แน่นอนว่าเยว่เฟิงเกอย่อมไม่เป็อันใด เมื่อครู่หากไม่ใช่ม่อหลิงหานที่ชิงลงมือก่อน ก็คงจะเป็ตัวนางเองที่ลากม่อหลิงหานออกจากรถม้า
ขณะเดียวกัน เมื่อม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกอไม่ได้รับความใแม้แต่น้อย นอกจากจะรู้สึกโชคดีแล้ว ยังอดสงสัยในตัวเยว่เฟิงเกอมากยิ่งขึ้นไม่ได้
เื่เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็สตรีอื่น คาดว่าคงจะใจนใบหน้าซีดขาวไปแล้ว แต่เยว่เฟิงเกอผู้นี้กลับยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น มิหนำซ้ำใบหน้าน้อยๆ นี้ยังยับย่นน้อยๆ เพียงเพราะรถม้าถูกไฟเผาวอด
ม่อหลิงหานส่งสายตาให้เฉียวเฟย
เฉียวเฟยเข้าใจทันทีจึงวิ่งตามนักแสดงคนนั้นไป
ขณะที่ชิงจื่อเห็นว่าท่านอ๋องและพระชายาต่างไม่เป็ไร นางรีบวิ่งเข้ามาหา
“รถม้าถูกเผาทำลายไปแล้ว ให้เฉียวเฟยไปนำมาอีกคันก็ได้ เ้าอย่าได้ปวดใจอีกต่อไปเลย” ม่อหลิงหานโอบเอวเยว่เฟิงเกอเบาๆ กระซิบปลอบโยนแ่เบาที่ข้างหูนาง
เมื่อครู่จนถึงตอนนี้เยว่เฟิงเกอสนใจเพียงรถม้าที่ถูกเผา นางจึงเพิ่งค้นพบว่าตนถูกม่อหลิงหานโอบเข้าอกเช่นนี้เอง
นางรีบผลักม่อหลิงหานออกไป จะอย่างไรบนถนนก็มีคนมากมายกำลังมองมา นางไม่อยากร่วมแสดงบทสามีภรรยาจอมปลอมรักกันอย่างล้นเหลือกับม่อหลิงหาน
ม่อหลิงหานถูกเยว่เฟิงเกอผลัก สีหน้าปรากฏแววไม่พอใจ
นางเป็อันใดกันแน่ เหตุใดต้องผลักเขาออก?
ในตอนที่ม่อหลิงหานกำลังจะโมโหอยู่นั้น ก็เหลือบเห็นบรรดาราษฎรพากันมาทำความเคารพพวกเขา
“คารวะจั้นอ๋องและพระชายา”
ม่อหลิงหานอาศัยโอกาสนี้โอบเอวเยว่เฟิงเกออีกครั้ง กล่าวกับราษฎรว่า “ลุกขึ้นเถอะ”
เยว่เฟิงเกอไม่กล้าแสดงฤทธิ์เดชต่อหน้าผู้คน นางทำเพียงส่งยิ้มให้บรรดาราษฎรพร้อมโบกมือน้อยๆ “สวัสดีทุกท่าน สวัสดี หึหึ...”
บรรดาราษฎรพากันลุกขึ้น พวกเขาจ้องมองเยว่เฟิงเกอไม่วางตา
ถึงแม้ราษฎรเหล่านี้จะไม่เคยพบพระชายามาก่อน แต่เมื่อครู่แค่พิจารณาจากการที่จั้นอ๋องปกป้องสตรีในอ้อมแขนถึงเพียงนี้ พวกเขาก็รู้แล้วว่าสตรีนางนี้ย่อมต้องเป็พระชายาแน่
พวกเขาต่างเคยได้ยินมาว่า คนแคว้นเสวี่ยอวี้ ไม่ว่าชายหญิงก็ล้วนรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง และเพราะที่นั่นหิมะตกเกือบตลอดปี ผู้คนจึงมีผิวพรรณแห้งหยาบ
ทว่า พระชายาตรงหน้าผู้นี้กลับไม่มีลักษณะเด่นของชาวแคว้นเสวี่ยอวี้แม้แต่น้อย กลับกันนางช่างงดงามเกินใคร
ใบหน้าดวงนั้นขาวใสอิ่มน้ำ ดูอิ่มเอิบเหมือนมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา
ตอนที่ทุกคนกำลังชมความงามของเยว่เฟิงเกออยู่ เฉียวเฟยก็กลับมา
ในมือเขายังลากนักแสดงที่โยนวงล้อไฟเมื่อครู่มาด้วย
ชายคนนั้นถูกเฉียวเฟยพามาตรงหน้าม่อหลิงหาน ก่อนจะถูกเฉียวเฟยเตะเข้าที่ขาจนทรุดลงคุกเข่า
ชายคนนั้นคุกเข่าอยู่ตรงหน้าม่อหลิงหานและเยว่เฟิงเกอด้วยความเ็ปขณะที่ใบหน้ายังคงแสดงความต่อต้านดื้อดึง
“เ้าคือใคร เหตุใดต้องลอบสังหารเปิ่นหวาง? ” เสียงเ็าน่ากลัวของม่อหลิงหานดังขึ้น
ชายคนนั้นหันศีรษะไปอีกทาง ไม่ยินยอมแม้แต่จะมองม่อหลิงหาน และยิ่งไม่อยากตอบคำถามใดของเขา
“ท่านอ๋องถามเ้า เ้าก็ตอบมาตามตรง” เฉียวเฟยใช้เท้าดันหลังชายคนนั้น ทำเอาเขาเกือบหน้าคว่ำลงพื้น
ชายคนนั้นหันศีรษะไปมองเฉียวเฟยด้วยสายตาดุร้าย ยังคงปิดปากเงียบไม่กล่าววาจาใด
ม่อหลิงหานกำลังคิดจะพูดต่อ แต่กลับเป็เยว่เฟิงเกอในอ้อมแขนที่ขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ค้อมตัวลงไปพูดกับชายคนนั้น “เ้าคือชาวเฟิงหลัน ข้าพูดถูกใช่หรือไม่? ”
เยว่เฟิงเกอพูดจบ ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง คิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าชายาจั้นอ๋องจะรู้เร็วเพียงนี้ว่าตัวเขาคือชาวเฟิงหลัน
“เ้ารู้ได้อย่างไร? ” เขาเพิ่งพูดจบ ก็รู้สึกเสียใจทันที
นี่จะไม่เท่ากับเป็การรับสารภาพด้วยตนเองหรือ
ม่อหลิงหานไม่กล่าววาจา เขาเพียงมองเยว่เฟิงเกอพลางขบคิดอยู่ในใจ
ส่วนเฉียวเฟยและชิงจื่อกลับถูกคำพูดของเยว่เฟิงเกอทำเอาตกตะลึงจนเบิกตาโต
อย่างไรเสีย ชายคนนี้ก็มีหน้าตาที่ไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่นๆ ไม่ได้ตัวดำคล้ำเหมือนชาวเฟิงหลัน และไม่มีลักษณะอื่นใดของชาวเฟิงหลันบนร่างของอีกฝ่ายเลย
พระชายาของพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าชายผู้นี้คือชาวเฟิงหลัน?
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าชายคนนี้เอ่ยปากรับสารภาพเองแล้ว นางก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนต้องคาดเดาอีกต่อไป เลิกแขนเสื้อของชายคนนั้น เพื่อให้ทุกคนได้เห็นรอยสักที่ข้อมือเขา
ในความทรงจำ เ้าของร่างเดิมเคยเดินทางไปแคว้นเฟิงหลัน บุรุษที่นั่นจะสักที่ข้อมือ ส่วนสตรีจะสักไว้ที่คอ
รอยสักนี้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษอันเป็ตัวแทนแห่งความรุ่งโรจน์ของเฟิงหลัน
และเ้าของร่างเดิมเคยได้ยินเสด็จพ่อของนางเล่าให้ฟังว่า เดิมทีเฟิงหลันเป็แคว้นที่เข้มแข็งที่สุดบนแผ่นดินใหญ่นี้ เพียงแต่นานวันเข้ากลับค่อยๆ อ่อนแอลง เป็เหตุให้เขตแดนของพวกเขาถูกสามแคว้นใหญ่แย่งชิงไป ทำให้แผ่นดินของพวกเขาเหลือไม่ถึงหนึ่งในสามของแว่นแคว้นอื่น
ถึงแม้ยามนี้ชาวเฟิงหลันจะยังไม่เปลี่ยนแปลงประเพณีนี้ ยังคงสลักลายลงบนข้อมือและคอของตน แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเื่ที่แว่นแคว้นของพวกเขากำลังถดถอยไปได้
และตอนที่ชายคนนี้กำลังแสดงควงกงล้อไฟก็เป็ตอนที่เยว่เฟิงเกอได้บังเอิญเห็นรอยสักที่ข้อมือเขา นางถึงได้รู้ทันทีว่าชายคนนี้คือชาวเฟิงหลัน
เพียงแต่ ยามที่นางพูดเื่รอยสักออกมา ชายคนนั้นก็หัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อเ้ารู้แล้วว่าข้าคือชาวเฟิงหลัน เช่นนั้นจะฆ่าจะแกงก็แล้วแต่เ้าเลย”
ฉับพลันนั้นราษฎรที่ห้อมล้อมได้ยินชายคนนี้ยอมรับว่าตนคือชาวเฟิงหลันต่างก็พากันยกมือขึ้นกล่าวว่า “สังหารเขา สังหารเขา...”
กระนั้นเยว่เฟิงเกอก็อาจจะเป็เพียงคนเดียวที่รู้สึกสงสัย นางไม่สนใจราษฎรเ่าั้ เอ่ยถามชายตรงหน้าต่อ “เหตุใดเ้าต้องลอบปลงพระชนม์จั้นอ๋องด้วย เ้าเป็ชาวเฟิงหลัน มาที่เป่ยชวนนี้ก็เพียงเพื่อจะลอบสังหารท่านอ๋องหรือ? ”
ชายคนนั้นแค่นเสียงเ็า “หึ พวกเ้าคนเป่ยชวนล้วนสมควรตาย หากไม่ใช่เพราะพวกเ้ายึดครองแผ่นดินของชาวเฟิงหลันเราไป ชาวเฟิงหลันจะเป็เช่นทุกวันนี้หรือ ไม่ได้กินอิ่มสวมอาภรณ์อุ่น หากไม่เช่นนั้น ตัวข้านี้ก็คงไม่ต้องเสี่ยงตายมาที่นี่เพื่อสังหารจั้นอ๋องสุนัขผู้นี้หรอก”
เยว่เฟิงเกอได้ยินก็หันศีรษะไปมองม่อหลิงหาน เห็นว่าในสายตาของม่อหลิงหานมีแววดุร้าย แต่เขากลับไม่มีท่าทีตอบรับหรือปฏิเสธ
แสดงว่าสิ่งที่ชายคนนี้พูดคงจะจริง
เนื่องจากสองแคว้นเข้าห้ำหั่นกัน ยามนี้ราษฎรเฟิงหลันกำลังเผชิญกับปัญหาอดอยาก
ทว่า เมื่อเฉียวเฟยได้ยินชายคนนี้กล่าวว่าจั้นอ๋องสุนัข เขาก็โกรธจนเตะหลังชายคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เขาออกแรงมากกว่าเก่า เตะจนชายคนนั้นล้มตัวไปพาดกับพื้น มุมปากมีเืไหลซึม ดูเหมือนคนจะาเ็จากภายใน
กระนั้นก็ยังดีที่ชายคนนี้เองก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ได้ถูกเตะนั้นของเฉียวเฟยกระทบกระเทือนจนตาย
ในตอนนี้เองเยว่เฟิงเกอกำลังคิดว่า สองแคว้นรบกัน คนที่ไม่ควรต้องมารับเคราะห์เลยก็คือราษฎรตาดำๆ เหล่านี้
ในเมื่อวันนี้ต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เช่นนั้นนางจะหาโอกาสคุยเื่นี้กับฮ่องเต้แห่งเป่ยชวนดู
ส่วนชายคนนี้ แน่นอนว่าจะปล่อยเขาไปง่ายๆ ไม่ได้
เยว่เฟิงเกอหมุนกายไปกล่าวกับม่อหลิงหานว่า “ท่านอ๋อง ขังเขาเอาไว้ก่อนเถิดเพคะ เื่ที่เขาลอบปลงพระชนม์พระองค์จะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ แต่เื่นี้ก็เป็ผลจาการะหว่างสองแคว้น หม่อมฉันคิดว่ารอเรากลับมาจากวังหลวงก่อน แล้วค่อยคิดกันต่อว่าจะจัดการอย่างไร พระองค์ทรงคิดเห็นเป็เช่นไรเพคะ? ”
เยว่เฟิงเกอใช้น้ำเสียงเหมือนกำลังปรึกษาหารือ ม่อหลิงหานเองก็เห็นด้วยกับนาง จึงให้เฉียวเฟยจับกุมตัวชายคนนั้นกลับไปที่จวนอ๋องและขังเขาเอาไว้ก่อน
เฉียวเฟยทำตามรับสั่งและไม่นานนักก็ไปนำรถม้าคันใหม่มา
