มองจากระยะไกลนางก็เห็นชายฉกรรจ์ร้องะโโหวกเหวกอยู่หน้าร้าน ยังมีสตรีวัยกลางคนคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่ำไห้ไปด่าไปไม่หยุด
หลินฟู่อินขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อปัญหาจริงๆ ด้วย
"เหตุใดไม่เห็นคนของภัตตาคารเยว่เค่อเล่า?" หลินฟู่อินถามหลินฟางที่อยู่ด้านหลัง
หลินฟางขยับเข้าใกล้เพื่อมองดูแล้วขยี้ตาอีกครั้ง ไม่มีจริงๆ ด้วย…
"เช่นนี้ไม่ถูกต้อง ตอนที่ข้าไปตามหาเ้าที่ภัตตาคารหลิวจี้ยังมีเสี่ยวเอ้อร์ของภัตตาคารเยว่เค่อคอยนำอยู่เลย" หลินฟางว่า "ใช่แล้ว เขาคือคนที่คราวก่อนขัดขวางเราแล้วโดนต้ายาจัดการกลับไป เ้าเสี่ยวเอ้อร์ตะกละคนนั้น”
“ฮึ ดูท่าจะส่งคนของบ้านที่มีปัญหามาแล้วตัวเองก็หนีกลับกระมัง” หลินฟู่อินเยาะเย้ย คิดจะเดินไปที่ร้านแต่กลับถูกเถ้าแก่หลิวห้ามไว้
หลินฟู่อินหันไปดูก็เห็นว่าเขาส่ายหน้าน้อยๆ
"ไม่ใช่ว่าชายฉกรรจ์เ่าั้ก็เป็คนของบ้านนั้นหรือ?" เถ้าแก่หลิวขมวดคิ้ว เอ่ยถามหลินฟาง
หลินฟางส่ายหัวเช่นกัน "ตอนแรกคนที่มามีเพียงเสี่ยวเอ้อร์กับสตรีวัยกลางคนเพียงไม่กี่คนของบ้านที่มีเื่ ไม่ได้มีคนเยอะเช่นนี้!"
อยู่ๆ คนก็เพิ่มมากขนาดนี้ มาทำอะไรกันแน่? แน่นอนว่าล้วนมาเพื่อสร้างปัญหา
ฮึ่ม ดูไปแล้วเ้าคนสกุลฮวาจะเบื่อชีวิตสบายๆ มีเงินให้ใช้แล้วกระมัง? แล้วคนโผล่มาเช่นนี้ เห็นนางหลินฟู่อินเป็ลูกพลับนิ่มๆ หรืออย่างไร?
บรรยากาศรอบกายหลินฟู่อินเข้มข้นขึ้น ดวงตาเฉียบคมดุดัน
“ฟู่อิน อย่าเพิ่งรีบร้อนเข้าไป” เถ้าแก่หลิวคิดว่าหลินฟู่อินจะตรงเข้าไป จึงได้ยื่นแขนเข้าไปห้ามเอาไว้ “คนพวกนั้นมีแต่ชายฉกรรจ์ ล้วนไม่ใช่คนดีอะไร พวกเ้าสองคนเป็สตรี หากบุ่มบ่ามเข้าไปด้านในแล้วโดนคนพวกนั้นผลักหรือแตะต้องล้วนไม่คุ้มค่า เรารอจนหลิวฉินมาเถอะ”
เถ้าแก่หลิวคิดถึงหลินฟู่อินและหลินฟางจริงๆ ทั้งสองล้วนเป็เด็กผู้หญิงตัวเล็กบอบบาง หากถูกเอาเปรียบจากพวกชายป่าเถื่อนหน้าไม่อาย คงได้แต่ร้องไห้เสียใจแล้ว
หลินฟู่อินที่ได้ยินเสียงเตือนของเถ้าแก่หลิวก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
“ถ้าเป็คนของบ้านที่เกิดเื่พาคนในตระกูลมาเองก็คุยกันง่ายหน่อย เห็นแก่พวกเ้าสองคนยังเป็เด็กน้อย คนพวกนั้นก็น่าจะมีเหตุผล แต่หากเป็คนที่ไอ้เฒ่าฮวานั่นตั้งใจเรียกมาเพื่อก่อปัญหา เช่นนั้นพวกมันก็ล้วนไม่มีอะไรดี! อย่างไรก็คุยกันไม่รู้เื่ พวกเ้าควรจะอยู่ห่างๆ เข้าไว้!” เถ้าแก่หลิวเอ่ยสอน
หลินฟู่อินก็คิดเช่นนี้ แต่นางโมโหเ้าเฒ่าสกุลฮวานั่นขึ้นมาแล้วจริงๆ
หลังได้ฟังคำสอนของเถ้าแก่หลิว ใบหน้าของนางก็เห่อร้อน เด็กสาวบอกกับตัวเองว่า ‘อีกหน่อยเวลาเจอเื่เช่นนี้ควรจะต้องใจเย็นๆ ครั้งนี้หากเถ้าแก่หลิวไม่ได้รู้สึกไม่วางใจจนติดตามมาด้วย นางกับหลินฟางคงบุ่มบ่ามเข้าไปกันเองแล้ว เช่นนั้นมีแต่จะทำให้ตัวเองลำบากแน่นอน!’
“นี่ ดูนั่น นั่นหลินฟู่อินใช่หรือไม่?” ทันใดนั้นก็มีเสียงจากชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่มองมายังหลินฟู่อิน พอเห็นนางยืนอยู่กับหลินฟางและเถ้าแก่หลิว ไม่ได้เข้าไปที่ร้านก็ะโออกมา
ได้ยินที่เขาพูด สายตาของเหล่าชายฉกรรจ์ก็พุ่งตามมา
ใครสักคนะโลั่น “ต้องเป็นางแน่ ไม่กล้าเข้ามาเพราะเห็นคนฝั่งเรามีเยอะกระมัง!”
“สุดท้ายก็หลบไม่พ้น ตอนเดินเข้าไปเ้ากับแม่นางฟางหลบข้างหลังข้า คนพวกนี้ล้วนอยู่ในชิงหยางกับหมู่บ้านใกล้ๆ อย่างน้อยก็ต้องเห็นแก่หน้าแก่ๆ ของข้าเหล่าหลิวผู้นี้บ้าง!” ยามนี้เถ้าแก่หลิวมีสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมา
ขณะเดียวกันดวงตาของหลินฟู่อินก็ตวัดไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนประตูที่ใช้หามมา บุรุษผู้นั้นอายุราวสามสิบปี แต่งตัวดีไม่น้อย
ตอนนี้เขากำลังร้องครวญครางจับท้องฝั่งข้างขวาอยู่
บรรดาสตรีวัยกลางคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นรอบๆ ต่างก็แต่งตัวไม่เลว ต้องมาจากบ้านที่มีฐานะดีแน่นอน
เห็นสีหน้าซีดเผือดร่างกายสั่นเทาด้วยความเ็ป หลินฟู่อินก็คิดว่าตัวเขาบังเอิญเป็ผู้ป่วยจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ
เมื่อมีผู้ป่วยอยู่ตรงหน้า นิสัยของผู้เชี่ยวชาญก็ฟื้นขึ้นมาในร่างนางทันที
ไม่คำนึงถึงพวกชายฉกรรจ์ที่มาก่อกวนตรงหน้า นางก้าวเท้าตรงไปทางบุรุษที่นอนอยู่บนบานประตู
หลินฟางและเถ้าแก่หลิวต่างก็ห้ามไม่ทัน
บรรดาเหล่าชายฉกรรจ์ต่างนิ่งอึ้งไปด้วยเช่นกัน เด็กตัวเล็กแค่นี้เห็นบุรุษตัวโตๆ เกรี้ยวกราดอยู่เบื้องหน้า ไม่ใช่ควรหวาดกลัวร่ำไห้หรือ?
นี่มันสถานการณ์อันใดกัน?
กระทั่งคนเ่าั้อยู่เบื้องหน้าแล้วหลินฟู่อินก็ยังไม่หยุดเท้า นางยื่นมือออกไปผลักบุรุษที่ตัวสูงแข็งแรงที่สุดซึ่งยืนขวางทางออกไป
บุรุษที่แข็งแรงที่สุดถูกนางผลักจนเซไปด้านหนึ่งจริงๆ จนต้องยอมให้นางเดินผ่านไป ทุกคนได้แต่หันไปมองตามแผ่นหลังของหลินฟู่อินด้วยสีหน้าสับสน
“นางเด็กน้อยนี่ใจกล้านัก บังอาจมาผลักหัวหน้าเราแล้วจะจากไปง่ายๆ เช่นนี้? หยุดนางเดี๋ยวนี้!” บุรุษผู้หนึ่งรู้สึกตัวก่อนใคร ะโออกมา
พวกเขาล้วนเป็ผู้ใหญ่กันแล้วแต่กลับโดนสตรีตัวน้อยล้อเล่นด้วยเช่นนี้ จะให้เอาหน้าไปไว้ที่ไหนได้อีก?
“ใช่! หยุดนางไว้!” ชายฉกรรจ์อีกคนะโลั่น
หลินฟู่อินถูกบุรุษแข็งแรงหลายคนขวางเอาไว้และเข้ามารุมล้อม
บางคนมีสายตาแฝงแววหื่นกระหาย ทำท่าคล้ายจะขยับเข้ามา
หลินฟางกรีดร้องหวาดกลัว เถ้าแก่หลิวรีบวิ่งไปหาหลินฟู่อินพร้ะโกน “ข้าคือเ้าของภัตตาคารหลิวจี้ ฟังข้าผู้เฒ่าพูดก่อน…”
แต่ว่าเหล่าชายพวกนั้นกลับเมินเฉยคำพูดของเถ้าแก่หลิว ขยับเข้าล้อมตัวหลินฟู่อินยิ่งกว่าเดิม
หลินฟู่อินเลิกคิ้วมองพวกเขาด้วยสายตาเ็าแล้วพูดเสียงดัง “ข้าบอกพวกเ้าตามตรง ข้าเป็หมอ คนผู้นั้นนอนอยู่บนพื้นเช่นนี้ หากไม่รีบพาไปหาท่านหมอหลี่เพื่อรักษาก็ปล่อยให้ข้าเข้าไปตรวจเสีย! หาไม่หากเขาตายขึ้นมาจริงๆ พวกเ้าคือผู้ที่ทำให้การรักษาล่าช้า ล้วนแต่เป็ฆาตกรสมควรโดนท่านเ้าเมืองตัดสินโทษปะา!”
“เ้าจะหลอกใครกัน? หากเขาตายก็เป็เพราะกินไข่เยี่ยวม้าอะไรนั่นที่เ้าทำนั่นแหละ!” หลังได้ยินคำพูดของหลินฟู่อินแล้ว บุรุษบางคนก็ตะคอกสวน
สิ่งที่หลินฟู่อินกล่าวเป็เพื่อการข่มขู่ก็จริง แต่เน้นไปที่บุรุษที่ยังนอนอยู่บนพื้นกับคนในครอบครัวของเขาต่างหาก
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินคำพูดหลินฟู่อินแล้ว คนในบ้านของชายที่ปวดท้องต่างก็เป็กังวลขึ้นมา แต่ยังไม่กล้าขอให้หลินฟู่อินเข้าไปดูอาการ
“เฮอะ นางหนูนี่ปากเก่งเชียว? ไม่รู้เวลาจูบจะเก่งเหมือนตอนพูดด้วยหรือไม่? ฮ่าๆ…” ชายร่างสูงล่ำบึ้กหัวเราะหยาบโลน ไม่เพียงคำพูดไม่น่าฟังที่ออกมาจากปาก คนยังกระทั่งคิดจะจับคางหลินฟู่อิน
เถ้าแก่หลิวะโลั่นด้วยความโมโห โชคร้ายที่โดนบุรุษเหล่านี้ล้อมเอาไว้จนไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยหลินฟู่อินได้แม้แต่น้อย
หลินฟางคิดจะวิ่งเข้าไปช่วยหลินฟู่อิน ทว่ากลับโดนอีกฝ่ายปรามเอาไว้ด้วยสายตา
นางเลี่ยงมือมันๆ น่ารังเกียจของเขา แย้มยิ้มประหลาดออกมา จากนั้นก็ะโถีบเข้าตรงหว่างขาชายร่างใหญ่ผู้นั้นอย่างรวดเร็วเสียจนตัวนางเองยังมองแทบไม่ทัน
นางเรียนจบจากสายการแพทย์ แน่นอนต้องรู้ว่าส่วนไหนบนร่างกายบุรุษที่บอบบางที่สุด
สิ่งที่นางรังเกียจที่สุดก็คือพวกสุนัขไร้ยางอาย ผู้ชายตัวโตๆ มารังแกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งนี่เรียกว่ามีความสามารถอะไรกัน?
“โอ๊ย!… ของข้า” ชายร่างใหญ่น้ำตาตกในทันที สองมือกุมเป้า เท้าะโโหยงๆ
ลูกน้องของเขาเมื่อเห็นลูกพี่ร้องโหยหวนเ็ปก็พากันอึ้งไป
เมื่อกี้นี้… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
พวกเขาเหมือนเห็นเด็กน้อยที่ใช้มือเดียวบีบก็ตายเตะหัวหน้าหรือ?
แล้วเตะไปที่ไหนกันเล่า?
แค่เห็นที่ที่หัวหน้ากุมอยู่ พวกเขาที่เป็บุรุษตัวโตๆ ต่างก็ยกมือขึ้นกุมเป้า พากันมองหลินฟู่อินด้วยความหนาวเหน็บ
หรือเด็กคนนี้จะเป็ลูกศิษย์ของปรมาจารย์จอมยุทธ์ที่ไหน?
ขณะเดียวกันหลินฟู่อินก็งุนงงไปเล็กน้อย เมื่อครู่ตอนนางโมโห ดูเหมือนจะมีกระแสอุ่นๆ ไหลผ่านจุดตันเถียนของตัวเอง พอก้าวขาออกไปก็รวดเร็วยิ่งนัก…
จริงๆ แล้วนางมีพร์ด้านวิทยายุทธด้วยหรือ? หรือแค่เพราะร่างกายเคลื่อนไหวไปเองเพราะความโกรธ?
“นี่ นางเด็กหน้าเหม็น ทำอาหารฆ่าคนยังไม่พอ ใครจะรู้ตอนนี้ยังอยากฆ่าพวกเราอีก! พวกเราอย่าไปกลัว ลงมือพร้อมกันเลย ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราจะจัดการนางเด็กนี่ไม่ได้!” คนเป็หัวหน้าที่เพิ่งจะะโโหยงๆ เมื่อครู่ตอนนี้โมโหเสียจนเส้นเืปูดโปน ะโสั่งดังลั่น
เมื่อเห็นว่าลูกเตะของนางทำให้อีกฝ่ายตกตะลึงได้ หลินฟู่อินก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย จึงได้ชี้หน้าคนเ่าั้แล้วพูดเสียงเย็น “พวกเ้าจะหาใคร พวกเ้าก็รู้ดีแก่ใจว่าใครให้เ้ามาที่นี่? คิดว่าข้า หลินฟู่อินผู้นี้หลอกง่ายหรืออย่างไร? ต่อให้ท่านลุงผู้นั้นจะปวดท้องหลังจากกินไข่ดอกสนเข้าไป คนก็กินที่ภัตตาคารเยว่เค่อ เกิดความปกติขึ้นมาภัตตาคารนั้นย่อมต้องเป็คนรับผิดชอบ แล้วเหตุใดความผิดถึงมาตกใส่หัวข้าได้? ที่เ้าพล่ามออกมานี่ไม่รู้ตัวกันบ้างหรืออย่างไร?”
“เพ้ย? ไม่ให้หาเ้าแล้วจะหาใคร? ไข่พวกนั้นมีฟองไหนบ้างที่เ้าไม่ได้ทำ?”
“ข้าทำไข่เยี่ยวม้ากับไข่ดอกสน เหตุใดทุกคนกินเข้าไปแล้วไม่เป็ไร? พอมีคนกินเข้าไปแล้วเกิดเื่กลับเป็ที่ภัตตาคารเยว่เค่อ? ไม่ได้แปลว่าอาหารที่ภัตตาคารเยว่เค่อทำมีปัญหาหรืออย่างไร? เหตุใดคนที่กินแล้วมีปัญหาถึงมีแค่ที่ภัตตาคารเยว่เค่อ ภัตตาคารอื่นกลับไม่เกิดเื่?” หลินฟู่อินยิ้มหยัน ถามกลับไม่ยั้ง
เหล่าชายฉกรรจ์ล้วนไม่สนเหตุผล ทว่าครอบครัวของบุรุษที่นอนอยู่บนพื้นกลับเริ่มใช้ความคิด
หลินฟู่อินกล่าวถูกต้องแล้ว เพราะสิ่งที่พวกตนกินในภัตตาคารเยว่เค่อยังมีอีกหลายอย่างนอกจากไข่ดอกสน แล้วเหตุใดทางร้านจึงได้บอกว่าปัญหาอยู่ที่ไข่?
มิใช่เพราะภัตตาคารเยว่เค่อไม่คิดอยากรับผิดชอบจึงได้จงใจกล่าวว่าปัญหามาจากไข่ จากนั้นก็สั่งให้คนช่วยกันหามคนป่วยมาหาแม่นางน้อยผู้นี้หรือ?
“พวกเราไม่สน พวกเราไม่รู้ มีคนบอกว่านายท่านผู้นี้กินไข่ที่เ้าทำแล้วปวดท้อง แน่นอนว่าไข่เ้าต้องมีปัญหา! พวกเราจึงมาที่นี่ จะไม่มีปัญหาได้อย่างไร!” ชายร่างใหญ่ที่โดนหลินฟู่อินเตะยังคงโต้เถียงไม่หยุด
เขาอยากพุ่งใส่นาง ทว่านึกถึงความเ็ปรวดร้าวเมื่อครู่แล้วก็ไม่กล้าถลาเข้าไป
พอส่งสัญญาณทางสายตาให้กับลูกน้องที่รายล้อมหลินฟู่อินอยู่ คนขี้ขลาดพวกนี้ก็เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาเขา…
คนพวกนี้ก็ดีแต่ร้องรับเป็ลูกคู่เท่านั้น
หลินฟู่อินพูดด้วยน้ำเสียงเ็า “ข้าหลินฟู่อินไม่มีเื่จะพูดกับพวกเ้าที่โดนจ้างมาก่อปัญหา!” จากนั้นก็มองบุรุษที่นอนกุมท้องกลิ้งไปมาแล้วร้องถาม “ข้าขอถามท่าน ที่เจ็บเกร็งรุนแรงคือ่ท้องด้านขวาบนใช่หรือไม่?”
“อา… ใช่ ปวดจนไส้แทบขาดแล้ว…” บุรุษที่ได้ยินหลินฟู่อินถามตอบออกมาทันที ก่อนจะตวาดใส่สตรีที่คุกเข่าอยู่ข้างเขา “เ้ายังคุกเข่าอยู่ที่นี่อีก ไม่ได้ยินที่นางบอกว่าเป็หมอหรืออย่างไร? รีบไปเชิญนางมารักษานายท่านผู้นี้เสีย!”
“แต่… แต่นางเป็เพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นนะเ้าคะ จะเชื่อได้อย่างไรว่าเป็หมอจริงๆ?” หนึ่งในสตรีที่มีร่างผอมเอ่ยถามละล่ำละลัก
ยามนี้เขาทนเจ็บไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงได้ตวาด “นาง… นางอยู่ไกลเพียงนั้นยังเห็นว่าเจ็บตรงไหน ยังรู้อีกว่าเจ็บอย่างไร ไม่เห็นหรือ? ไปพานางมาเร็ว…”
“โอ ทราบแล้วเ้าค่ะ!” หญิงสาวอีกคนที่อ่อนวัยกว่ารีบพยักหน้าและลุกขึ้น ก่อนจะะโใส่ชายฉกรรจ์เ่าั้ “พี่ชายทั้งหลาย โปรดให้แม่นางน้อยผู้นั้นเข้ามาดูอาการนายท่านเถอะ นายท่านเจ็บจนจะตายอยู่แล้ว!”
“โอ พี่สาวท่านนี้ เห็นๆ กันอยู่ว่าอาหารของนางไม่ดี นายท่านของท่านกินเข้าไปจนกลายเป็เช่นนี้ ท่านยังวางใจให้นางดูอาการอยู่อีกหรือ?”
“เหลวไหล! วันนี้ข้ากินอาหารในภัตตาคารเยว่เค่อเข้าไปตั้งมาก ใครจะไปรู้เล่าว่าจานไหนผิดสำแดง?” ชายที่เ็ปอยู่ตวาดเสียงดัง และจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “แม่นางน้อย เ้ารีบมาดูข้าอาการที ข้าปวดจะตายแล้ว!”
บุรุษร่างใหญ่โตทั้งหลายเข้ามาขวางไม่ให้หลินฟู่อินขยับ
“ช่างหัวไอ้โง่พวกนี้ซะ! พวกมันไม่ใช่คนป่วย มาเถอะ…” ชายคนนั้นแทบจะคำราม “ไม่รู้ไอ้โง่บัดซบตัวไหนไปเรียกพวกไร้สมองไม่มีประโยชน์พวกนี้มา นี่ไม่ใช่จะฆ่าข้าหรืออย่างไร? จะหามข้าไปที่โรงหมอของหมอหลี่ข้าไม่ว่า แต่กลับหามข้ามาที่นี่ ทั้งลมพัด ทั้งหนาว แถมยังเจ็บแทบตายแล้ว ข้าต้องลำบากแค่ไหนกัน!”
ตอนท้ายเขาร่ำไห้ออกมาแล้ว หลินฟู่อินเห็นแล้วก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
ผู้ชายคนนี้นี่ น่ารักจริงๆ
เขาทั้งด่าทอและร่ำไห้ ทำเอาชายฉกรรจ์ทั้งหลายอึ้งกันไปหมด
พวกมันทุกคนพากันหันมาชี้หน้าชายหนุ่มผู้นั้น ทว่ากลับพูดอะไรไม่ได้
อีกฝ่ายคือคนที่กำลังเ็ปจนจะตายแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะเลวร้ายแค่ไหนก็ไม่กล้าไปแตะต้อง เกิดไปแตะอีกฝ่ายแล้วตายเข้าจริงๆ ต่อให้ะโลงแม่น้ำเหลืองพวกเขาก็ล้างตัวเองไม่สะอาดแล้ว
“หวงเหล่าซาน พาคนตัวใหญ่ๆ มารุมเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งเช่นนี้ พวกเ้า้าทำอะไรกันแน่?” ทันใดนั้นเอง หลิวฉินก็พาคนกลุ่มหนึ่งติดตามมาจนถึง พอเห็นหลินฟู่อินโดนผู้ชายตัวสูงใหญ่ห้าหกคนล้อมอยู่ ภายในใจก็ลุกโชน
เขาสวมชุดสีดำยืนกอดอก มองบุรุษร่างใหญ่แข็งแรงที่มีนามว่าหวงเหล่าซาน
เขาคือบุรุษที่เป็หัวหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้ คนที่ถูกหลินฟู่อินเตะเข้าหว่างขานั่นเอง
ทันทีที่เขาหันมาเจอหลิวฉินซึ่งเป็เหมือนดาวหายนะของพวกตน สีหน้าก็พลันซีดเผือด
“ไอหยา คุณชายหลิว เหตุใด? เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?” หวงเหล่าซานตัวสั่นระริกเดินเข้าหาหลิวฉินที่ยามนี้สีหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “่นี้ท่านคงวุ่นๆ กับเื่การค้าขายหาเงินกระมัง จึงไม่ได้พบพวกเราพี่น้องเลย วันนี้โชคดียิ่งนักที่ได้พบท่าน”
หลิวฉินตวัดสายตา มองเห็นบิดาของตนถูกล้อมโดยคนพวกนี้ น้ำเสียงยิ่งเยือกเย็น “อะไรกันหวงเหล่าซาน บิดาข้าก็ไปล่วงเกินพวกเ้ากลุ่มนักเลงด้วยหรือ?”
“เอ๊ะ บิดาท่าน? ท่านหมายถึง…” สายตาของหวงเหล่าซานหันไปเห็นเถ้าแก่หลิวก็ยิ้มกระอักกระอ่วนออกมา “โอยๆ ที่แท้ก็เป็เื่เข้าใจผิดกันทั้งนั้น คนของข้าไม่รู้ความ เอ้าๆ ยังไม่รีบแยกย้ายกันอีก แยกๆ อย่าไปล้อมนายท่านเช่นนั้น…”
มุมปากของหลิวฉินกระตุก ค่อยๆ หันไปมองกลุ่มบุรุษในชุดสีดำที่ติดตามมา “พี่น้องข้า ช่วยตอบสักหน่อย หวงเหล่าซานผู้นี้เอาความกล้ามาจากที่ใดกัน?”
“ไม่เจอกันเสียหลายวัน ใจกล้าขึ้นไม่น้อย” บุรุษชุดดำคนหนึ่งแค่นเสียงก่อนจะพูด “พี่น้องทั้งหลาย ในเมื่อหวงเหล่าซานเป็ฝ่ายผิดกฎก่อน เราควรจะทำอย่างไรกันดี?”
“กระทืบ!” กลุ่มคนนับสิบะโออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน
“เอาตัวไป อย่าให้ใครเห็น!” หลิวฉินแค่นอย่างเ็า กลุ่มคนที่สวมชุดดำพากันเร่งฝีเท้าเข้าลงมืออย่างรวดเร็วและรุนแรง
เพียงอึดใจ พวกผู้ชายร่างโตก็ถูกลากตัวออกไปไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
“ฟู่อิน เ้าไหวหรือไม่? โดนทำอะไรหรือไม่?” หลิวฉินตรงไปที่หลินฟู่อิน สีหน้าและแววตาอ่อนลง เขายื่นมือออกมาช่วยพยุงตัวหลินฟู่อินโดยไม่ได้โอบกอดนาง
หลินฟู่อินรู้สึกถึงความกังวลของเขา ในใจจึงอบอุ่นขึ้นมา “ขอบคุณเ้าค่ะ ข้าไม่เป็ไร”
หลิวฉินส่ายหน้า ท่าทีเสียใจ “ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ติดต่อกับพวกพี่น้องมานาน จึงมาช้า”
“เวลากำลังเหมาะ ไม่ช้าไปเสียหน่อย” หลินฟู่อินหัวเราะ จากนั้นก็มองหลิวฉินแล้วพูด “พี่หลิว ช่วยข้าสืบสวนคนพวกนั้นหน่อยเถอะ ให้พวกนั้นปริปากว่าใครอยู่เื้ั ใครที่เรียกตัวพวกมันมาที่นี่!”
หลิวฉินสีหน้าหม่นครึ้ม ผงกหัวรับ “แน่นอน ถึงเ้าไม่บอกข้าก็จะทำอยู่แล้ว”
“ตามจริง ข้ารู้ว่ามันเป็คนของภัตตาคารเยว่เค่อ แต่เป็ใครยังคงต้องสืบ” หลินฟู่อินกล่าวเสียงเย็น
หลิวฉินพยักหน้า พอเห็นหลินฟู่อินเดินตรงไปหาบุรุษที่นอนอยู่บนบานประตู เขาจึงเดินไปหาบิดาของตนและถามไถ่อาการ
หลินฟู่อินเดินไปหาผู้ป่วย นางนั่งลง ใช้มือกดบริเวณท้องของอีกฝ่าย แล้วถาม “เจ็บหรือไม่?”
นางกดจากใต้บริเวณหน้าท้องด้านซ้ายไปยังหน้าท้องส่วนบนด้านซ้าย และจากบริเวณใต้หน้าท้องด้านขวาไปยังเหนือหน้าท้องด้านขวา และชายผู้นี้ก็ร้องดังลั่นขึ้นทุกที
“กินข้าวไม่กี่คำก็อิ่มใช่หรือไม่?” เห็นอีกฝ่ายยังมีสติอยู่ หลินฟู่อินก็เริ่มถามคำถาม
“ใช่แล้วๆ ข้ากินเพียงไม่กี่คำก็อิ่มแล้ว แต่ข้าก็ยังอยากกินอยู่…”
หลินฟู่อินพยักหน้าและถามต่อ “เวลากินของมันๆ แล้วรู้สึกอึดอัดใช่หรือไม่? อย่างพวกเนื้อติดมันพวกนี้?”
“ใช่ ใช่ ใช่… แต่ข้าก็ยังชอบกินมาก…”
หลินฟู่อินมองเขาแล้วถาม “บางครั้งก็ปวดที่ไหล่ขวาด้วยใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“ใช่ ใช่ ใช่แล้ว…” ดวงตาของชายผู้นี้มองหลินฟู่อินเหมือนเห็นเทพธิดา เขาผงกหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า พูดอย่างเลื่อนลอยว่า “ดูจากที่ไกลเพียงนั้นก็บอกได้ว่าข้าเจ็บที่ใด ยามนี้ยังรู้อาการข้าทั้งหมด… ท่านหมอเทวดา!”
ได้ยินเขาพูดจาเพ้อเจ้อ หลินฟู่อินก็รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย
เขายกมือกุมท้องส่วนบนแล้วหายใจออกแรง นางย่อมรู้ว่าเขาเจ็บตรงไหน
สำหรับอาการอย่างอื่นที่ถามออกไปตอนหลัง นางเดาว่าชายผู้นี้เป็โรคนิ่วในถุงน้ำดี ดังนั้นจึงได้ซักว่ามีอาการของโรคหรือไม่
เขามีอาการของโรคถูกต้องทั้งหมด เป็โรคนิ่วในถุงน้ำดี
โรคร้ายที่ทำให้เ็ปและถึงตายได้…
สมองของหลินฟู่อินหมุนอย่างรวดเร็ว เกรงว่าโรคนี้ต่อให้พาไปหาหมอหลี่ก็รักษาไม่ได้ ดูเหมือนนางจะต้องหาทางรักษาชายผู้นี้เองแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้