เล่มที่ 7 บทที่ 181 ชั้นสาม
“โอ๊ะ ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่หลินเบอร์เจ็ดสิบแปดด้วยที่จะชนะการประมูลได้เหล็กเซียนหลีฮั่วไปในราคาสองแสนหินิญญา…”
หวังซินเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองประกาศเช่นนี้ออกไปกี่ครั้งแล้ว ตอนแรกยังตะลึงเล็กน้อย เพราะราคาที่ประมูลสูงถึงหลักแสนทีเดียว ไม่รู้ว่าสมบัติตระกูลหลินนี่มีมากมายเพียงใดกัน แต่หลังจากนั้นหวังซินก็เริ่มชินชา ‘ช่วยไม่ได้ หากเจอคนที่เอาแต่กระหน่ำซื้ออย่างเดียวตลอดสองชั่วโมงเช่นนี้ ไม่ว่าใคร ก็คงจะต้องชินชาเช่นกัน…’
บรรยากาศภายในชั้นสองเริ่มเข้าสู่ความสงบลงอีกครั้ง…
มีผู้เข้าร่วมหลายคนไม่กล้ายกป้ายเสนอราคาขึ้นมาอีก จึงทำให้คนที่สามารถแข่งราคากับหลินเฟยได้เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น หวังซินเหลือบมองชั่วครู่ คนเหล่านี้ล้วนเป็ศิษย์สายในของสามสำนักใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นคนพวกนี้ก็มีสีหน้าย่ำแย่ไม่น้อย ‘เพราะหลินเฟยน่ากลัวเกินไป ยกป้ายแต่ละครั้งก็เพิ่มราคาเป็เท่าตัว บางครั้งทำเพียงอ้าปากเท่านั้น ก็ทำให้คนอื่นไม่กล้าสู้ราคาแล้ว แน่นอนว่าหินิญญาของทุกคนก็ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ไม่ใช่สิ่งที่หล่นจากฟ้า หากดึงดันแข่งราคาต่อไปจึงไม่ใช่การประมูลแบบปกติ แต่เป็การเสนอราคาเพื่อเอาชนะเสียมากกว่า…’
บรรยากาศตอนนี้จึงกลับเป็เช่นนี้นั่นเอง…
หวังซินรู้สึกใจเสียจนอยากจะร้องไห้จริงๆ หากรู้ว่าจะเป็แบบนี้ เขาคงไม่ไปอัญเชิญเทพแห่งโรคระบาดผู้นี้ขึ้นมาหรอก
ปล่อยให้สร้างความวุ่นวายที่ชั้นแรกยังไม่พออีกหรือ?
ชั้นหนึ่งในขณะนี้ถือว่ารอดตายแล้ว แต่กลับเป็ชั้นสองที่เขาดูแลรับเคราะห์ไปแทน…
‘ไม่ได้ จะนิ่งนอนใจเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด!’
คิดได้ดังนั้นหวังซินก็เรียกศิษย์น้องคนอื่นให้เข้ามาหา ก่อนจะกระซิบบางอย่างข้างหู แล้วจึงเริ่มประกาศสินค้าชิ้นถัดไปทันที
“นี่คือน้ำเต้าชีซา ของชิ้นนี้เกิดจากฝีมือของปรมาจารย์เหยียนซงใน่บั้นปลายชีวิต แถมยังมีมนต์สะกดยี่สิบเก้าสาย หากนำไปบำเพ็ญต่อให้ดีละก็ เกรงว่าวันหน้าอาจจะมีโอกาสพัฒนาเป็ศาสตราวุธเลยทีเดียว และที่สำคัญ ภายในน้ำเต้ายังมีเปลวไฟชีซาแฝงอยู่ด้วย ไม่ว่าจะนำไปหลอมอาวุธหรือหลอมยา ล้วนจะเป็ประโยชน์อย่างมากเช่นกัน หรือแม้แต่ตอนประลองกับผู้อื่น หากปลดปล่อยเปลวไฟชีซาออกมา ต่อให้เป็ผู้บำเพ็ญมิ่งหุนเคราะห์ห้าถึงหกก็ตาม ล้วนต้องคิดหนักทุกราย…”
ที่จริง หวังซินเองก็รู้ดีว่าต่อให้อธิบายไปก็เท่านั้น
เพราะสุดท้ายของชิ้นนี้ก็จะถูกเทพแห่งโรคระบาดประมูลไปอยู่ดี ไม่ว่าของชิ้นนั้นจะเป็อะไรก็ตาม คนผู้นี้ล้วนไม่สนใจเลยสักนิด ขอแค่ประมูลมาได้ก่อนก็พอ…
และก็เป็อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด…
หวังซินเพิ่งจะแจ้งเปิดราคาที่สองแสนไม่ทันไร เทพแห่งโรคระบาดที่นั่งอยู่ด้านล่างก็ยกป้ายขึ้นมาทันที
“สี่แสนหินิญญา”
ทั่วทั้งงานประมูลเงียบสงัดลงอีกครั้ง…
‘บ้าเอ๊ย ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ!’
“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่หลินเบอร์เจ็ดสิบแปดด้วย…” หวังซินขบฟันแน่น พยายามสะกดความรู้สึกที่อยากจะล้มโต๊ะเอาไว้ และในที่สุดจ้าวซื่อไห่ก็ปรากฏตัวออกมา…
จ้าวซื่อไห่เดินมาด้วยสีหน้ามังหมอง ‘เ้าหวังซินนี่มันเป็ยังไงกัน เป็ถึงศิษย์สายในอยู่แนวหน้าแท้ๆ แต่เื่แค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ปกติเห็นว่าเป็คนมีไหวพริบ จึงให้มาดูแลงานประมูลที่ชั้นสอง แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่ามีคนโรคจิตกวาดซื้อของที่ชั้นสองไปจนหมด ทำให้แขกคนอื่นไม่กล้าแข่งราคาเนี่ยนะ’
‘บ้าจริง มีคนให้ราคาเยอะไม่ดีหรือไง?’
เมื่อมาถึง จ้าวซื่อไห่ก็เตรียมจะปริปากต่อว่าหวังซิน แต่จู่ๆก็เหลือบเห็นเงาของใครบางคนที่คุ้นเคยเข้า จากนั้นหนังตาก็เริ่มกระตุกโดยพลัน…
“ศิษย์พี่จ้าวๆ คนนั้นก็คือแขกเบอร์เจ็ดสิบแปดที่ว่านั่นแหละ ั้แ่เข้ามาก็เอาแต่กวาดซื้อทุกอย่าง ไม่ว่าจะยกของอะไรออกมา คนผู้นี้ก็จะให้ราคาเป็สองเท่า เอาแต่กวาดซื้อทุกอย่างตลอดสองชั่วยาม จนแขกที่เหลือไม่มีใครกล้าเข้าร่วมประมูลด้วยแล้ว ศิษย์พี่คิดว่าเราควรเชิญเขาออกไปดีไหม? จริงสิ เห็นคนผู้นี้บอกว่าชื่อหลินเฟย…”
“…” จ้าวซื่อไห่ได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ถอดสีจนขาวซีด ปากก็เริ่มสั่นระริก ‘บ้าไปแล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าคนผู้นี้ชื่อหลินเฟย นอกจากจะรู้ชื่อแล้วเขายังเคยเห็นคนผู้นี้สะบั้นเคราะห์อัสนีเก้าสายกับตาอีกด้วย ตอนนี้เ้าหวังซินยังมีหน้ามาถามอีกว่าต้องเชิญออกไปไหม ทำไมไม่ไปลองถามอันจื่อเจี๋ยจากสำนักโยวิดูล่ะ ดูสิ ว่าจะยังสนับสนุนเ้าอยู่ไหม…’
‘แม้เ้าจะไม่รักตัวกลัวตาย แต่ข้าคนนี้ยังรักชีวิตอยู่นะ…’
หวังซินเห็นท่าทางของจ้าวซื่อไห่ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา จึงเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเป็กังวล
“ศิษย์พี่จ้าว เป็อะไรไปงั้นหรือ?”
จ้าวซื่อไห่ไม่ตอบ แต่กลับจ้องเขม็งไปที่หวังซินราวกับคนที่อยู่เบื้องหน้าไม่ใช่ศิษย์ร่วมสำนัก แต่เป็คนสติวิปลาสคนหนึ่ง เป็เวลาอยู่นานถึงจะเอ่ยเสียงลอดไรฟันออกมา
“เ้าอยากตายหรือไง?”
“หา?” หวังซินได้ยินเช่นนั้นก็ยังคงมึนงง
“กลับไป ก็จงไปถามศิษย์พี่จางเสีย ให้เขาบอกเ้าว่ามีใครบ้างที่เข้าหอว่านเย่วแล้วต้องมารายงาน…”
“…” หวังซินเริ่มตัวขึ้นมาว่าจะต้องเกิดเื่ขึ้นแล้ว หลังจากตะลึงไปชั่วขณะเขาก็รีบกลืนน้ำลายลงไปอย่างหวาดกลัว
“หมายความว่าหลิยเฟยผู้นี้…”
“หลินเฟยผู้นี้ ก็คือคนที่สะบั้นชื่อิจนหัวขาด โดยไม่ได้ชักกระบี่ออกมาแม้แต่น้อย แถมยังเป็คนที่อยู่เื้ัร้านหลอมอาวุธฟานซื่อ ร้านที่ขายกระบี่เพียงวันละสิบเล่ม…”
“…”
เมื่อพูดจบจ้าวซื่อไห่ก็ไม่แยแสหวังซินอีก เขาพยายามเค้นรอยยิ้มฝืดเคืองออกมา ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางหลินเฟย
“คารวะศิษย์พี่หลิน”
“หึหึ ที่แท้ก็เป็ศิษย์น้องจ้าวนี่เอง” พอเห็นจ้าวซื่อไห่ หลินเฟยก็รู้ทันทีว่าถึงเวลาที่จะได้ขึ้นไปชั้นสามแล้ว
“ศิษย์น้องข้ามันไม่รู้เื่ จึงทำให้ศิษย์พี่หลินเสียเวลา ได้โปรดให้อภัยด้วยเถิด ที่ชั้นหนึ่งชั้นสองคงไม่มีอะไรเข้าตาหรอก ไม่รู้ว่าศิษย์พี่หลินสนใจจะขึ้นไปที่ชั้นสามด้วยกันไหม?”
หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็ไม่คิดปฏิเสธ
“เอาสิ…”
เมื่อมีจ้าวซื่อไห่ออกหน้าให้ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นเยอะ เพียงครู่เดียวเขาก็ให้ศิษย์น้องนำบัตรผ่านเข้ามาให้ แถมยังเป็บัตรเข้างานสำหรับแขกชั้นสูงสุดอีกด้วย ทั่วทั้งทะเลอูไห่แห่งนี้ นอกจากบรรดาผู้าุโของสำนักต่างๆแล้ว ก็มีเพียงหวงซี จงหยาง และอีกไม่กี่คนเท่านั้นที่มีบัตรเช่นนี้
หลังจากได้บัตรมาแล้ว ทั้งคู่ก็ผ่านเข้ามาที่ชั้นสาม จ้าวซื่อไห่กระวีกระวาดหาที่ให้หลินเฟยนั่ง ก่อนจะเอ่ยแนะนำกฎการประมูลของชั้นนี้ให้ฟัง หลังจากกล่าวขอขมาอีกครั้ง เขาก็ก้าวขึ้นเวทีไปประกาศสินค้าประมูลชิ้นถัดไป
หลังจากหลินเฟยนั่งลง เขาก็ตั้งหน้าตั้งตารองานประมูลที่กำลังจะเริ่มขึ้น
และในเวลานี้เอง เขาจึงเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเพราะเหตุใดสำนักเชียนซานที่แสนอ่อนแอ ยังสามารถครองตำแหน่งหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งทะเลอูไห่ได้ ต่อให้ตลอดหลายพันปีมานี้ จะไม่เคยมีศิษย์ที่มีพร์ล้ำเลิศปรากฏขึ้นมาเลยก็ตาม แถมเหล่าผู้าุโก็มองการณ์สั้น เห็นแต่ผลประโยชน์เบื้องหน้าเท่านั้น หากไม่มีหอว่านเย่วที่ทำหินิญญาได้มหาศาลละก็ เกรงว่าสำนักเชียนซานคงจะล่มสลายไปนานแล้ว บัดนี้ยังมีหอว่านเย่วอยู่ ต่อให้สำนักเชียนซานอ่อนแอเช่นนี้ไปอีกพันปี ก็เกรงว่าจะไม่ล้มลงง่ายๆ…
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------