พลังของเขาก็ไม่หลุดรอดออกไปนี่นา ทำไมถึงถูกผู้หญิงที่บอกว่าตัวเองนามสกุลฉินคนนี้ดูออกได้ั้แ่แรกพี่เหวินรู้สึกได้ถึงความอันตรายก่อนที่จะยกมือขึ้นมาแสดงถึงพิธีการซับซ้อนบางอย่าง
“ข้าเหวินกวนจิ่ง ผู้สืบทอดรุ่นที่ห้าสิบสามของชู่ชาน ตระกูลเหวินแล้วสาวน้อยฉินล่ะ มาจากไหน?”
เมื่อได้ยินเหวินกวนจิ่งพูดจาดูมีความเป็ผู้ดีขึ้นมาแล้วยังแสดงท่าทางพิธีอะไรสักอย่างที่ให้กลิ่นอายโบราณๆ แบบนั้นแถมยังบอกว่าตัวเองเป็ผู้สืบทอดรุ่นที่ห้าสิบสามของชู่ชาน ตระกูลเหวินนั่นอีกหลินลั่วหรานรู้สึกว่าเื่ราวกับดูชักจะใหญ่โตขึ้นมา
“ชู่ชาน” สองคำนี้ เป็คำที่คนในยุคของหลินลั่วหรานไม่ได้คุ้นหูมากนักเขาชู่ชานที่มีเื่ราวประหลาดมากมายในโลกแห่งนักดาบ ทำให้ใจของหลายๆ คนลอยไปแต่ว่าเมื่อไปถึง่ของช่องเขาโกรกธารก็จะมีน้ำวนกั้นอยู่ยอดเขาที่มือชื่อเสียงของที่นั่นส่วนมากก็อยู่ในนั้นผู้คนไม่อาจจะมีพลังโบยบินข้ามผ่านไปได้ ดังนั้นจึงทำให้ความ้าที่มีต่อ“ดาบศักดิ์สิทธิ์” ลดลงไปได้มาก
แต่ว่าคนตรงหน้านี้ บอกกับหลินลั่วหรานว่าตนเองคือผู้สืบทอดรุ่นที่ห้าสิบสามของชู่ชาน ตระกูลเหวิน นี่ไม่ใช่เบาะแสในการตามหาผู้ฝึกศาสตร์ที่หลินลั่วหราน้าหรือ? ข้อมูลนี้ทำเอาหลินลั่วหรานตื่นเต้นขึ้นมา แต่เขานั้น “ทำงานร่วมกัน”กับโจวเย่าเวย ทำเื่แบบนั้นทำให้มันก็เป็เพียงสิ่งที่ไร้ความน่าสนใจไปโดยสิ้นเชิง
อีกอย่าง ดูจากท่าทางของเหวินกวนจิ่งพลังของเขาดูเหมือนจะน้อยกว่าในตัวของหลินลั่วหรานเสียอีกทำให้เธอรู้สึกผิดหวังขึ้นมา ถ้านี่เป็คนที่มีชื่อเสียงของชู่ชานเมืองดาบ์จริงก็คงจะต่างไปจากที่คิดไว้มากทีเดียว
คิดได้ดังนั้น ผู้ฝึกศาสตร์โง่เขลาอย่างหลินลั่วหรานไม่ได้รู้เลยว่าเหวินกวนจิ่งกำลังถาม “ที่มาของเธอ”ความจริงก็เพราะอยากจะรู้ทักษะต่างๆ ของเธอนั่นเอง โลกของการฝึกศาสตร์มันตกต่ำลงมานานแล้วที่ยังมีหลงเหลืออยู่ทุกคนต่างก็รู้กันดีโดยพื้นฐาน เหวินกวนจิ่งก็เกรงว่า“สาวน้อยฉิน” ผู้นี้จะเป็คนรู้จักขึ้นมาอาจารย์ของเธออาจจะมาหาเขาที่บ้าน พร้อมทั้งบอกว่าเขาไปรังแกศิษย์น้องเขาจึงพูดอะไรออกมาได้ไม่เต็มปากนัก
หลินลั่วหรานไม่รู้ถึงจุดประสงค์ของเหวินกวนจิ่งเธอจึงกลัวว่าหากพูดมากไปก็จะยิ่งผิดพลาดแล้วทำให้อีกฝ่ายรูปว่าความจริงเธอเป็เพียงเด็กฝึกหัดคนหนึ่ง เธอตวัดแส้ออกไป “พวกคุณปกป้องฆาตกรเอาไว้ ตอนนี้ยังจะมาพูดอะไรไร้สาระอยู่อีกช่างน่าขันเสียจริง!”
พี่เหวินรู้ถึงพลังของแส้ดีตอนนี้โจวเย่าเวยกำลังนอนอยู่ที่พื้นไม่รู้ความเป็ความตายแล้วเขาจะดึงดันเข้าต่อสู้ได้อย่างไร เขาถอยร่างออกมาให้พ้นบริเวณขอบเขตของสายแส้
หลินลั่วหรานตามติดมาอีกครั้ง เหวินกวนจิ่งก็เพียงแต่ขยับหลบเท่านั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้เตรียมตัวโต้กลับแต่อย่างใด แต่สายตาแหลมคมของหลินลั่วหรานกลับมองเห็นว่าปลายนิ้วมือขวาของเขากำลังขยับเปลี่ยนท่าไปมาอย่างดูมีกฎเกณฑ์บางอย่างดูเหมือนว่าจะกำลังทำท่าอะไรสักอย่างอยู่
การรับรู้เกี่ยวกับสิ่งพิเศษอย่าง “ดาบศักดิ์สิทธิ์” ของชู่ชานทำให้หลินลั่วหรานเริ่มร้อนใจขึ้นมา หรือว่าเขากำลังเรียกดาบออกมากัน?
ในใจของเธอร้อนรนขึ้นมา แส้เส้นที่อยู่ในมือนี้เป็แส้ที่เธอรบกวนให้ผู้บังคับบัญชาฉินทำมาให้เป็สิ่งเดียวที่ทำให้เธอสามารถรวบรวมพลังเข้ามาได้ คนอื่นไม่ได้เข้าใจมันมากนักแต่เธอรู้ดีว่าตัวเองมีพลังเหลืออยู่อีกเท่าไร หากไม่รีบทำให้มันจบลงโดยไวถ้ารอจนถึงตอนที่เหวินกวนจิ่งเรียกดาบมาได้สำเร็จเธอก็คงจะไม่ได้พบกับพ่อแม่อีกแล้วจริงๆ!
แส้ยาวขยับเคลื่อนไหวราวกับงูหลังจากรวมพลังได้แล้วก็ปรากฏแสงสีฟ้าออกมาอีกครั้งหลินลั่วหรานใช้หูและตาที่ว่องไวและท่าทางอันคล่องแคล่วของเธอในการหยุดยั้งท่าทางของเหวินกวนจิ่งหลายครั้ง
เมื่อเห็นว่าบทเวทของตัวเองโดนสกัดกั้นอยู่ร่ำไป เหวินกวนจิ่งที่สงบนิ่งก็เริ่มจะทนไม่ไหวขึ้นมาเขาอดทนจนปวดขึ้นมาในใจก่อนจะคว้าของที่เหมือนกับกระดาษสีเหลืองออกมาจากอกปากพร่ำพูดอะไรบางอย่างออกมา เพียงการสะบัดมือของเขากระดาษใบนั้นก็บินพุ่งตรงมายังหลินลั่วหรานราวกับโดนควบคุม!
กระดาษเบาๆ ใบหนึ่ง ตอนที่ปาออกมาก็ไร้เสียง สัญชาตญาณของหลินลั่วหรานรับรู้ได้ถึงอันตรายเธอขยับหลบออกมา ก่อนที่กระดาษสีเหลืองใบนั้นจะเฉียดข้างหูของเธอไปแล้วไปแปะอยู่บนเสาไฟฟ้าต้นนั้น แล้วเกิดไฟลุกเผาไหม้ขึ้นมา จนมีควันลอยออกมาจางๆ
หลินลั่วหรานสงบใจลง ในระหว่างที่กำลังคิดว่าของสิ่งนี้มองดูแปลกประหลาดแต่ความจริงก็ไม่ได้มีอะไร กระดาษใบนั้นก็เผาไหม้หายไปในพริบตาแล้วก็เกิดสายฟ้าขนาดราวๆ นิ้วก้อยขึ้นมาในอากาศภายในเวลาอันสั้นก็ทำให้เสาไฟต้นนั้นเหลือเพียงแค่ฐานที่พื้นเท่านั้น!
ภายในค่ำคืนที่ท้องฟ้าโปร่ง หรือต่อให้เป็วันที่ท้องฟ้าครึ้มแต่สายฟ้านั้นจะผ่าลงมาพอดีที่เสาไฟต้นนั้นได้อย่างไร? เทียบกับการที่ตัวเองนั้นทำได้เพียงปล่อยพลังออกมาจากร่างกายนี่ต่างหากที่เรียกว่าเป็พลังเวทของจริง...หยาดเหงื่อรินไหลออกมาบริเวณหน้าผากของหลินลั่วหรานตอนนี้เธอไม่อาจจะหลบหนีไปไหนได้ ต่อไปสิ่งที่จะเหลือไว้เพียงแค่ฐานจะไม่ใช่เสาไฟแต่เป็ตัวของหลินลั่วหรานแล้ว!
เหวินกวนจิ่งเห็นว่าเธอหลบออกไป ก็เหมือนว่าจะไม่ได้ผิดหวังอะไรเขาพูดออกมาด้วยใบหน้านิ่งเฉย “สาวน้อยฉินการฝึกศาสตร์ไม่ใช่เื่ง่าย เราจะสู้กันถึงตายจริงเหรอ?”
เขาพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาแต่ในระหว่างที่หลินลั่วหรานกำลังหลบกระดาษสีเหลืองแผ่นนั้นอยู่มือขวาของเขาก็ร่ายบทเวทเอาไว้จนเสร็จสิ้นแล้วในตอนนี้มือของเขาถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มแสงจางๆเห็นได้ชัดว่าการโจมตีถูกเตรียมเอาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว
หลินลั่วหรานเหยียดยิ้มออกมา “ใช่การฝึกศาสตร์ไม่ใช่เื่ง่าย ในเมื่อเป็แบบนั้นแต่คุณก็ยังปกป้องสัตว์ป่าต่ำช้านี่เอาไว้...ฉันกับคุณไม่ได้มีความแค้นอะไรกันแต่ตอนนี้คุณกำลังขัดขวางฉัน!”
เหวินกวนจิ่งยกมือขวาขึ้นมา ลำแสงเปล่งประกายเข้มขึ้นเมื่อได้ยินที่หลินลั่วหรานพูด เขาก็ได้แต่ขมวดคิ้วแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจากนั้นสักพักถึงได้พูดออกมา “ฉันไม่ได้สนใจเื่ราวบุญคุณความแค้นอะไรของพวกเธอหรอกนะแต่หน่วยงานมีคำสั่งลงมา โจวเย่าเวยตายไม่ได้ดังนั้นคืนนี้ฉันคงปล่อยให้เขาตายไปไม่ได้หรอก”
อย่างน้อยก็ก่อนกลางเดือนนี้จะตายไม่ได้ เขาแอบเสริมเข้าไปอีกประโยคในใจก่อนที่จะพูดต่อ “เขาขับรถชนสาวน้อยจากตระกูลฉินตอนนี้คนทางนั้นก็ไม่ได้เป็อะไรแล้ว เธอก็จัดการทำร้ายเขาจนได้รับาเ็สาหัสตอนนี้จะต้องทำอะไรให้มันยุ่งยากขึ้นมาอีกทำไม?”
ไม่ตาย...ที่แท้สิ่งที่เป่าเจียต้องเจอมาทั้งหมด ในสายตาของคนเหล่านี้ก็เป็เพียงเื่เล็กๆ แค่คำว่า “ไม่ตาย” สองคำนี้ก็สามารถทดแทนเื่ที่เป่าเจียเืออกในสมอง อวัยวะภายในได้รับความเสียหายกระดูกหักหลายจุดในร่างกายได้แล้วอย่างนั้นเหรอ?
ตอนที่เหวินกวนจิ่งไม่ได้พูดถึงเป่าเจียก็ยังดี แต่เมื่อพูดถึงเธอขึ้นมาหลินลั่วหรานก็นึกถึงภาพของเป่าเจียที่นอนเือาบไปทั่วทั้งตัวอยู่บนเตียงผ่าตัดในวันนั้นขึ้นมา แต่คนที่ก่อเหตุอาชญากรรมนี้ขึ้นมาอย่างโจยเย้าเวยกลับได้รับการปกป้องจาก“หน่วยงานพิเศษ”!
เพราะว่าเป่าเจียเป็เพียงคนธรรมดา ชีวิตของเธอก็เลยถูกนักปราชญ์อย่างเหวินกวนจิ่งมองข้ามไปอย่างนั้นเหรอ? หากว่าสิ่งเหล่านี้คือกฎของธรรมชาติในวันหนึ่งที่ฉันเหยียบให้ทุกคนอยู่ใต้เท้า ไม่สนใจตัวเอง ไม่สนใจชีวิตของพ่อแม่ถึงจะใช้เหตุผลด้านๆ แบบนี้มาอธิบายแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไปได้!
เปลวไฟแห่งความเคียดแค้นปรากฏขึ้นในแววตาของหลินลั่วหรานเธอี้เีที่จะฟังการถ่วงเวลาของเหวินกวนจิ่งต่อไปแล้ว จึงขยับตวัดแส้ยาวออกไป!
ใช่! ฉันไม่มีพลังเวท ไม่มีอาวุธเวทอะไรแต่ฉันมีศาสตร์ที่ลึกกว่า ถ้าหากว่านี่คือกฎของธรรมชาติ ก็มาวัดกันเลยดีกว่า!
แส้ของหลินลั่วหรานขยับอย่างคล่องแคล่วราวกับงูพกพาพลังแห่งความอลหม่านไว้ภายใต้ลมแรง เมื่อพลังของแส้รุนแรงขนาดนี้หากเหวินกวนจิ่งเป็ปูนซีเมนต์ ก็คงจะแตกเป็แผ่นๆ อยู่ใต้แส้เส้นนี้
เมื่อเห็นว่าหลินลั่วหรานไม่ยอมหยุดลง อีกทั้งยังเพิ่มความเร็วในการโจมตีไม่ว่าจะเป็คนที่สงบนิ่งมากแค่ไหนก็ต้องโมโหขึ้นมาความคิดที่ว่าหลินลั่วหรานอาจจะเป็ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขาถูกกำจัดออกไปจากสมองก่อนจะะโออกมา “เวทสมบูรณ์! ไป!”
ลำแสงที่มือขวาขยับหมุนไปมาพลังธาตุไฟปั่นป่วนจากรอบด้านต่างรวมเข้าด้วยกัน ในชั่วพริบตาปลายนิ้วมือของเหวินกวนจิ่งก็ปรากฏลูกไฟขนาดเท่าชามข้าวขึ้นมาก่อนจะพุ่งตรงไปที่หลินลั่วหรานราวกับลูกะุ!
ความเร็วของแส้ไม่ได้ลดลง แต่ดวงตาของเธอกลับหรี่ลง ยังไม่ได้เข้ามาใกล้ เธอก็ััได้ถึงความร้อนของลูกไฟนั้นมันไม่สามารถที่จะเทียบได้กับเปลวไฟทั่วไปได้เลย อีกทั้งยังมีกระดาษที่สามารถเรียกสายฟ้าได้นั่นอีกสิ่งเหล่านี้ถึงจะเป็การต่อสู้ในแบบของนักปราชญ์สินะ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้