“องค์ชายใหญ่ พวกเราต้องกำจัดเย่เฟิงคนนี้ให้สิ้นซาก!”
หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไป เซิ่งอ๋องก็เดินมาหาองค์ชายใหญ่จ้าวหยาง ก่อนจะกล่าวเช่นนั้น
“คนผู้นี้มีพร์สูงส่ง ซ้ำยังฆ่าเสด็จน้องได้ ข้าย่อมปล่อยไว้ไม่ได้ เพียงแต่ข้างกายเขามีกงซุนเชียนอยู่ เกรงว่าจะไม่สะดวก” จ้าวหยางกล่าว
“ข้าจัดการเื่นี้เอง ตอนนี้สุขภาพของเสด็จพี่แย่ลงเรื่อย ๆ องค์ชายใหญ่ยังมีธุระที่ต้องจัดการ โปรดหลีกเลี่ยงในการให้เ้ารองนำหน้าด้วย!” เซิ่งอ๋องกล่าว ความแค้นที่เย่เฟิงสังหารบุตรตน เขาจะทนได้อย่างไร มีแต่ต้องลงมือฆ่าเย่เฟิงด้วยมือตัวเองเท่านั้น จึงจะขจัดความแค้นที่อยู่ในใจออกไปได้ ส่วนเสด็จพี่และเ้ารองที่เซิ่งอ๋องพูดถึงก็คือองค์าาแห่งอาณาจักรจ้าวกับองค์ชายรองจ้าวเยี่ย
ซึ่งสุขภาพขององค์าาแห่งอาณาจักรจ้าวย่ำแย่มาหลายปีแล้ว มีข่าวลือว่า องค์าาได้รับาเ็สาหัสจากการสู้รบ แต่ยังรักษาไม่หายดี นี่คือสาเหตุของอาการป่วย แต่บัดนี้อาการกลับทรุดลงเนื่องจากโรคเก่ากำเริบขึ้น ดังนั้นเขาจึงมอบหลาย ๆ เื่ให้องค์ชายทั้งสองจัดการแทน อย่างเช่นงานชุมนุมหวงปั่งในครั้งนี้ องค์าามิอาจมางานได้ จึงมอบให้องค์ชายรองจ้าวเยี่ยจัดการดูแลงาน
ดังนั้นในสถานการณ์ที่องค์าาอยู่ในสภาพย่ำแย่ จ้าวหยางและจ้าวเยี่ยจึงเริ่มต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน ่นี้ทั้งสองคนเริ่มเคลื่อนไหวถี่ขึ้น ทั้งสองต่างพยายามขยายกองกำลังของตนเพื่อทำให้ตนคว้าชัยชนะในศึกนี้
“เสด็จอาไม่ต้องห่วง ด้วยกองกำลังที่พวกเราควบคุมอยู่ เ้ารองเอาชนะข้าไม่ได้หรอก!” จ้าวหยางกล่าวด้วยความมั่นใจ เขาเป็ถึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรจ้าว ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากขุนนางหลายคน จ้าวหยางถือเป็ฝ่ายได้เปรียบในศึกชิงอำนาจนี้
หลังจากเย่เฟิงและกงซุนเชียนออกไป กงซุนเชียนก็ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายมิติ ทั้งสองคนจึงถูกส่งมายังอีกมิติหนึ่ง เย่เฟิงมองไปรอบ ๆ ก่อนจะพบเงาร่างที่คุ้นเคย ซึ่งก็คือหลิงเอ๋อร์ที่อยู่บนเจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่ 9
“ไม่นึกว่าจะเป็เ้า ทำไมเ้ามาอยู่ที่นี่ได้?” เย่เฟิงพบเจอหลิงเอ๋อร์อีกครั้ง จึงรู้สึกแปลกใจเป็อย่างมาก
“ที่นี่คือบ้านของปู่ข้า ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่สิ!” หลิงเอ๋อร์แลบลิ้นใส่เย่เฟิง
“บ้านเ้า? ตกลงที่นี่คือที่ไหน?” เย่เฟิงซักถาม
“เจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่ 9” หลิงเอ๋อร์กล่าว
“ผู้าุโทั้งสองอาศัยอยู่ที่เจดีย์เชื่อมฟ้ามาตลอดเลยหรือ?” เย่เฟิงกล่าว
หญิงสาวนามว่าหลิงเอ๋อร์ผู้นี้ก็คือหลานสาวของกงซุนเชียน
“ใช่ ข้าอาศัยอยู่ในเจดีย์เชื่อมฟ้านี้มาเกือบร้อยปีแล้ว นอกจากออกไปฝึกข้างนอกแล้ว ก็อยู่แต่ในนี้มาตลอด” กงซุนเชียนกล่าวพลางยิ้ม
“ท่านปู่ก็คือผู้เฝ้าเจดีย์เชื่อมฟ้าแห่งนี้ เขาเป็คนดูแลการทดสอบบุกฝ่าเจดีย์เชื่อมฟ้าในงานชุมนุมหวงปั่งของทุกปี” หลิงเอ๋อร์กล่าวพร้อมยืดอกด้วยความมั่นใจ
“ที่แท้ผู้าุโก็คือผู้เฝ้าเจดีย์เชื่อมฟ้าแห่งนี้ ท่านอยู่มานานถึงเพียงนี้ ผู้เยาว์เลื่อมใสยิ่งนัก” เย่เฟิงกล่าวพร้อมคำนับกงซุนเชียน เขาซาบซึ้งใจมากที่กงซุนเชียนช่วยเขาไว้
“เ้าไม่ต้องมาประจบข้าเลย หลานสาวคนนี้ของข้ารอเ้ามาตลอดเลยนะ!” กงซุนเชียนกล่าวพลางยิ้มจาง ๆ ทั้งยังเหลือบมองกงซุนหลิงเอ๋อร์แวบหนึ่งด้วยสายตาอ่อนโยน
“ท่านปู่ ท่านพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว ข้าน่ะหรือรอเขา?” กงซุนหลิงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวขึ้นพร้อมมองบน นางเพียงแค่สงสัยในพร์ของเย่เฟิงก็เท่านั้น ไม่ได้รอเย่เฟิงเสียหน่อย
“ข้าพูดจาเหลวไหลตรงไหน เมื่อครู่เ้าเด็กคนนี้อยู่ในอันตราย เ้าก็ดูตึงเครียดไม่ใช่หรือ!” กงซุนเชียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ลักษณะเช่นนั้นไม่เหมือนผู้แข็งแกร่งอายุร้อยกว่าปี แต่เหมือนวัยรุ่นที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเสียมากกว่า
“ข้าแค่กลัวเขาจะถูกฆ่าตาย แล้วท่านปู่ก็คงไม่ได้ศิษย์ที่ดี ๆ เช่นนี้” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทีขึงขัง พร้อมเอามือเท้าเอว
“ฮ่า ๆ ๆ”
กงซุนเชียนได้ยินคำพูดของกงซุนหลิงเอ๋อร์ก็ะเิหัวเราะ จากนั้นหันไปมองเย่เฟิง ก่อนจะกล่าวว่า “เ้าหนู สิ่งที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ที่เวทีประลองเป็ความจริง เ้ายินดีเป็ศิษย์ข้าหรือไม่?”
“ผู้เยาว์มีอะไรดี ผู้าุโถึงเอ็นดู?” เย่เฟิงกล่าว เขาไม่คิดว่ากงซุนเชียนอยากรับเขาเป็ศิษย์
“เพราะเ้ามีคุณสมบัติไง” กงซุนเชียนกล่าว จากนั้นเขาเผยรอยยิ้มจาง ๆ แต่รอยยิ้มนี้คล้ายยิ้มหยันตัวเอง ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ช่างเถอะ หากเ้าไม่ยินดี เ้ากับข้าไม่เป็อาจารย์ศิษย์ก็ไม่เป็ไร แต่หากเ้าเป็ลูกเขยข้า เช่นนั้นคงดีไม่น้อย”
“เอ่อ...” เย่เฟิงถึงกับพูดไม่ออก พร้อมรอยหยักสองสามเส้นสีดำปรากฏบนหน้าผาก เขาเริ่มรู้สึกว่าผู้าุโกงซุนเชียนมีนิสัยขี้เล่นและพูดจาตรงไปตรงมา นี่ทำให้กงซุนหลิงเอ๋อร์มองค้อนท่านปู่ของตนไปหนึ่งที พร้อมใบหน้าแดงระเรื่อ
“ไม่เล่นแล้วก็ได้ ที่ข้าพาเ้ามาที่นี่ ประการแรกเพื่อให้เ้ารอดจากเงื้อมมือคนพวกนั้นที่้าจัดการเ้า ประการที่สองคืออยากขัดเกลาเ้า” กงซุนเชียนกล่าวพลางยิ้ม
“ขอบพระคุณผู้าุโ!” เย่เฟิงโค้งคำนับกงซุนเชียน จากนั้นเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าการขัดเกลาที่ท่านพูดถึงคืออะไรหรือ?”
“แน่นอนว่าต้องเป็การขัดเกลาพลังต่อสู้ที่เ้าใช้ฝ่าด่านในเจดีย์เชื่อมฟ้ายังไงเล่า”
กงซุนเชียนเผยรอยยิ้มลึกลับ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ข้าจะให้เวลาเ้าสามวัน เมื่อเ้าทะลวงขั้นรวมชี่ที่ 9 ได้แล้วค่อยว่ากันอีกที”
เย่เฟิงรู้สึกสนใจ การฝ่าด่านในเจดีย์เชื่อมฟ้าสามารถขัดเกลาพลังต่อสู้ได้อย่างดีเยี่ยม ในตอนที่เย่เฟิงบุกฝ่าเจดีย์เชื่อมฟ้า เขาห่วงแค่ว่าตัวเองจะหาทางออกไม่ได้ แต่ก็ผ่านมาด้วยดี ทั้งยังขัดเกลาพลังต่อสู้ของเขาได้อีกด้วย
เพียงแต่ตอนได้ยินคำพูดของกงซุนเชียน เย่เฟิงก็เผยสีหน้าไม่มั่นใจ “ทะลวงขั้นรวมชี่ที่ 9 ภายในสามวันจะไม่น้อยไปหน่อยหรือ?”
“ไม่น้อย ไม่น้อยเลย ด้วยพร์ของเ้า หากทำเื่แค่นี้ไม่ได้ ก็น่าเสียดายที่ข้ากับนางหนูหลิงเอ๋อร์เอ็นดูเ้า” กงซุนเชียนกล่าว แต่เหมือนเขากำลังบอกว่า เวลาสามวันที่ให้เ้ามันมากพอแล้ว
“ก็ได้ เช่นนั้นผู้เยาว์จะพยายามอย่างสุดความสามารถ” เย่เฟิงกล่าว จากนั้นตามกงซุนหลิงเอ๋อร์มาถึงห้องฝึก
“ต่อไปเ้าก็ฝึกที่นี่ จำไว้ เ้ามีเวลาแค่สามวันเท่านั้น” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าว พอกล่าวจบก็แลบลิ้นใส่เย่เฟิง ก่อนจะเดินออกจากห้องฝึกไป
“ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก!”
ในห้องฝึกเหลือเย่เฟิงเพียงคนเดียว เขาได้กลิ่นหอมเย้ายวนก็อดพูดกับตัวเองไม่ได้ จำต้องบอกว่าภายใต้รูปลักษณ์ที่บริสุทธิ์ของกงซุนหลิงเอ๋อร์ กลับมีเสน่ห์ร้อนแรงที่ดึงดูดบุรุษได้ไม่น้อย จนเกิดความปรารถนาที่อยากจะพิชิตนางขึ้นมา
“สามวันทะลวงขั้นรวมชี่ที่ 9 ข้าต้องพยายามแล้วละ!” เย่เฟิงพึมพำ จากนั้นเดินไปนั่งขัดสมาธิบนแท่นหินที่อยู่ใจกลางห้องฝึกและเริ่มโคจรเก้าวัชรหุนหยวน
หยวนชี่ฟ้าดินในเจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่ 9 เข้มข้นกว่าของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนมาก นั่นหมายความว่าภารกิจนี้จะดำเนินไปอย่างราบรื่น
เย่เฟิงไม่รีบดูดซับหยวนชี่ฟ้าดิน แต่ใช้เก้าวัชรหุนหยวนหลอมละลายพลังงานที่หลงเหลือจากการกลืนกินพลเหล็กกล้า ขั้นตอนนี้กินเวลาไปหนึ่งวัน เมื่อเย่เฟิงหลอมละลายพลังงานที่ได้มาจากกลืนกินพลเหล็กกล้าจนเสร็จสิ้น ตบะของเขาก็ถึงจุดสูงสุดของขั้นรวมชี่ที่ 8 เหลืออีกเพียงก้าวก็จะถึงขั้นรวมชี่ที่ 9 แล้ว แต่เย่เฟิงกลับไม่รีบร้อน เพราะเขารู้ว่าการทะลวงขั้นพลังจนถึงภาวะคอขวดเป็่เวลาที่สำคัญแค่ไหน
ก่อนหน้านี้เย่เฟิงหลอมผลึกิญญา ชำระล้างร่างกาย ปรับเปลี่ยนร่างกายมาโดยตลอด ทำให้ผ่าน่ภาวะคอขวดในแต่ละขั้นพลังที่ต่ำกว่าขั้นาาไปอย่างราบรื่นในการทะลวง แต่การทะลวงในภาวะคอขวดถือว่าเป็ขั้นตอนที่ซับซ้อน หากเขาลดขั้นตอนที่ซับซ้อนเหล่านี้ จะสามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น แต่หากทำไม่ได้ หลังจากทะลวงขั้นพลัง รากฐานของเขาก็จะไม่มั่นคงและจะมีอันตรายเกิดขึ้น
“วูบ!” ทันใดนั้นไข่มุกที่เย่เฟิงพกติดตัวตลอดลอยออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นมันลอยไปที่เหนือหัวเย่เฟิงเพื่อปลดปล่อยแรงดูดออกมา ก่อนจะเริ่มทำการดูดกลืนหยวนชี่ฟ้าดินในที่แห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเป็เคล็ดวิชาโคจรของเขา ส่งผลให้ทะลวงภาวะคอขวดระหว่างขั้นรวมชี่ที่ 8 และ 9 ทีละนิด
บัดนี้ด้วยพลังจิตอันแกร่งกล้าของเย่เฟิง เขาจึงสามารถควบคุมไข่มุกได้อย่างราบรื่น ต่างจากเมื่อครั้งอดีตที่พลังงานในร่างเย่เฟิงเหือดแห้งขณะไข่มุกดูดซับหยวนชี่ฟ้าดิน ในตอนนี้นั้นเขาสามารถดูดซับอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา
อีกสองวันผ่านไปในพริบตา เย่เฟิงนั้นทะลวงขั้นพลังสำเร็จั้แ่เมื่อคืนวานนี้แล้ว เขาจึงกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 9 เมื่อตบะมั่นคง เขาจึงเก็บไข่มุกกลับไป
เมื่อตบะของเย่เฟิงถูกยกระดับ เขาพบว่าความบรรจุที่อยู่ภายในตัวไข่มุกขยายใหญ่ขึ้น หากเป็เมื่อก่อน ไข่มุกที่ดูดซับหยวนชี่ฟ้าดินอันบริสุทธิ์เช่นนี้ คงถึงจุดอิ่มตัวไปนานแล้ว
แต่บัดนี้เย่เฟิงรู้สึกว่า แม้ดูดซับพลังสองวันเต็ม แต่พลังงานที่เก็บไว้ในตัวไข่มุกยังไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนด้วยซ้ำ
“ไข่มุกพัฒนาตามตบะของข้า บัดนี้หาก้าให้ไข่มุกถึงจุดอิ่มตัวแล้วผลิตหยดน้ำสีเขียว คงไม่ใช่เื่ง่าย ๆ แล้ว” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเอง เขารู้ดีว่าหยดน้ำสีเขียวมีประโยชน์มากเพียงใด ดังนั้นนับจากนี้ไปหากมีโอกาสเมื่อใด เย่เฟิงจะใช้ไข่มุกให้เต็มที่เพื่อที่จะทำให้ไข่มุกผลิตหยดน้ำสีเขียวครั้งที่สามได้ ไม่รู้ว่ามันจะนำพาอะไรมาให้เย่เฟิง ทว่าเย่เฟิงก็คาดหวังเป็อย่างมาก
“ครืน!”
เย่เฟิงเพิ่งเก็บพลังเคล็ดวิชา จู่ ๆ ประตูหินของห้องฝึกก็ถูกเปิดออกช้า ๆ ก่อนสองเงาร่างได้ปรากฏตัวขึ้นต่อสายตาของเย่เฟิง
