?
แต่สีหน้าซีดขาวนั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือไม่สบายจริงๆ?
คิดถึงน้ำตาที่หยดร่วงลงแก้มของนางขึ้นมา ในใจกู้ฉีก็กลัดกลุ้มเล็กน้อย
...โหยวอวี่เวยกลับมาถึงลานจิ้งหลันอย่างเลื่อนลอย ไม่ทันได้ไปทำความเคารพ [5] ผู้เป็มารดาก่อน แต่กลับมาภายในห้องของตนเอง
นางหยิบตลับจดหมายเคลือบเงาสีแดงมีลวดลายใบหนึ่งลงมาจากบนโต๊ะ หลังเปิดออกก็ค้นหาวันที่บนซองจดหมาย
ไม่นานหนึ่งซองในนั้นได้ถูกดึงออกมา หยิบกระดาษจดหมายด้านในเพื่ออ่านอย่างละเอียด
อ่านไปอ่านมา มือก็สั่นระริกเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
...ฤดูกาลใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว ใบหงเฟิงสีแดงเป็วงกว้าง ต้นหงเฟิงเต็มไปทั่วทั้งูเาราวกับเมฆเพลิงเร่าร้อนหนึ่งกลุ่ม บ้านสกุลหูอยู่ท่ามกลางเมฆเพลิงโผล่มาบ้างถูกบดบังไปบ้าง ป่าเขียวขจีทอดยาวเหนือูเาไม่ขาดตอนขับเอกลักษณ์ของป่าหงเฟิงให้โดดเด่นขึ้นมา ทัศนียภาพโอ่อ่าสง่างามไม่เหมือนตามที่พบเห็นทั่วไป ดึงดูดให้คนเดินทางรุดหน้ามาชมไม่น้อยเลยทีเดียว...
นี่คือสิ่งที่หูเจินจูกล่าวถึงในจดหมายที่มอบให้นาง่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว
น้ำตาของโหยวอวี่เวยเริ่มร่วงหล่นลงมาราวกับสายฝน มือสั่นเทาของนางพับจดหมายวางกลับลงไปที่เดิม
หลังจากนั้นเดินไปปิดประตูห้องให้แน่นสนิทและโผลงไปบนเตียง คลุมผ้าห่มแล้วเริ่มร้องไห้อย่างเงียบๆ
นางไม่กล้าเปล่งเสียงร้องไห้ เพื่อเื่ของนาง มารดาและบิดาก็ถูกกวนใจมากพอแล้ว นางจะเพิ่มเื่วุ่นวายอีกไม่ได้
แต่การลืมตัวของนางได้ทำให้เฉินซื่อใั้แ่แรก
“อวี่เวย ทำไมลงกลอนประตูล่ะ? ไม่สบายตรงไหนหรือไม่ แม่จะให้คนไปเชิญท่านหมอมาดูอาการ เ้าเปิดประตูก่อน” เฉินซื่อเคาะประตูของนางเบาๆ
โหยวอวี่เวยหยุดสะอื้นไห้ทันที หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา แล้วสูดลมหายใจเข้าออกอย่างแรง เพื่อสงบอารมณ์ให้มั่นคง
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้เป็อะไรเ้าค่ะ แค่เหนื่อยเอง ข้าขอนอนสักตื่น จะไปทำความเคารพท่านช้าหน่อย”
เฉินซื่อได้ยินเสียงของนางแหบเล็กน้อยจึงรีบเอ่ยปาก “ให้ท่านหมอดูก่อน ว่าไม่สบายหรือไม่ แล้วเ้าค่อยนอน”
“ท่านแม่ ไม่ต้องเชิญท่านหมอมา ข้านอนงีบเดียวก็ดีขึ้นแล้ว ท่านอย่ากวนข้าเลยเ้าค่ะ” ในน้ำเสียงประดับไว้ด้วยความหงุดหงิด
เด็กผู้นี้นี่ เฉินซื่อทั้งห่วงใยทั้งยังโมโหอยู่เล็กน้อย
นางหมุนกายไปมองจื่อยู่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง โบกมือให้นางตามไป
เดินมาถึงห้องเปิดกว้างที่อยู่ด้านข้าง นั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือ เริ่มซักถามการเดินทางของโหยวอวี่เวยในตอนบ่ายว่าไปไหนมาบ้าง
จื่อยู่ตอบไปตามความจริง
“เ้าจะบอกว่า อวี่เวยไปห้องหนังสือของฉีเอ่อร์ พอเห็นภาพวาดพู่กันหนึ่งภาพในห้องหนังสือ สีหน้าก็เริ่มไม่น่ามองแล้ว หลังจากนั้นเมื่อฉีเอ่อร์มาถึงห้องหนังสือ นางก็ไม่สนใจเขา?” เฉินซื่อใอย่างมาก
บุตรสาวของนางเป็อย่างไรนางชัดเจนดีที่สุด เพียงกู้ฉีปรากฏกายอยู่ตรงหน้านาง เื่ของกู้ฉีจะจัดอยู่ในลำดับที่หนึ่งมาโดยตลอด
การที่นางไม่สนใจและไม่ใส่ใจ ทิ้งกู้ฉีไว้ด้านข้างเหมือนอย่างนี้ เป็เื่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยจริงๆ
อวี่เวย เห็นอะไรเข้ากันแน่? อะไรที่ทำให้ท่าทางของนางเปลี่ยนไปมากเช่นนี้
เชิงอรรถ
[1] ไม้เถี่ยลี่ (铁力木) คือ ไม้จากต้นบุนนาค หรือสารภีดอย หรือต้นนาคบุตร ซึ่งเป็ไม้ยืนต้น เนื้อแข็ง ดอกหอม
[2] สนแดง (红松) คือ ต้นสนในสายพันธุ์ Pinus koraiensis เป็ที่รู้จักกันในชื่อของสนเกาหลี
[3] กล่องไม้หอม คือ กล่องที่ทำจากไม้หอม ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษคือ กลิ่นที่ออกจากตัวไม้สามารถช่วยไล่แมลง มอด ปลวก คนจีนจึงนิยมนำมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ โดยเฉพาะหีบเก็บของ
[4] จื่อหาว (紫毫) คือ พู่กันจีนที่ทำจากขนกระต่ายดำ
[5] ทำความเคารพ หรือฉิ่งอัน (请安) บางที่ก็กล่าวว่าเวิ่นห่าว (问好) คือ ธรรมเนียมปฏิบัติของชาวแมนจู โดยจะทำสามวันหนึ่งครั้ง แต่ในที่นี้คือการคารวะเมื่อเข้าบ้าน เพื่อเรียนให้ผู้าุโทราบว่ากลับมาบ้านแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้