เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ที่ใดน่ะหรือ?
เธออยู่ที่มหาวิทยาลัยซางตู
มหาวิทยาลัยซางตูคือมหาวิทยาลัยหลักแห่งเดียวของมณฑลอวี้หนาน เป็มหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ [1] แห่งหนึ่ง มีสาขาวิชาที่มหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้นจำนวนมาก และวันนี้เซี่ยเสี่ยวหลานมาเพื่อตามหานักศึกษาคณะศิลปะกรรมศาสตร์ ให้ช่วยวาดโปสเตอร์ไม่กี่แผ่นเท่านั้น ขนาดที่เซี่ยเสี่ยวหลาน้าค่อนข้างใหญ่ เธอไม่อยากใช้เวลาของตนเองมากเกินไป จึงตัดสินใจมามหาวิทยาลัยซางตูเพื่อตามหานักศึกษามาลงแรงแทน
วันที่สิบหกเดือนเจิง นักศึกษาบางส่วนของซางตูได้เดินทางกลับมหาวิทยาลัยแล้ว เนื่องจากการเดินทางในปัจจุบันนั้นไม่สะดวก นักศึกษามากมายจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะถึง่ปิดภาคเรียน พวกเขาจะอยู่ในมหาวิทยาลัยตลอดเวลา เซี่ยเสี่ยวหลานแค่ถามถึงหอพักของนักศึกษาคณะศิลปะกรรม พอเธอจอดจักรยานไว้ในคอกจอดจักรยาน ก็ได้ยินสุ้มเสียงประหลาดใจดังขึ้นจากด้านหลัง
“เซี่ยเสี่ยวหลาน?”
เซี่ยเสี่ยวหลานหันไปมอง จั๋วเว่ยผิงนั่นเอง เธอเพิ่งจอดจักรยานเสร็จพอดีเช่นเดียวกัน
“เ้าหน้าที่จั๋ว บังเอิญเหลือเกิน ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้?”
จั๋วเว่ยผิงก็คิดว่าประจวบเหมาะมาก
ธุรกิจร้านเสื้อผ้าของเซี่ยเสี่ยวหลานรุ่งเรืองเป็ที่สุด เวลานี้น่าจะช่วยงานที่ร้านไม่ใช่หรือ? คราวก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานโดนจับไปยังสถานีตำรวจ จั๋วเว่ยผิงคิดว่าคนพวกนั้นรังแกสุภาพสตรี ใครจะรู้ว่าสุดท้ายเื่ราวเกิดพลิกผัน คนของแนวร่วมป้องกันกลับรับเคราะห์แทน หัวหน้ากัวของแนวร่วมป้องกันบอกว่าได้รับคำสั่งจากติงอ้ายเจินรองผู้อำนวยการประจำโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สาม สถานีตำรวจจึงพาตัวติงอ้ายเจินกลับมา ยังไม่ทันซักถามจนได้คำตอบที่แน่ชัด ก็สาวไปยังคดีที่ผู้อำนวยการโรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามกับติงอ้ายเจินร่วมมือกันยักยอกทรัพย์สินแผ่นดินแทน
หาเื่ใส่ตนแท้ๆ สิ่งที่ติงอ้ายเจินกระทำในตอนแรกเป็เพียงโทษเบา แต่ภายหลังกลับคือคดีใหญ่
“คดีของติงอ้ายเจินน่าจะตัดสินเร็วๆ นี้ จากที่ฉันรู้ อย่างน้อยผู้หญิงคนนั้นต้องถูกจำคุกสักสิบปี ฉันขอถามเธอหน่อย เธอมามหาวิทยาลัยซางตูทำไมหรือ?”
สิบปี?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใส่ใจ อย่าว่าแต่สิบปีเลย ต่อให้ติงอ้ายเจินได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่งให้ออกจากเรือนจำ ก็ราวปี 1990 แล้ว นโยบายในตอนนั้นผ่อนปรนกว่าตอนนี้ และเซี่ยเสี่ยวหลานจะมีเงินทองมากกว่าตอนนี้ด้วย ติงอ้ายเจินผู้เคยจำคุกมาก่อนย่อมสิ้นฤทธิ์ที่จะข่มขู่เซี่ยเสี่ยวหลานอีกต่อไป
ยิ่งคิดเซี่ยเสี่ยวหลานยิ่งเบิกบาน
“ฉันอยากหานักศึกษาคณะศิลปกรรมช่วยวาดโปสเตอร์ไม่กี่แผ่น...”
เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าความตั้งใจในการมาโดยคร่าว จั๋วเว่ยผิงถามเธอว่ารู้จักคนจากคณะศิลปกรรมศาสตร์หรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายศีรษะ จั๋วเว่ยผิงกลับรู้สึกนับถือยิ่งนัก
“โชคของเธอนี่นะ! ไปเถอะ ฉันรู้จักคนคณะศิลปกรรม จะช่วยแนะนำให้”
จั๋วเว่ยผิงไม่ใช่แค่รู้จักคนคณะศิลปกรรม แต่น้องสาวของเธอคือนักศึกษาปีสองของคณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยซางตูนั่นเอง จั๋วเว่ยผิงมาโรงเรียนเพื่อเยี่ยมเยียนน้องสาว ทว่าบังเอิญพบเซี่ยเสี่ยวหลานที่ตามหาคนวาดโปสเตอร์พอดี จั๋วเว่ยผิงจึงกระตือรือร้นที่จะให้ความช่วยเหลือ จึงแนะนำจั๋วน่าน้องสาวของตน
จั๋วน่ามีดวงตาเมล็ดซิ่ง [2] ได้ยินว่ามีคน้าให้เธอช่วยวาดภาพ แม้ไม่รับเงินเธอก็ยังยอมตกลง แต่พอได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน้าคนวาดโปสเตอร์... โปสเตอร์ถือเป็การวาดภาพที่ไหนกัน ไม่ได้ถ่ายทอดความสามารถของตนเองแม้แต่น้อย จั๋วน่าคลายความสนใจทันที ทว่าเธอก็ไม่กล้าปฏิเสธคนที่จั๋วเว่ยผิงพามาอย่างชัดเจน เลยบอกว่าตัวเธอไม่้าค่าตอบแทน แต่จะขอเชิญเซี่ยเสี่ยวหลานมาเป็นางแบบสักครั้งได้หรือไม่ เธออยากวาดภาพเหมือนคน
ภาพเหมือนคน?
นั่งแล้วก็ต้องไม่ขยับไปหลายชั่วโมง เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ และเธอก็ไม่อยากตกลงเท่าไร
จั๋วน่าหัวเราะร่วน “ถ้าอย่างนั้นฉันแนะนำรุ่นพี่ให้คนหนึ่ง เขาวาดภาพเก่งมาก อยากรับงานข้างนอกมาตลอด”
เซี่ยเสี่ยวหลานอดมองจั๋วน่าอีกรอบไม่ได้ เ้าหน้าที่จั๋วเว่ยผิงเป็คนซื่อตรง คาดไม่ถึงว่าจั๋วน่าน้องสาวเธอเป็คนกลับกลอกทีเดียว ครอบครัวน่าจะฐานะดี จึงไม่สนใจงานวาดโปสเตอร์ที่ไม่มีความยากเช่นนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีทางเลือก ในปี 84 เธอไม่สามารถหาร้านรับพิมพ์ป้ายโฆษณาสีสักแห่งตามถนนซางตูแล้วจะได้ผลลัพธ์ของโปสเตอร์แบบที่ตน้า เธอจึงจำใจยอมไปพบรุ่นพี่ที่จั๋วน่ากล่าวถึง
กงหยางที่จั๋วน่าแนะนำผู้นี้ช่างสอดคล้องกับภาพจำซึ่งเซี่ยเสี่ยวหลานมีต่อนักศึกษาศิลปกรรมมาก ผมยุ่งเหยิงรุงรัง เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนสี ครอบครัวของเราฐานะไม่ดีนักทว่ายังคงมุ่งมั่นตั้งใจเรียนวาดภาพ ขอแค่ทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ เงินค่าเล่าเรียนย่อมไม่พร่อง หาก้าพัฒนาทักษะการวาดภาพก็มีเพียงการฝึกฝนอย่างหนักเท่านั้น... ร่างภาพยังพอไหว แต่สีวาดภาพอื่นๆ เป็ค่าใช้จ่ายไม่น้อย สภาพคล่องทางการเงินของครอบครัวกงหยางไม่อำนวย เพื่อเติมเต็มค่าใช้จ่ายสำหรับการวาดภาพในเวลาปกติ ไม่ว่างานอะไรเขาก็รับทั้งสิ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานนำนิตยสารหลายเล่มมาให้กงหยางดู และบอกความ้าของตนเอง กงหยางร่างภาพหยาบอย่างง่ายดาย ทั้งยังเลือกจับคู่สีได้ไม่เลวอีกด้วย เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าหากเขาวาดโปสเตอร์ย่อมไร้ปัญหาแน่นอน
เธอ้าโปสเตอร์ทั้งหมดสามแผ่น กงหยางคำนวณค่าสีในใจอยู่นานสองนาน “ทุกแผ่นให้ฉัน 8 หยวน—”
“ฉันให้เธอ 10 หยวนต่อแผ่น แต่เธอต้องรีบวาดหน่อยนะ วาดเสร็จแล้วส่งให้ฉันที่ร้าน”
โปสเตอร์สามแผ่นก็เป็เงิน 30 หยวน มากกว่าเงินอุดหนุนหนึ่งเดือนของมหาวิทยาลัยเสียอีก ความประสงค์ที่ง่ายดายเช่นนี้ วันเดียวกงหยางก็สามารถทำเสร็จเรียบร้อย หักต้นทุนค่าสีและกระดาษไป เขาต้องได้กำไรมากมายแน่นอน
เดิมทีแรงงานนักศึกษาก็ราคาค่อนข้างถูก กงหยางพึงพอใจในค่าแรงเท่านี้เป็อย่างมาก เซี่ยเสี่ยวหลานให้เงินมัดจำ 10 หยวนพร้อมทิ้งที่อยู่พลันจากไป
กงหยางขอบคุณจั๋วน่าที่ช่วยแนะนำงานนี้ อีกทั้งบอกว่าจะเลี้ยงอาหารจั๋วน่า เขายากจนขนาดไหนทุกคนล้วนรู้ดี จั๋วน่าจึงยิ้มแย้มตอบเขา “เื่กินข้าวไว้ค่อยว่ากันทีหลังเถอะ พี่ไม่ได้รับปากเถ้าแก่เซี่ยว่าจะวาดให้ไวหรือ รุ่นพี่รีบกลับไปวาดโปสเตอร์เถอะ!”
พอกงหยางเดินจากไป จั๋วเว่ยผิงถึงกับอึ้งเหมือนกัน
“ปกติเธอพูดบ่นบ่อยๆ ว่าไม่มีคนขอให้เธอวาดรูป ฉันพาเพื่อนมาให้เธอ เธอยังผลักไสอีก”
จั๋วน่าบุ้ยปาก “ฉันขอให้เพื่อนพี่เป็นางแบบเธอก็ไม่ตกลงนี่นา พี่รู้จักเธอได้อย่างไรหรือ ฉันเห็นเธออายุยังไม่มาก ทำไมมาทำธุรกิจส่วนตัวแล้วเล่า เรียนหนังสือไม่ดีออกหรือ?”
จั๋วเว่ยผิงพูดไม่ออก
ถ้ามีฐานะดีเช่นนั้น ใครอยากจะฝ่าฟันกับโลกภายนอกด้วยตนเองเล่า
จากที่จั๋วเว่ยผิงทราบ เซี่ยเสี่ยวหลานเข้าสถานีตำรวจตั้งสองหน เป็คนทำธุรกิจส่วนตัวช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย จั๋วน่าไม่ได้คำนึงถึงสภาพชีวิตของคนอื่นต่างกับจั๋วเว่ยผิงยิ่งนัก จั๋วเว่ยผิงทำหน้าเคร่งขรึม “ทำธุรกิจแล้วอย่างไร ทุกอาชีพล้วนมียอดคน ธุรกิจอิสระไม่ได้ต่ำต้อยกว่าเธอที่เรียนศิลปะหรอกนะ”
จั๋วน่าไม่ยี่หระกับคำพูดของพี่สาว
เซี่ยเสี่ยวหลานหน้าตาสะสวยขนาดนั้น กลับทำธุรกิจส่วนตัว นับธนบัตรทีละใบ ฉากนั้นช่างไร้รสนิยมเหลือเกิน!
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่รู้ว่าตนเองโดนหญิงสาววิจารณ์ว่า ‘ไร้รสนิยม’
แต่หากรู้แล้วก็คงยิ้มให้และเดินผ่านไป คนที่อยู่บนหอคอยงาช้างเช่นนั้น หากไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากครอบครัว อาจกลายสภาพจากเทพธิดาน้อยเป็ผู้มีรสนิยมต่ำเสียจนไม่อาจทนได้ในทันที เธอมีเวลาว่างถือสาเด็กสาวแปลกหน้าคนหนึ่งเสียที่ไหน ตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังใช้เวลาว่างทั้งหมดไปกับการเรียนเช่นเดียวกัน เธอตื่นหกโมงเช้าทุกวัน หลังล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นจึงรีบไปซื้ออาหารเช้ามาจากชุมชนเวลานั้นเพิ่งหกโมงครึ่ง เจ็ดโมงตรงเริ่มเรียนอย่างจริงจัง จน 11 โมงค่อยไปร้าน พอบ่ายสองเซี่ยเสี่ยวหลานก็กลับบ้านไปทบทวนบทเรียนต่อ ถึงห้าทุ่มจะขึ้นเตียงนอนหลับอย่างตรงเวลา
เครื่องแต่งกายฤดูใบไม้ผลิได้รับการซื้อไปอย่างประปรายเท่านั้น หลี่เฟิ่งเหมยกับหลิวเฟินรับมือปริมาณลูกค้าในตอนนี้ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานจัดการมื้อกลางวันในร้านด้วย ่เวลานี้ทั้งครอบครัวจะรวมตัวกันอยู่ในร้านเสื้อผ้า เซี่ยเสี่ยวหลาน้าผ่อนคลายสมองสักหน่อย พลางสอนบทเรียนเพิ่มเติมให้แก่หลิวหย่ง
เธอต้องอธิบายเื่การตกแต่งภายใน หลิวหย่งออกแบบไม่เป็ก็ได้ แต่เขาจะต้องควบคุมภาพรวมของงานทั้งหมดให้ได้
ต้องใช้วัสดุมากขนาดไหน เขาต้องแจ้งราคาแก่ลูกค้าอย่างไรถึงจะมีกำไร ระยะเวลาดำเนินงานนานเพียงใด ต้องให้ค่าแรงเท่าไร หลิวหย่งกำลังเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ่นี้เขาขยันขันแข็งเดินทางไปร้านกระเบื้องและร้านอื่น วัสดุประเภทต่างๆ ราคาเท่าไร ตัวเขาเองก็จดจำอย่างสุดชีวิต
เซี่ยเสี่ยวหลานได้รับโทรเลขของโจวเฉิงแล้ว โจวเฉิงตอบกลับด้วยสำเนียงภาษาอันเร่าร้อน เซี่ยเสี่ยวหลานสามารถไปปักกิ่งได้ทุกเวลา เพียงแต่เขา้าให้เซี่ยเสี่ยวหลานไปปักกิ่งเพื่อพบเขา
โจวเฉิงไม่ได้กล่าวถึงเื่นิตยสาร ทว่าด้วยนิสัยของเขาคงวานคนอื่นหาอยู่เป็แน่ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่รีบร้อนเช่นเดียวกัน
เชิงอรรถ
[1]综合性大学 มหาวิทยาลัยสมบูรณ์แบบ คือ มหาวิทยาลัยที่มีสาขาการศึกษาค่อนข้างครอบคลุม
[2]圆杏眼 ดวงตาเมล็ดซิ่ง หมายถึง ดวงตาทรงเมล็ดอัลมอนด์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้