ยามพลบค่ำ ศีรษะเล็กอันมอมแมมของคนผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากประตูหลังของจวนชิงผิงอ๋อง
“ไม่มีคน อาเหยียนรีบมาเร็วเข้า”
เหยาเชียนเชียนกวักมือเรียกคนข้างหลัง อาเหยียนน้อยกอดข้องใส่ปลาซึ่งเปื้อนไปด้วยดินเลนไว้ในอ้อมแขนก่อนจะวิ่งเข้าไปข้างในอย่างเบาฝีเท้า
“เราไปอาบน้ำให้สะอาดกันก่อน หลังจากนั้นหากท่านอ๋องส่งคนตามหาก็บอกไปว่านอนหลับอยู่ในห้องตลอดทั้งวัน ส่วนของเหล่านี้กลับไปก็นำไปซ่อนเสีย เ้าวางใจได้ ไม่มีคนจับได้หรอก”
เหยาเชียนเชียนยังคงถือขนมที่ซื้อมาเมื่อกลางวันไว้ในมือ ทั้งคู่หมอบตัววิ่งไปยังเรือนของนางราวกับขโมย
นางกระทำการอย่างเงียบเชียบ เดิมทีนางคิดว่าจะรีบเปลี่ยนชุดเพื่อเป็การปิดฟ้าข้ามทะเล [1] แต่ทันใดนั้นก็มีเด็กรับใช้กลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาจากข้างนอก ในมือของพวกเขาล้วนถือคบเพลิง ส่งผลให้เรือนของนางสว่างขึ้นในทันที
เป่ยเหลียนโม่อยู่หลังสุดของกลุ่มคน แสงสว่างจากคบเพลิงสาดลงบนใบหน้าของเขา เหยาเชียนเชียนจึงเห็นแววมืดครึ้มและความไม่พอใจในดวงตาของเขาได้อย่างชัดเจน
ถูกจับได้จนได้...
“ไปที่ใดมา” เขาถามเสียงเย็น
เป่ยเหลียนโม่พินิจมองสองแม่ลูกตรงหน้า เขาโกรธจนอยากจะจับทั้งคู่ไปโบย
ดินโคลนฉาบไปทั้งร่างกายและใบหน้า บางส่วนก็แห้งจนกลายเป็ก้อน อาเหยียนน้อยผมเปียกชื้น ส่วนเหยาเชียนเชียนดูดียิ่งกว่านั้น ใบหน้านางแม้กระทั่งเขาก็แยกแยะไม่ออกว่านี่คือหวังเฟยของตน
“ท่านพ่อ ปลา”
อาเหยียนยื่นข้องใส่ปลาในอ้อมแขนออกไปอย่างเอาอกเอาใจ ข้างในมีปลาอยู่สองสามตัวจริงๆ แต่สกปรกจนแยกไม่ออกว่าเป็ปลาชนิดใด และยังมีกุ้งอีกสองสามตัวด้วย พวกมันกำลังะโดิ้นไปมาอย่างไม่รู้ว่าเป็หรือตาย
เหยาเชียนเชียนถูจมูกเบาๆ อย่างเก้อเขิน มือของนางเปื้อนดินโคลนและยังไม่ได้เช็ดทำความสะอาด แต่กลับใช้นิ้วถูลงบนจมูกไปหลายครั้ง ทำให้เป่ยเหลียนโม่เห็นแล้วทั้งโกรธทั้งขบขัน
“นี่เป็ความคิดของผู้ใด”
ยังต้องถามอีกหรือ เหยาเชียนเชียนยกมือขึ้นอย่างรู้ตัวเอง ทั้งตัวนางสั่นระริก “หม่อมฉันพาอาเหยียนออกไปเองเพคะ”
ทว่าในคราแรกนางไม่ได้คิดไว้เช่นนี้ หลังจากพวกเขาแยกกับซั่งกวนหลิง เดิมทีตั้งใจจะเที่ยวเล่นอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับจวน ทว่าบังเอิญได้ยินเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังจะไปจับปลากันอย่างคึกคักพอดี
“ท่านแม่ ปลาอยู่ในห้องเครื่องไม่ใช่หรือขอรับ?”
อาเหยียนไม่เข้าใจ เขาเคยเห็นตู้ปลาที่ตั้งอยู่ในห้องเครื่อง ในเมื่ออยู่ที่ห้องเครื่องอยู่แล้ว เหตุใดถึงต้องไปจับอีก
เหยาเชียนเชียนทั้งปวดใจทั้งขบขัน ถ้ายังเลี้ยงดูเช่นนี้ต่อไปเด็กคนนี้จะถูกเลี้ยงให้โตมาเป็คนเขลาแน่
“ปลาล้วนถูกมนุษย์จับขึ้นมาจากแม่น้ำ ท่านพ่อไม่เคยเล่าให้อาเหยียนฟังเลยหรือ?”
อาเหยียนน้อยส่ายหน้า สิ่งที่ท่านพ่อพูดกับเขามากที่สุดคือห้ามเชื่อผู้อื่นง่ายๆ และห้ามเปิดเผยร่างที่แท้จริงต่อหน้าคนนอก ส่วนเื่นี้ท่านพ่อไม่เคยเล่าให้เขาฟังเลย
เดิมกำเนิดในราชวงศ์ ทั้งอาหาร อาภรณ์ และข้าวของเครื่องใช้ล้วนเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมอบแด่เขา หากยังไม่มีผู้ใดสอนความรู้ทั่วไปเหล่านี้ให้เขา เมื่อเด็กคนนี้เติบโตขึ้นต้องกลายเป็ลูกหลานขุนนางที่น่าหัวเราะเยาะเป็แน่
เหยาเชียนเชียนทอดถอนใจ นางจูงมือเล็กของเขาพลางกล่าวว่า “ไปกันเถิด แม่จะพาอาเหยียนไปจับปลา ให้อาเหยียนได้เห็นว่าปลาในห้องเครื่องนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร”
เพราะฉะนั้นทั้งคู่ถึงได้กลับจวนมาในสภาพนี้
ทะเลสาบแห่งนั้นไม่ใหญ่นัก เป็สถานที่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง และน้ำในทะเลสาบก็แห้งขอดไปเกือบทั้งหมดแล้ว อาเหยียนไม่เคยได้ััประสบการณ์ที่แปลกใหม่เช่นนี้มาก่อน จนกระทั่งหิวจนแทบทนไม่ไหวถึงได้ยอมกลับมาอย่างอาลัยอาวรณ์
“ท่านพ่อดูสิ” อาเหยียนอุ้มข้องใส่ปลาราวกับอัญมณีล้ำค่าไปให้เป่ยเหลียนโม่ “ปลาที่อยู่ในนี้ไม่เหมือนกับที่อยู่ในจวน ท่านพ่อเคยเห็นหรือไม่ขอรับ?”
เหยาเชียนเชียนอยากหัวเราะแต่ก็ไม่กล้า นางเม้มปากพลางเสมองไปทางอื่นเพื่อปิดบัง
ถูกจับได้ก็ช่างปะไร อย่างน้อยก็ทำให้ท่านอ๋องผู้นี้ได้รู้ว่าการเลี้ยงดูบุตรเช่นนี้ไม่ถูกต้อง การปกป้องเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เด็กแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ต้องฝึกฝนให้มากจึงจะถูก
อย่างน้อยความรู้ทั่วไปเหล่านี้ต้องมีคนบอกเล่าแก่เด็ก มิเช่นนั้นจะถูกเลี้ยงให้เติบโตมาเป็เพียงคนเขลาที่มีรูปโฉมงดงามคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นก็จะเป็เขาเองที่เสียใจ
“อาเหยียนกลับไปพักผ่อนที่เรือนของตัวเองเถิด พ่อมีเื่จะคุยกับท่านแม่”
สุดท้ายเป่ยเหลียนโม่ก็รับปลาเ่าั้มาอย่างไว้หน้า เมื่อไม่ถูกบ่นและตำหนิ อาเหยียนน้อยจึงหันไปโบกมือบอกลาเหยาเชียนเชียนอย่างวางใจ ท่านพ่อไม่โกรธ เช่นนั้นก็ราตรีสวัสดิ์ขอรับท่านแม่
เหยาเชียนเชียนยิ้มให้เขา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก นางรู้ว่าหายนะของนางกำลังจะเริ่มหลังจากที่อาเหยียนกลับไป
“มานี่”
เป่ยเหลียนโม่แทบจะกล่าวทั้งที่ขบกรามอยู่ เขาครุ่นคิดเล็กน้อยและส่งข้องใส่ปลาให้เด็กรับใช้ข้างกาย พร้อมกำชับให้หาบ่อปลาดีๆ สักที่และเลี้ยงมันไว้ เพราะถึงอย่างไรก็เป็ปลาที่อาเหยียนจับมาอย่างยากลำบาก
เหยาเชียนเชียนท่าทางเหมือนสะใภ้ตัวน้อย นางเดินเข้ามาภายในห้องอย่างนอบน้อมเจียมตัว อาภรณ์บนกายที่ยังไม่แห้งยังคงเย็นอยู่เล็กน้อยเป็ผลมาจากการตากลมในสวนเมื่อครู่ การที่ได้เข้ามาในห้องอบอุ่นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันขออธิบายตัวเองสักสองประโยคได้หรือไม่”
นางพินิจอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าเป่ยเหลียนโม่ไม่ส่งเสียงใดจึงกระแอมเล็กน้อยและกล่าวว่า “หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องกริ้ว แต่หม่อมฉันทำเช่นนี้ก็เพราะคำนึงถึงอาเหยียน พระองค์ปกป้องเขาดีเกินไป สักวันหนึ่งในอนาคตก็ต้องมียามที่พระองค์ไม่ได้อยู่ข้างกายเขา และเขาต้องเรียนรู้ที่จะเติบโตเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่หันไปมองนางดัง ‘พรึ่บ’ ส่งผลให้เหยาเชียนเชียนปิดปากทันที
จะพูดก็พูดสิ เหตุใดต้องใช้สายตาน่าใเช่นนั้น
“อาเหยียนฐานะสูงศักดิ์ จะเปรียบเทียบกับสามัญชนได้อย่างไร ยามนี้เปิ่นหวังปกป้องเขาได้ ในอนาคตก็ยังคงเป็เช่นนั้น แม้ไม่มีเปิ่นหวัง แต่เป่ยจิ้งทั้งตระกูลก็จะปกป้องเขา หวังเฟยยังเป็กังวลว่าในอนาคตเขาจะลำบากอยู่อีกหรือไม่”
'ท่านเก่ง ท่านเก่งที่สุด' เหยาเชียนเชียนเบะปาก ล้อมอาเหยียนไว้ราวกับถังเหล็กที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้แมลงวันตาบอดที่ไม่ระวังบินเข้าไปทำให้ใกลัว
“แม้จะรับประกันความปลอดภัยของเขาได้ แต่อาเหยียนอยู่แต่ในจวนมาโดยตลอด เขาไม่มีเพื่อนข้างกาย และไม่มีคนที่เขาสามารถคุยความในใจด้วยได้ เหมือนในวันนี้ ท่านอ๋องไม่รู้หรอกว่าเขามีความสุขมากเพียงใด”
เหยาเชียนเชียนกล่าวต่อว่า “หลายวันมานี้ั้แ่เข้ามาที่จวนอ๋องแห่งนี้ หม่อมฉันไม่เคยเห็นเขามีความสุขเช่นนี้มาก่อน ท่านอ๋องไม่เคยคิดทบทวนตัวเองบ้างเลยหรือเพคะ?”
แม้ว่าอาเหยียนอยู่ในจวนจะมีทั้งอาหารและอาภรณ์ไม่ขาดตกบกพร่อง และไม่มีผู้ใดกล้าไม่เคารพเขา แต่ในจวนแห่งนี้มีเพียงเป่ยเหลียนโม่เป็ญาติเพียงคนเดียวของเขา และเพราะยุ่งกับราชกิจจึงทำให้ไม่สามารถอยู่กับเขาได้ตลอดวัน
ผู้คนทั้งนครหลวงต่างก็รู้ว่าชิงผิงอ๋องรักบุตรชายคนนี้มากเพียงใด ในขณะเดียวกับที่ให้ความเคารพต่อเขา ผู้ใดที่ไม่ระมัดระวังกล้าพูดคุยความในใจกับอาเหยียน คนผู้นั้นจะต้องโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน
“ท่านอ๋อง พระองค์ได้มอบชีวิตที่มีพร้อมทั้งอาภรณ์และอาหารแก่เขาแล้ว เช่นนั้นก็มอบวัยเด็กที่มีความสุขให้เขาอีกสักอย่างเถิดเพคะ”
“วัยเด็ก?” เป่ยเหลียนโม่ขมวดคิ้ว
“คือการให้เขามีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น และได้เติบโตอย่างอิสระมากขึ้น” เหยาเชียนเชียนอธิบาย “ด้วยเหตุนี้อาเหยียนจึงติดหม่อมฉันแจ นอกเหนือจากความไว้ใจ ก็อาจจะเป็เพราะเขารู้สึกว่าหม่อมฉันและเขาไม่ถูกขวางกั้นด้วยฐานะ สามารถทำตามที่ใจปรารถนาได้ พาเขาไปทำในสิ่งที่ผู้อื่นทำไม่ได้”
นั่นก็ถูก เป่ยเหลียนโม่ส่งเสียงหึในลำคอแ่เบา บ่าวไพร่คนใดจะกล้าลอบพาซื่อจื่อออกไปตกปลาจับกุ้งนอกเมืองเล่า ทำเช่นนั้นก็ถูกถลกหนังกันพอดี
“อาเหยียนไม่ได้อ่อนแออย่างที่ท่านอ๋องคิด ที่จริงแล้วเขาแข็งแกร่งและรู้ความไม่น้อย เพียงแต่ในเวลาปกติมักกังวลมากเกินไป เพราะฉะนั้นจึงไม่ได้ร่าเริงเหมือนเด็กคนอื่น พระองค์ลองคิดดูสิเพคะ ถ้าเป็เช่นนี้ต่อไปเขาจะกลายเป็เด็กที่แก่เกินอายุนะเพคะ”
“บังอาจ” เขากล่าวเสียงเรียบ
เหยาเชียนเชียนฟังออกว่าในถ้อยคำนั้นไม่ได้เจือแววตำหนิรุนแรงมากนักจึงวางใจ แม้ชิงผิงอ๋องจะแข็งกร้าวไปบ้าง แต่เขาก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล นางพูดดีๆ กับเขา เขาก็รับฟังความเห็นด้วยใจเปิดกว้าง
เป่ยเหลียนโม่ทำหน้านิ่งจากไปในยามที่นางจามเป็ครั้งที่ห้าสิบแปด
แม้ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย แต่เหยาเชียนเชียนคิดว่านี่เป็สัญญาณของการรับฟังความคิดเห็นและการยอมเปลี่ยนแปลง
สองวันให้หลัง เหยาเชียนเชียนพบว่าประตูหลังถูกปิดตายไปแล้ว
“นี่มันอะไรกัน” นางแค่นหัวเราะอย่างขุ่นเคือง “แม้กระทั่งรูสุนัขลอดข้างๆ ก็ถูกปิดไปด้วย”
ทำเหมือนว่านางจะมุดออกไปจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น!
ก็ใช่ นางจะทำเช่นนั้น...
“ท่านแม่” อาเหยียนดีใจที่หานางเจอ “ท่านพ่อเลี้ยงปลาของพวกเราไว้แล้ว ท่านแม่รีบไปดูสิขอรับ”
เหยาเชียนเชียนจำต้องหยุดเหน็บแนมชิงผิงอ๋องชั่วคราวเมื่อเห็นแสงสว่างด้วยความตื่นเต้นในดวงตาของบุตรชาย นางตามไปดูปลาและกุ้งที่จับกลับมาเมื่อวาน
“อยู่ที่ใดหรือ?”
นางหรี่ตาลง พยายามมองหาในบ่อปลาใหญ่ขนาดสามหมี่เจี้ยนฟาง [2] บ่อนั้นอยู่เนิ่นนาน ปลาตัวเล็กขนาดตัวเท่าฝ่ามือต้องเลี้ยงในบ่อปลาใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ?
“อยู่ตรงนั้นขอรับ” อาเหยียนชี้ให้นางดูอย่างตื่นเต้น “อยู่ใต้หิน แล้วยังมีกุ้งอีกตัวด้วย”
ตาดีเสียจริง เหยาเชียนเชียนลูบศีรษะเล็กของเขาเบาๆ
ไม่ได้การ นางไม่สามารถปล่อยให้ชิงผิงอ๋องปิดผนึกประตูหลังได้ ท่าทางครุ่นคิดของเขาเมื่อวานนี้ไม่ใช่การที่เขาคิดตกแล้ว
ทว่าเขากำลังคิดอยู่ว่าจะกักขังนางไว้โดยสมบูรณ์อย่างไรดี
“อาเหยียนเป็เด็กดีนะ แม่จะไปหาท่านพ่อ เ้าห้ามเข้าไปใกล้บ่อปลามากเกินไป เข้าใจหรือไม่ ดูแค่ครู่เดียวก็พอ”
เหยาเชียนเชียนสั่งให้สาวใช้ไปนำหมั่นโถวมาสองชิ้นสำหรับให้อาเหยียนโยนเป็อาหารปลาอย่างสนุกสนาน ส่วนนางจะไปหาชิงผิงอ๋องที่ห้องหนังสือแล้วค่อยคุยกัน
“รับไว้”
เป่ยเหลียนโม่โยนป้ายคำสั่งชิ้นหนึ่งให้นางโดยไม่เงยหน้าขึ้น “หากอยากออกจากจวนอีกก็ออกไปทางประตูใหญ่อย่างเปิดเผย เป็ถึงหวังเฟย แอบพาซื่อจื่อมุดไปทางประตูเหมาะสมที่ใดกัน”
เหยาเชียนเชียนแตะป้ายคำสั่งในมืออย่างประหลาดใจ สิ่งนี้ทำมาจากทองใช่หรือไม่ นางอยากลองกัดดูสักคำเหลือเกิน
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง พระองค์ช่างเป็บิดาที่มีเมตตาและอ่อนโยน อาเหยียนมีพระองค์เป็บิดาเช่นนี้ หม่อมฉันดีใจแทนเขาเหลือเกินเพคะ”
นางดีใจแทนอาเหยียนอย่างนั้นหรือ เป่ยเหลียนโม่มองนางด้วยสายตาเ็า “เปิ่นหวังยังมีราชกิจ”
เหยาเชียนเชียนพอได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารัว “เพคะ หม่อมฉันไม่รบกวนท่านอ๋องแล้ว”
ดวงตาของเป่ยเหลียนโม่ฉายแววขบขันเจือจางเมื่อเห็นนางเดินประคองป้ายคำสั่งออกไปอย่างชอบใจ สิ่งที่นางกล่าวเมื่อวานก็มีเหตุผล แม้ว่าเขาจะมีหน้าที่ปกป้องอาเหยียน แต่เขาก็ไม่ควรกักขังเด็กน้อยเอาไว้
เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นที่อายุเท่ากัน อาเหยียนค่อนข้างเงียบและเชื่อฟังมากจริงๆ กระทั่งเคยโกรธเขาเพียงครั้งเดียวโดยมีสตรีผู้นั้นเป็สาเหตุ
ยามนี้เขาผ่อนมือลงบ้างแล้ว อาเหยียนก็น่าจะสบายใจไม่น้อย
'เหยาเชียนเชียน' เป่ยเหลียนโม่เขียนตัวอักษรสามคำนี้ลงบนกระดาษ เป็ดังที่นางเคยกล่าวไว้ นางไม่เหมือนก่อนหน้านี้แล้วจริงๆ เพียงแต่เป็การเปลี่ยนแปลงอย่างจริงใจหรือว่าแสร้งทำเป็สวามิภักดิ์ก็ยังต้องพิจารณาสืบสวนกันต่อไป
“เมื่อวานยามที่พบกับซั่งกวนหลิงนางกล่าวอะไรบ้างหรือไม่?”
องครักษ์เงาคนหนึ่งคุกเข่าอยู่ในมุมมืด เขากล่าวว่าดูเหมือนหวังเฟยจะไม่รู้จักซั่งกวนหลิง นางเพียงแค่ช่วยจัดการเหล่าอันธพาลในตลาดสองสามคนเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไรแล้ว
“แม่นางซั่งกวนเชิญหวังเฟยไปนั่งพูดคุยกันที่หอเพียวเซียง แต่ดูเหมือนว่าหวังเฟยจะคำนึงถึงเสี่ยวซื่อจื่อ จึงปฏิเสธไปขอรับ”
เป่ยเหลียนโม่เก็บชื่อบนโต๊ะ ในแววตามองไม่ออกว่าเขารู้สึกเช่นไร
“สั่งให้นางอยู่เงียบๆ ไม่ต้องปรากฏตัวต่อหน้าเหยาเชียนเชียนและอาเหยียน แค่จับตาดูเป่ยเซวียนเฉิงไว้ก็พอ”
“ขอรับ” องครักษ์เงาจากไปโดยไร้เสียง
ภายในห้องกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง เป่ยเหลียนโม่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง มันเขียวชอุ่มและงอกงาม เป็ดังที่สตรีผู้นั้นกล่าวไว้ อากาศเช่นนี้หากอุดอู้อยู่แต่ในจวนก็น่าเสียดายจริงๆ
“แจ้งให้หวังเฟยเตรียมตัวสำหรับการล่าสัตว์ในอีกสามวันข้างหน้า”
เชิงอรรถ
[1] ปิดฟ้าข้ามทะเล ปรากฏในวรรณกรรมเื่สามก๊ก กลยุทธ์นี้มีความหมายว่า สิ่งที่ตนคิดว่าได้ตระเตรียมไว้อย่างพร้อมมูลแล้ว ก็มักจะเพิกเฉยและประมาทศัตรูได้ง่าย สิ่งที่พบเห็นอยู่เสมอในยามปกติก็ไม่เกิดความสงสัยอีกต่อไป
[2] หมี่เจี้ยนฟาง หมายถึง หน่วยวัดเป็ตารางเมตร
