เช้าของวันต่อมาคนรอบโต๊ะทานอาหารของจวนตระกูลเจียง ต่างถือตะเกียบค้างไว้กลางอากาศเมื่อเห็นอวี้จิ่นใช้ตะเกียบอย่างคล่องแคล่ว ประหนึ่งไม่ใช่คนที่เพิ่งได้รับาเ็ที่ฝ่ามือเมื่อวานก็ไม่ปาน ยิ่งไปกว่านั้นฝ่ามือของนางก็ไม่มีรอยแผลให้เห็นจริง ๆ
“หืม อึก เอ่อ พวกท่านจ้องกันเช่นนี้ข้าก็เขินอายเป็นะเ้าคะ หากมีคำถามได้โปรดถามได้เลยเ้าค่ะข้ายินดีตอบทุกเื่” อวี้จิ่นที่รู้ตัวว่าไม่มีใครคีบอาหารเช่นนางก็หยุดไปด้วยอีกคน
“จะ จะ จิ่นเอ๋อร์ มะ มะ มือของเ้าไม่มีรอยแผลแล้วจะเป็ไปได้อย่างไรกัน หรือว่า!! เ้าเป็ปีศาจเ้ากลืนร่างน้องสาวของข้าไปแล้วใช่หรือมะ...อ๊ะ!!” เจียงหยวนยังพูดไม่จบก็ถูกบิดาใช้ตะเกียบในมือเคาะศีรษะไปหนึ่งที
“เ้าพูดไร้สาระอันใดกันอาหยวนปีศาจบ้าบอจากที่ใดไม่มีอย่างที่เ้าพูดหรอกน่า พวกเราควรถามจิ่นเอ๋อร์มากกว่าว่าทำไมแผลของเ้า ถึงได้หายเร็วดั่งทายาวิเศษหรือมีใครใช้เวทมนต์ช่วยรักษาเ้ากันนะ...อ๊ะ!!” แม่ทัพใหญ่ก็โดนเช่นที่ตนทำกับบุตรชาย
“นี่อากุ่ยเ้ายังจะไร้สาระตามหลานชายข้าไปอีกคนรึ เวทมนต์อันใดกันไม่มีแน่ ๆ แม่ไม่เชื่อที่พวกเ้าพูดแต่ถ้าเป็เทพบน์ช่วยรักษาให้ละ...”
“ท่านแม่!!/ท่านย่า!!”
“เฮือก! พวกเ้าจะเสียงดังไปใยคนแก่เช่นข้าตกอกใหมด” ฮูหยินผู้เฒ่าใจริง ๆ กับเสียงเรียกของบุตรชายและหลานชาย
“ฮ่า ๆ ๆ พวกท่านอย่าถกเถียงกันเลยเ้าค่ะ เพราะที่พวกท่านพูดมามันอาจจะมีอยู่จริงทั้งหมดก็เป็ได้นะเ้าคะ แต่เื่าแที่หายไปนั้นเพราะข้ามียาวิเศษอยู่กับตัวเ้าค่ะ” อวี้จิ่นยังไม่บอกทั้งหมด
“แล้วมันคือยะ....” เจียงหยวนตั้งท่าจะถามน้องสาวก็ถูกนางยกมือห้ามไว้เสียก่อน
“อะ อะ พี่ใหญ่ท่านอย่าเพิ่งถามถึงที่มาที่ไปของมันเลยเ้าค่ะ รอให้จัดการเื่ทำโรงทานเสร็จเรียบร้อยข้าจะเล่าให้พวกท่านฟัง จะไม่มีการหลบเลี่ยงหรือพูดเท็จกับพวกท่านแต่อย่างใดรอได้ไหมเ้าคะ”
“ในเมื่อจิ่นเอ๋อร์ขอร้องถึงเพียงนี้จะไม่ยอมได้อย่างไร ไว้เสร็จเื่อย่างที่จิ่นเอ๋อร์บอกค่อยมานั่งคุยกันอีกครั้งเถิด” ฮูหยินผู้เฒ่าตามใจหลานสาวอย่างน้อยนางก็ให้คำมั่นว่าจะเล่าให้ทุกคนได้ฟัง
“อ้อ มีอีกหนึ่งเื่ที่อยากบอกกับทุกคนเ้าค่ะ ในวันที่จัดตั้งโรงทานจะไม่แจกจ่ายแค่ข้าวสารกับธัญพืชนะเ้าคะ ขอให้แม่ครัวช่วยเตรียมข้าวสวยไว้หลาย ๆ หม้อสักหน่อย ข้าจะทำผัดผักใส่เนื้อที่ดูธรรมดาแต่รสชาติไม่ธรรมดาแจกให้ชาวบ้านด้วย เพราะพวกเขาอาจจะออกจากบ้านมาแต่เช้าเพื่อต่อแถวเป็คนแรก ๆ จึงไม่อยากให้คนที่ต่อแถวต้องหิ้วท้องกลับไปทานที่บ้าน และแน่นอนว่าจะต้องแบ่งให้พวกท่านได้ชิมเป็กลุ่มแรกเ้าค่ะ” นี่คือความตั้งใจของอวี้จิ่น
“ได้สิจ๊ะไว้แม่จะให้มู่เสียไปกำชับแม่ครัวอีกครั้งนะ เ้าเองก็ทานเนื้อเยอะ ๆ สักหน่อยจะได้มีน้ำมีนวลผิวพรรณเปล่งปลั่งมากกว่านี้” จางฮูหยินและทุกคนในจวนต่างสนับสนุนสิ่งที่อวี้จิ่นเสนอ เมื่อพิจารณาแล้วมันคือสิ่งที่ดีมิใช่สิ่งเลวร้ายอันใด
“เ้าค่ะท่านแม่”
ถึงอาหารที่แม่ครัวทำจะเรียกว่าอร่อยของคนยุคนี้ แต่สำหรับอวี้จิ่นมันยังขาดคำว่าอร่อยไปมากทีเดียว อีกไม่กี่วันพวกท่านจะได้รับรู้ถึงรสชาติของความอร่อยที่แท้จริง และในยามซื่อคนของใต้เท้ากวนก็มารับยาสมุนไพรจากอวี้จิ่น ตามที่นางได้บอกไว้ั้แ่เมื่อวานนี้และยังฝากคำขอบคุณมาให้นางด้วย ตลอดสองวันอวี้จิ่นได้เลือกวัตถุดิบและเครื่องปรุงสำหรับทำอาหาร ที่มีหน้าตาดูไม่แปลกมากเกินไปออกมาจากมิติสำหรับทำอาหารแจกจ่ายชาวบ้าน เหล่าแม่ครัวและสาวใช้ที่อยู่ในห้องครัวรู้สึกตื่นเต้นมาก ที่คุณหนูของจวนจะลงมือทำอาหารด้วยตนเอง น้อยนักสำหรับคุณหนูในห้องหอจะชอบทำเช่นนี้ ที่สำคัญพวกนางก็จะได้ทานด้วยเช่นกัน
ทางพ่อบ้านเจียงให้บ่าวไพร่ออกไปป่าวประกาศ เมื่อเช้าของอีกวันคือวันจัดตั้งโรงทานด้านหน้าจวน มีผู้คนให้ความสนใจอย่างมากพวกเขาคาดเดาเื่ราวไปต่าง ๆ นานา เกี่ยวกับการกลับตระกูลของอวี้จิ่นในครั้งนี้ แต่นั่นก็เป็เพียงแค่ความคิดของผู้คนที่ห้ามไม่ได้อยู่แล้ว
เช้ามืดของวันที่สามในปลายยามอิ๋นอวี้จิ่นก็ไปขลุกอยู่ที่ครัว เตรียมพร้อมสำหรับทำผัดผักใส่เนื้อโดยทุกคนให้ความร่วมมือเป็อย่างดี พวกเขาหั่นเนื้อหั่นผักไว้ให้รวมถึงข้าวสวยจำนวนหลายหม้อ เมื่อทุกอย่างพร้อมอวี้จิ่นก็เริ่มลงมือทำอาหารทันที
“ฉ่า! ฉ่า! ก๊อง! ก๊อง!”
“ฟืดดดด อู้ว คุณหนูเ้าคะกลิ่นมันหอมมากไม่เหมือนตอนที่บ่าวทำเองเลยเ้าค่ะ” แม่ครัวสูดกลิ่นหอมของอาหารที่อวี้จิ่นเริ่มใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ ลงไป โดยเฉพาะกลิ่นที่หอมคนอย่างกับที่ตนเองเคยทำจึงอดที่จะเปรียบเทียบไม่ได้
“คิ คิ คิ แม่ครัวฉิวต่อไปหากจะทำอาหารให้ทุกคนในจวนทาน ท่านจะต้องใช้เครื่องปรุงในกระปุกที่ข้านำมาเหล่านี้เท่านั้นนะเ้าคะ กลิ่นหอมและความอร่อยจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าเชียวล่ะ”
“เ้าค่ะคุณหนูต่อไปบ่าวจะทำให้ท่านได้ชิมบ้างนะเ้าคะ”
“ข้าจะรอนะแต่ว่าตอนนี้ตักอาหารใส่ถาดไว้และทยอยยกออกไปเตรียมที่ด้านหน้าจวนเถิด ไม่แน่ว่ายามนี้อาจมีชาวบ้านบางส่วนมาต่อแถวรอแล้วก็เป็ได้ อย่าลืมนำจานชามไปเผื่อด้วยเล่าบางคนที่ยากจนอาจจะมิได้นำติดตัวมา ข้าจะกลับไปจัดการตนเองก่อนแล้วจะรีบตามไปนะ” นางต้องกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน หากไปด้วยชุดที่เต็มไปด้วยกลิ่นของอาหารต้องโดนมารดาดุแน่ ๆ
“เ้าค่ะคุณหนู”
จากนั้นหัวหน้าแม่ครัวและบ่าวไพร่ทั้งหลายต่างช่วยกันยกถังไม้ใส่ข้าวสวย และถาดก้นลึกที่มีผัดผักน่าทานร้อน ๆ ไปจัดวางด้านนอกจวน
และเป็เช่นที่อวี้จิ่นพูดไว้เพราะมีชาวบ้านที่รู้ข่าว ต่างนำถุงผ้าหรือชามใบโตมารับแจกข้าวสารและธัญพืช บางคนอาจมีถ้วยใบเล็กติดมาเผื่อว่าจะมีโจ๊กร้อน ๆ แจกจ่ายเพิ่มเติม แต่พวกเขาไม่คิดว่านอกจากจะไม่ใช่โจ๊กที่มีแต่น้ำแล้ว มันกลับเป็ข้าวสวยกับผัดผักใส่เนื้อชิ้นโตต่างหาก จนกระทั่งปลายยามโหย่วเ้านายทั้งห้าของจวนก็ออกมาพร้อมหน้ากัน
“พ่อแม่พี่น้องทุกท่านวันนี้ข้าแม่ทัพใหญ่เจียงซื่อกุ่ย ได้จัดตั้งโรงทานนี้เพื่อทำบุญแจกจ่ายข้าวสารและธัญพืช สำหรับต้อนรับการกลับมาของบุตรสาวของข้าที่ถูกคนร้ายลักพาตัวไป ยามนี้นางได้กลับสู่ตระกูลเจียงขอให้ทุกท่านเมตตาเอ็นดูบุตรสาวของข้าด้วย” แม่ทัพใหญ่กล่าวเื่บุตรสาวของตนกับชาวบ้านทั้งนอกเมืองและในเมืองหลวง เพื่อให้พวกเขาได้จดจำอวี้จิ่นมากกว่าเจียงซูลี่ที่เย่อหยิ่งดูถูกชาวบ้าน
“ข้าเจียงอวี้จิ่นบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นจ้าว วันนี้เป็การทำบุญร่วมกันทั้งผู้ให้และผู้รับนอกจากข้าวสารกับธัญพืช ข้าได้ทำผัดผักใส่เนื้อด้วยตนเองสำหรับให้พวกท่านได้ทาน บุตรหลานที่ยังเด็กก็ทานได้บ่าวไพร่ในจวนจะตักข้าวใส่ชาม และตักผัดผักราดข้าวให้พวกท่านขอให้ทานให้อร่อยนะเ้าคะ”
“ขอบคุณแม่ทัพใหญ่/ขอบคุณหนูเจียง/ขอบคุณตระกูลเจียง”
“ไม่ต้องเบียดกันนะเ้าคะค่อย ๆ เดินพวกเราจะแจกจ่ายให้ครบทุกคนเ้าค่ะ” อวี้จิ่นเกรงว่าจะมีคนเบียดกันมากเกินไป คนชราและเด็กอาจเป็อันตรายได้
่ขณะที่เริ่มแจกจ่ายอาหารก็มีเสียงที่ดุดันดังขึ้น เพื่อเป็การเตือนสำหรับคนเห็นแก่ตัวที่มักจะไม่ชอบการรอ จึงใช้วิธีแทรกแถวตรงจุดที่เป็คนชราหรือสตรีที่มีบุตร ฟู่หลงเหยียนเคยเห็นมาบ่อยกับสถานการณ์เช่นนี้ ถึงได้ตักเตือนก่อนที่มันจะเกิดขึ้นกับโรงทานของตระกูลเจียง
“หากใครกล้าแทรกแถวผู้อื่นอย่างไร้กฎระเบียบ จะถูกจับตัวแยกออกไปทันทีและไม่ได้รับการแจกจ่ายของใด ๆ ทั้งสิ้น เฉินอิ่น อู๋จิ้ง พวกเ้าสองคนไปช่วยดูแลเื่การต่อแถวของชาวบ้านที” น้ำเสียงของฟู่หลงเหยียนทำให้คนที่กำลังคิดจะทำถึงกับหยุดคิดไปในทันที
“พี่ชายฟู่!! ท่านรู้ได้อย่างไรเ้าคะว่าวันนี้ที่จวนจะทำโรงทาน หรือว่าน้าตงลู่เป็คนส่งข่าวไปถึงท่านงั้นหรือเ้าคะ” อวี้จิ่นจำได้ว่านางมิได้สั่งให้ตงลู่ไปบอกเื่นี้กับฟู่หลงเหยียน
“คารวะฮูหยินผู้เฒ่าท่านลุงท่านป้าขอรับ ตงลู่อยู่อารักขาเ้าตลอดเวลาจะไปบอกพี่ได้อย่างไรกันจิ่นเอ๋อร์ ที่พี่รู้เพราะวานนี้หลี่อี้ไปพบกับพี่เื่งานเล็กน้อย ถึงได้ทราบว่าที่จวนของเ้าจะทำโรงทานน่ะ” เสียงตอบคำถามของอวี้จิ่นมันคนละเสียงกับก่อนหน้านี้ ทำเอาคนที่ยืนอยู่ด้วยกันอีกสามสี่คนถึงกับเบิกตาโตโดยเฉพาะเจียงหยวนผู้เป็สหาย
“ไหน ๆ อาเหยียนก็มาแล้วย่าว่ามาช่วยกันแจกของให้ชาวบ้านกันเถิด ถือว่ามาช่วยทำบุญให้กับพี่น้องชาวบ้านในเมืองหลวง นานแล้วที่ย่าไม่ได้เจออาเหยียนเพราะหน้าที่ของเ้าด้วยจริงไหม” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เจอฟู่หลงเหยียนและหลานชายของตนบ่อย ๆ เช่นแต่ก่อน ั้แ่ทั้งสองคนเข้ารับราชการทำงานให้กับราชสำนัก
“จริงขอรับ ั้แ่เข้ารับตำแหน่งในสำนักตรวจการ แม้แต่เวลาจะได้ประลองฝีมือกับอาหยวนก็หายากยิ่งนักขอรับ”
“เช่นนั้นวันนี้เ้าต้องช่วยงานให้มากล่ะสหายข้า เพราะผัดผักใส่เนื้อที่เ้าเห็นนั่นจิ่นเอ๋อร์ลงมือทำเองเชียวนะ แต่ก่อนจะนำมาแจกได้แบ่งเป็สำรับมื้อเช้าไว้แล้วล่ะ” เจียงหยวนที่ยังไม่ได้ชิมอาหารฝีมือน้องสาว เพราะตลอดการเดินทางอวี้จิ่นไม่สะดวกนำเครื่องปรุงออกมานั่นเอง
“หึ ข้าจะบอกอะไรให้นะอาหยวนฝีมือทำอาหารของจิ่นเอ๋อร์ แค่ไข่ไก่หนึ่งใบยังทำให้อร่อยได้นับประสาอันใดกับผัดผักใส่เนื้อ น้องสาวของเ้าทำอาหารได้หลากหลายยิ่งกว่านี้อีก” ฟู่หลงเหยียนอวดตนกับสหายว่าเคยทานอาหารฝีมือของอวี้จิ่นมาก่อนแล้ว
“ห๊า!! นะ นะ นี่ ๆ ๆ ได้อย่างไรกันจิ่นเอ๋อร์น้องข้า”
“พอ ๆ ๆ อาหยวนเ้าจะน้อยใจไปใยอีกประเดี๋ยวก็ได้ชิมแล้ว ช่วยกันแจกจ่ายอาหารให้ชาวบ้านเสียก่อนเร็วเข้า” จางฮูหยินได้แต่ส่ายหน้าให้กับอาการของบุตรชาย
“ขอรับท่านแม่” เจียงหยวนรับคำมารดาเสียงอ่อย
‘ฝากไว้ก่อนเถอะเ้าสหายตัวดี หึ’
‘ข้าไม่รับฝากแต่ถ้าเป็จิ่นเอ๋อร์ข้ายินดีรับฝากไปตลอดชีวิต’
สองสหายได้แต่ส่งสายตาท้าทายกันไปมาเรียกเสียงหัวเราะให้กับคนที่อยู่ใกล้ ๆ ได้มากทีเดียว เพราะพวกเขากำลังทำตัวเหมือนเด็กก็ไม่ปานส่วนชาวบ้านยังคงมีมาต่อแถวอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีคนนำไปพูดต่อ ๆ กัน
“ถือไว้ดี ๆ นะระวังจะหกด้วยเล่า” บ่าวไพร่ที่ตักอาหารแจกจ่ายช่วยกำชับกับชาวบ้านอีกทาง
ชาวบ้านบางส่วนทนกลิ่นหอมไม่ไหวก็หามุมนั่งทานเสียแถวนั้น และผัดผักธรรมดาแต่รสชาติของมันทำผู้คนต้องเอ่ยชื่นชมอย่างไม่ขาดสาย เนื่องจากพวกเขาััได้ว่ามันไม่ได้มีเพียงน้ำมันกับเกลือ แต่ก็บอกไม่ได้อีกเช่นกันว่าส่วนประกอบในผัดผักนี้มีสิ่งใดเพิ่มเข้ามา
“อ้ำ อื้อ ๆ ๆ อร่อยมากเป็ผัดผักที่อร่อยมากจริง ๆ”
“กรุบ กรุบ อึก ใช่ข้าเห็นด้วยกับเ้านี่คงเป็ผัดผักที่อร่อยที่สุด เท่าที่ข้าเคยได้กินมาั้แ่เด็กจนถึงตอนนี้เลยล่ะ”
“ทั้งอร่อยและได้เยอะจนเกือบล้นชามคงอิ่มไปตลอดวันแน่”
“พวกเ้าดูสิเนื้อแต่ละชิ้นเล็กเสียที่ไหนกัน ว่าก็ว่าเถิดนะแม้แต่ในเหลาอาหารเนื้อในผัดผักยังไม่ชิ้นใหญ่เช่นนี้”
เ้านายทั้งห้าของจวนและแขกอย่างฟู่หลงเหยียน อยู่ช่วยบ่าวไพร่แจกจ่ายอาหารเหล่านี้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น จึงพากันกลับเข้าไปในจวนเพื่อทานอาหารมื้อเช้าของตนเองบ้าง และช่างน่าเสียดายที่พวกเขาไม่ทันได้เห็นคนจากตระกูลเจียงสายรอง ซึ่งพากันมาแอบดูและได้ยินเสียงชื่นชมสายหลักมากมายจากชาวบ้าน นั่นเป็เหตุให้เกิดการกระตุ้นความริษยาที่ไม่เคยจางหายไป จากห้วงความคิดของเจียงกุ้ยฉินกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง คนที่ทนกับเื่นี้ไม่ได้คงหนีไม่พ้นสองแม่ลูก
“กรี๊ด!! ข้าเกลียดนางเ้าค่ะท่านแม่กลับมาเพียงไม่กี่วัน ก็แย่งความสนใจของผู้คนไปเสียหมดแค่ผัดผักใส่เนื้อ พวกชาวบ้านจะสรรเสริญเยินยออะไรนางนักก็ไม่รู้” เจียงซูลี่เต้นเร่าด้วยความริษยาเสียงชื่นชมฝีมือทำอาหารของอวี้จิ่น
“ลี่เอ๋อร์ลูกแม่ใจเย็น ๆ เอาไว้ก่อนอย่าเพิ่งใช้อารมณ์ มิเช่นนั้นใบหน้าจะเกิดริ้วรอยได้ง่ายนะอีกไม่กี่วันจะได้เจอองค์ชายหกแล้ว ส่วนเื่บ้านนั้นปล่อยให้เป็หน้าที่ของบิดาเ้าก็พอ เชื่อแม่เถิดนะตอนนี้ลูกแม่ดูงดงามยิ่งกว่าคุณหนูตระกูลใหญ่ ๆ เสียอีก”
“ทำไมพวกมันต้องได้รับคำชื่นชมในทางที่ดีอยู่ตลอด ทั้งที่ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะใช่บุตรสาวตัวจริงหรือไม่ ยามที่ครอบครัวข้าทำเช่นนี้กลับไม่มีใครพูดในทางที่ดีสักนิด ฮึ่ย! เจียงซื่อกุ่ยเ้ากับข้าได้เห็นดีกันแน่”
นับวันความรู้สึกนี้ของเจียงกุ้ยฉินยิ่งรุนแรงจนมันกลายมาเป็ความแค้นฝังใจ แต่อนิจจาความแค้นใจครั้งนี้ของเจียงกุ้ยฉินไม่มีทางจัดการได้ เนื่องจากเขาไม่สามารถลงมือกับศัตรูที่เกลียดมากที่สุดอีกต่อไป เมื่อหลักฐานที่ได้ซุกซ่อนเอาไว้อย่างดีถูกฟู่กั๋วกงนำไปถวายต่อฝ่าา จนตนเองต้องได้รับโทษลดขั้นขุนนางไปรับตำแหน่ง เ้าเมืองสุ่ยโจวที่กำลังมีปัญหาเื่การขาดน้ำสำหรับทำการเกษตรของชาวบ้าน ซึ่งตระกูลเจียงสายรองจะต้องไปเมืองสุ่ยโจวทั้งครอบครัว แต่ระหว่างการเดินทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองสุ่ยโจว มีโจรป่าตัวจริงได้ออกมาปิดล้อมเพื่อปล้นขบวนเดินทางอยู่บ่อยครั้ง ไม่มีผู้ใดกล้ารับรองว่าพวกเขาจะปลอดภัยไปตลอดการเดินทาง ส่วนโจรตัวปลอมที่ตามไปยังไม่ทันได้ลงมือก็ต้องกลับเมืองหลวงโดยไม่ต้องออกแรงสักนิด
