เมื่อติงเหว่ยได้ยินเสียงก็อุ้มเด็กน้อยออกมาจากห้องและรีบส่งหลานสาวให้แก่แม่นางหวัง จากนั้นรับกล่องใส่เงินที่ค่อนข้างหนักไปเริ่มนับ ไม่ช้าก็พบว่ามี 875 เหวิน [1] และที่คาดไม่ถึงคือยังมีอีกเกือบ 2 ตำลึงเงิน
นางถามด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมถึงมีตำลึงเงินอยู่ด้วยล่ะ? มีเศรษฐีมาให้สินน้ำใจหรือ?”
“เศรษฐีอะไรกัน?” แม่นางหลี่ว์เพิ่งดื่มน้ำร้อนไปครึ่งชาม เมื่อได้ยินคำพูดแปลกๆ ของบุตรสาวก็หัวเราะและดุนาง “เ้าอย่าพูดจาส่งเดช มีชนชั้นสูงผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ในรถม้าได้กำชับคนใช้ให้มอบสินน้ำใจแก่พวกเรา ข้าไปกล่าวขอบคุณ แต่เขาสุภาพมาก ชนชั้นสูงที่ใจดีเช่นนี้ช่างหายากนัก!”
เหว่ยเอ๋อร์หัวเราะคิกคักแล้วแลบลิ้น ขอเพียงท่านแม่ไม่ถามข้าเกี่ยวกับเื่ที่ผิดสัจจะเป็พอ นางหันหลังวิ่งไปที่ห้องเพื่อหากระดาษฟางและแท่นฝนหมึกที่เตรียมไว้ มาจดบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างละเอียด แล้วสรุปได้ว่า “วันแรกที่เปิดร้าน ครอบครัวของเราทำกำไรได้ตั้ง 254 เหวิน"
“เยอะขนาดนั้นเลยหรือ!”
“นั่นสิ ข้านึกว่าได้สัก 100 เหวินก็ไม่เลวแล้ว พ่อของฝูเอ๋อร์ทำงานช่างไม้ทั้งวันยังหาเงินได้แค่ไม่กี่สิบเหวินเอง”
แม่นางหลิวและแม่นางหวังต่างยิ้มด้วยความดีใจ หากวันหน้าเป็เหมือนวันนี้ พวกเราจะมีรายได้มากกว่าสิบตำลึงเงินต่อเดือนเลยไม่ใช่หรือ แม่นางหลี่ว์ตื่นเต้นมากที่สุด นางรีบคว้ากล่องใส่เงินมากอดไว้แน่น แล้วบ่นพึมพำว่า “เงินมากถึงเพียงนี้ ข้าต้องเอาไปซ่อนไว้ที่ใด หากขโมยมาเล่า…”
ติงเหว่ยได้ยินแล้วยิ้มออกมา ในขณะที่เก็บสมุดบัญชีก็พูดว่า “ท่านแม่ ไม่ใช่ว่าชนชั้นสูงผู้นั้นจะให้สินน้ำใจเราทุกวันเสียหน่อย อันที่จริงแล้ว 2 ตำลึงเงินนี้ไม่ควรนับรวมเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตามวันนี้เพิ่งเริ่มเปิดกิจการ วัตถุดิบที่เราเตรียมไว้ก็ไม่ได้มากมายอะไร ทั้งยังไม่ค่อยเป็ที่รู้จัก ข้าคาดว่าใน่ครึ่งเดือนแรก น่าจะได้ราวๆ 600 เหวินทุกวัน หนึ่งเดือนก็คงได้ประมาณสิบกว่าตำลึงเงินแล้ว”
“นี่เท่ากับรายได้ของครอบครัวเราทั้งปีเลยเชียวนะ” ใบหน้าของแม่นางหลี่ว์เบิกบานด้วยความดีใจ นางเอื้อมมือไปยัดกล่องใส่เงินไว้ในอ้อมแขนของลูกสาว “เ้าเป็คนที่คิดจะเปิดร้าน หาเงินได้แล้วเ้าก็ควรเก็บเอาไว้ พอได้เยอะแล้วจงไปซื้อสินเดิมเตรียมไว้เถอะ!”
เหว่ยเอ๋อร์เหลือบมองใบหน้าพี่สะใภ้ซึ่งมีสีหน้าแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด พวกนางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับความคิดของท่านแม่ ต่อให้ท่านแม่จะลำเอียงอย่างไรก็ไม่ควรลำเอียงชัดเจนเพียงนี้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ติงเหว่ยเองก็สนิทสนมกับแม่นางหลี่ว์แล้ว ไม่ว่าจะเป็อย่างไรต่อไป แม่นางหลี่ว์ก็คือมารดาที่นางรักที่สุด!
“ท่านแม่ ข้ามีความคิดดีๆ จะเสนอ ความจริงแล้วข้าเพียงช่วยเตรียมวัตถุดิบเท่านั้น คนที่เหนื่อยลำบากล้วนเป็ท่านและเหล่าพี่สะใภ้ ในเมื่อเราหาเงินได้แล้วเงินทั้งหมดก็ควรจะเก็บไว้ที่ท่าน พอถึงปีหน้าเราก็ปรับปรุงบ้านใหม่ และซื้อเครื่องประดับให้พี่สะใภ้บ้าง แล้วหลังเก็บเงินให้ต้าเป่าไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนพอแล้ว ค่อยแบ่งเงินมาเตรียมสินเดิมของข้าก็ยังไม่สาย พอถึงตอนนั้นหากพี่สะใภ้ทั้งสองทำใจไม่ได้ ท่านค่อยแอบแบ่งให้ข้าเล็กๆ น้อยๆ ข้ารับรองว่าจะไม่บอกใคร”
คำพูดของนางทั้งดูขี้เล่นและน่าสนใจ ทำให้แม่นางหลิวและแม่นางหวังหัวเราะออกมาและตอบว่า “เอาสิ พอถึงเวลานั้นหากพวกข้าเห็นก็จะไม่บอกใคร มีเ้าเสมือนมีอ่างที่เต็มไปด้วยทองคำ [2] อยู่ในบ้าน ใครจะไปสนใจกล่องใส่เงินแค่นั้นกัน!”
คืนนั้นพี่รองทำงานกลับบ้านเร็ว เมื่อได้ยินว่าที่ร้านมีรายได้เป็กอบเป็กำ [3] ก็ยิ้มไม่หุบ ส่วนพวกผู้หญิงก็เตรียมไส้และแป้งซาลาเปาไปด้วยในขณะที่คุยเล่นกัน
เดิมทีแม่นางหลิวและแม่นางหวังจะปลีกตัวออกไป ทว่าติงเหว่ยกลับจับมือพวกนางไว้แล้วสอนเคล็ดลับในการทำให้เป็เวลานานสองนาน พวกนางทั้งสองรู้สึกซาบซึ้งและรับปากว่าจะไม่มีวันบอกเคล็ดลับนี้ให้แก่ใครเด็ดขาด
แต่ติงเหว่ยกลับไม่ได้สนใจ ก่อนที่นางจะมายังโลกนี้ นางเติบโตมาในร้านน้ำชาของครอบครัว หากนางเตรียมทั้งแป้งและเครื่องเคียงด้วยตนเองก็จะไม่เหมือนที่ขายในร้านอย่างทุกวันนี้ ทว่านางไม่สามารถพูดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้ ทุกวันนี้นางยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับโลกใบนี้เท่าไรนัก ดังนั้นการเก็บไพ่ลับบางอย่างไว้จึงนับเป็เื่จำเป็
……
ว่ากันว่า่งานเทศกาลผู้คนต่างก็มีความสุข สกุลติงเปิดร้านซาลาเปาได้ครึ่งเดือนแล้ว นี่แหละที่เขาเรียกกันว่า “เพียงแค่วันเดียวเงินก็เข้ามาเป็กอบเป็กำ [3]” แม่นางหลี่ว์เห็นด้วยตาตนเองว่าถุงเงินของนางนับวันยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ นางวางแผนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้คนทั้งครอบครัวตอนปีใหม่ ทว่าพอถึง่เวลาสำคัญ อยู่ดีๆ ติงเหว่ยกลับไม่สบาย วันนี้ปวดศีรษะ พรุ่งนี้เป็ไข้ วันต่อมาจู่ๆ ก็เริ่มปวดฟัน ทั้งยังกินอาหารน้อยลงไปกว่าครึ่ง
แม่นางหลี่ว์เห็นแล้ววิตกกังวลเป็อย่างมาก นางไปเผากระดาษและคำนับที่วัดชานเฉินนับไม่ถ้วน ติงเหว่ยจึงพอรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย แม้จะยังดูอิดโรยไปบ้าง แต่ในที่สุดก็พอหลับได้แล้ว แม่นางหลี่ว์ดีใจอย่างคาดไม่ถึง และรีบวิ่งไปบ้านท่านย่าซุนอย่างมีความสุขเพื่อซื้อหน่อไม้ดอง และทอดหมูฝอยให้ติงเหว่ยกินกับโจ๊กโดยเฉพาะ
ติงเหว่ยเริ่มรู้สึกอยากอาหารหลังจากได้กลิ่นเปรี้ยวๆ จึงกินโจ๊กไปถึงสองชาม ทำให้ต้าเป่าถึงกับตบมือ หลังจากกินข้าวเสร็จคนในครอบครัวก็ไปรวมตัวนั่งเล่นคุยกันที่ห้องฝั่งตะวันออก ชายหนุ่มสกุลติงทั้งสามนั่งผูกไม้กวาดอันใหม่อยู่บริเวณหัวเตียง ส่วนแม่นางหลี่ว์พาลูกสาวและลูกสะใภ้ไปนั่งคุยเล่นกันบริเวณปลายเตียง
“ดูเหมือนว่าหมู่บ้านเรากำลังจะมีคนย้ายเข้ามาใหม่ เมื่อตอนกลางวันข้าได้พบกับสะใภ้รองตระกูลเฟิง นางเล่าว่าที่ว่างบริเวณเชิงเขาฝั่งตะวันออกถูกคนซื้อไปแล้ว กำลังจะสร้างบ้านใหม่”
เนื่องจากต้าเป่าเป็เด็กซุกซน เสื้อผ้าและรองเท้าของเขาจึงขาดบ่อยมาก เมื่อแม่นางหลิวมีเวลาก็จะคอยเย็บซ่อมให้ หลังจากที่นางได้ยินท่านแม่พูด นางก็พลั้งปากถามไปว่า “ท่านแม่ เป็ไปได้หรือไม่ที่ท่านป้ารองตระกูลเฟิงจะล้อเล่น หมู่บ้านของเราใช่ว่าจะเป็ทำเลทองเสียเมื่อไร แล้วเหตุใดจึงมีคนย้ายเข้ามาใน่ฤดูหนาวเช่นนี้ล่ะ?”
แม่นางหวังยังยิ้มและพูดว่า "ครั้งที่แล้วป้ารองตระกูลเฟิงยังบอกว่าบนยอดเขาตงชานมีเหรินชานว่าจื่อ [4] ทำให้ทุกครั้งที่ชาวบ้านเห็นเ้าหมาน้อย [5] ที่บ้านนางต่างพากันเรียกว่า ลูกชายของเหรินชานว่าจื่อ!”
เมื่อแม่นางหลี่ว์คิดถึงเื่นั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ นางเอื้อมมือไปหวีผมของลูกสาวแล้วตอบว่า "ข้าได้ยินนางพูดมาจึงเล่าให้ฟัง ต่อให้มีเพื่อนบ้านใหม่จริง อีกทั้งยังสามารถสร้างบ้านหลังใหญ่โตได้ ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ต้องเป็ “ครอบครัวชนชั้นสูงที่ร่ำรวย” อย่างแน่นอน แต่นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราอยู่ดี”
ติงเหว่ยไม่มีความทรงจำของร่างเดิมหลงเหลืออยู่ ดังนั้นปกตินางมักฟังโดยไม่พูดอะไร บางทีอาจเป็เพราะในห้องครัวอากาศอบอุ่นเกินไป นางกอดต้าเป้าที่นั่งจ้ำม่ำอยู่ในอ้อมแขนของนาง รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวมากจนค่อยๆ ผล็อยหลับไป
แม่นางหลี่ว์ม้วนผมให้ลูกสาว เมื่อนางเห็นลูกสาวมีท่าทีเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้วพูดว่า "เ้าเด็กี้เีคนนี้ กินอิ่มแล้วก็นอน และยังไม่กลัวอ้วนอีก"
แม่นางหวังปากหวาน นางรีบพูดต่อว่า “สตรีเช่นน้องหญิงจึงจะโชคดี ไม่แน่ในอนาคตนางอาจแต่งงานกับครอบครัวที่ร่ำรวยเป็ท่านหญิงก็เป็ได้!”
แม่นางหลี่ว์ยิ้มอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น ลูบศีรษะของลูกสาวเบาๆ แล้วพูดว่า "ข้าไม่ได้คาดหวังให้นางแต่งงานกับครอบครัวที่ใหญ่โตหรอก ขอแค่คนในครอบครัวสามีน้อยสักนิด นางจะได้ไม่ต้องเหนื่อยก็พอแล้ว”
“ไม่ต้องห่วงหรอกท่านแม่ น้องหญิงทั้งฉลาดและมีความสามารถมากกว่าเมื่อก่อนมาก ทั้งยังทำให้ชีวิตความเป็อยู่ของครอบครัวเราดีขึ้น นางจะต้องไม่ทำอะไรที่ผิดต่อตนเองอยู่แล้ว” แม่นางหลิวยื่นมือไปอุ้มลูกชายออกมา เพราะกลัวว่าเขาจะทำให้นางตื่น
ผ่านไปสักพักแม่สามีและลูกสะใภ้ก็เริ่มคุยเื่สัพเพเหระกันจนดึกดื่นจึงค่อยแยกย้าย
……
ในขณะที่ท้องฟ้ากำลังแจ่มใส จู่ๆ ด้านนอกก็มีหิมะตกหนักต่อเนื่องนานถึงสามวันสามคืนจึงจะหยุด ทั้งหมู่บ้านและบนูเากลายเป็สีขาวโพลนไกลสุดลูกหูลูกตา เมื่อลมเหนือพัดมาก็หอบเอาเกล็ดหิมะพัดผ่านมาด้วย ร่องรอยของผู้คนและรถม้าบนถนนกงลู่เริ่มน้อยลง ครอบครัวสกุลติงไม่ได้โลภมาก พวกเขารวมตัวและปรึกษากันเพียงไม่กี่ประโยคก็ได้ข้อสรุปว่าจะปิดร้านล่วงหน้า จากนั้นเข้าไปซื้อของต่างๆ ในเมืองเพื่อกลับบ้านและเตรียมตัวฉลองปีใหม่
ติงเหว่ยได้ผ้ามา 2 ผืน ผืนหนึ่งสีชมพูนุ่มนวล อีกผืนหนึ่งสีแดงสดใส เหมาะที่จะทำเสื้อคลุมกับกระโปรงตัวใหม่พอดี เนื่องจากข้างนอกอากาศหนาวมาก นางจึงนั่งเย็บผ้าอยู่ในห้องครัวแทน
แม่นางหลี่ว์และลูกสะใภ้ช่วยกันทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า นึ่งหมั่นโถวและทำเหนียนเกา [6] พวกนางยุ่งจนแทบไม่มีเวลาพักหายใจ ส่วนผู้เฒ่าติงพาลูกชายเดินวนไปหน้าบ้านและหลังบ้าน พวกเขาวางแผนจัดเตรียมกระเื้ัฤดูใบไม้ผลิ และหาวันมงคลเพื่อปรับปรุงห้องฝั่งตะวันตกและตะวันออกให้เป็ห้องกระเื้ัใหญ่ เมื่อถึงตอนนั้นก็จะสร้างยุ้งฉางเพิ่มไว้ตรงมุมบ้านสักหน่อย ซื้อวัวมาทำนา และซื้อลูกหมูสักสองสามตัวมาเลี้ยงเพื่อเก็บไว้ทำอาหารในวันปีใหม่ วันที่ชีวิตรุ่งเรืองเ่าั้จะมาถึงในไม่ช้าแล้ว
เสียงประทัดบอกลาปีเก่าและเสียงหัวเราะต้อนรับปีใหม่ ผ่านไปไม่ทันไรก็ถึงวันส่งท้ายปีเก่า ทุกครัวเรือนต่างจุดประทัด และรวมตัวกันเพื่อกินอาหารค่ำส่งท้ายปีเก่า จากนั้นจึงพากันสวมเสื้อผ้าชุดใหม่และเริ่มกล่าวคำอวยพรปีใหม่แก่ผู้าุโ ญาติ และเพื่อนฝูง ในปีก่อนๆ บ้านตระกูลติงมีเพียงคนหนุ่มสาวเดินไปมาสามคนห้าคน ล้วนเป็รุ่นน้องของพี่ใหญ่กับพี่รองที่สนิทกัน แต่ปีนี้อาจเป็เพราะเื่ที่สกุลติงเปิดร้านแล้วนับวันยิ่งเจริญรุ่งเรือง จึงทำให้ในวันแรกของปีนี้ห้องโถงตระกูลติงกลับเต็มไปด้วยผู้คนมากมายั้แ่ยังไม่ถึงเที่ยงวันเสียแล้ว
แม่นางหลี่ว์หัวเราะคิกคักพลางยกเมล็ดแตงโมและถั่วลิสงที่เตรียมไว้ออกมา รวมถึงยังมีขนมขบเคี้ยวกับลูกอมที่ซื้อจากในเมืองมาแจกจ่ายให้กับแขก พอเจอเด็กๆ คำนับก็แจกอั่งเปาให้คนละห้าหกเหวิน ถึงแม้ว่าจะยุ่งจนต้องเดินไปเดินมาไม่หยุด แต่นางก็ยังเดินหลังตรงพร้อมรอยยิ้มที่สดใสยิ่งขึ้น
ส่วนติงเหว่ย คนในหมู่บ้านต่างเคยได้ยินข่าวลือประหลาดที่ว่านางเข้านอนด้วยความโกรธ พอตื่นมาก็ลืมพ่อแม่ของนางไป สกุลติงจึงถือโอกาสนี้ทำให้เื่กระจ่าง เมื่อพบกับครอบครัวที่มีคนยังไม่ได้หมั้นหมาย พวกเขาจะมีความกระตือรือร้นเป็พิเศษ หลังจากชมรูปร่างหน้าตาว่างดงาม ชมฝีมือในการทำอาหารแล้ว ยังมีบางคนที่เ้าเล่ห์มาถามนางถึงเคล็ดลับในการทำไส้ซาลาเปาให้มีรสชาติอร่อยขนาดนั้นได้อย่างไร
ติงเหว่ยกำลังยุ่งอยู่กับการรับมือ ผ่านไปไม่ทันไรก็เวียนหัวจากความเหนื่อยล้า จึงรีบใช้ข้ออ้างว่าอาการป่วยของตนยังไม่หายดีขอตัวเข้าไปพักผ่อนในห้องก่อน ทว่าแผนการนี้กลับไม่สามารถช่วยนางรับมือได้ทั้งหมด มีเด็กผู้หญิงสองสามคนที่สนิทกับเหว่ยเอ๋อร์ร่างเดิมรวมตัวกันเพื่อมาเล่นกับนาง
กว่าครอบครัวสกุลติงจะส่งแขกทุกคนออกไปจนหมด พวกเขาเหนื่อยจนแทบอาเจียน ทุกคนรีบกินข้าวกลางวันแล้วต่างคนต่างแยกย้ายไปพักผ่อน
บรรยากาศในบ้านเงียบสงบมาก มีเพียงใบหญ้าที่ถูกลมพัดขึ้นมาเป็ครั้งคราว เดิมทีที่กำบังลมบนสันหลังคาห้องฝั่งตะวันตกถูกปกคลุมด้วยหิมะ ทว่าจู่ๆ ที่มุมหนึ่งกลับฉีกขาด มีสายตาที่เ็าและเฉียบแหลมคู่หนึ่งจ้องมองห้องฝั่งตะวันออกที่อยู่ตรงข้ามด้วยความสงสัยอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็ค่อยๆ ซ่อนตัวและหายไป…
ไม่ว่าหน้าหนาวจะเย็นเยือกสักเท่าไร เมื่อพ้นวันที่ 15 เดือน 1 ไปแล้วอากาศจะค่อยๆ อุ่นขึ้น ราวกับไท่หยางกงกง [7] รู้ว่าเขาไม่สามารถเกียจคร้านได้อีกต่อไป เขาลอยตัวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าทุกๆ วัน แผ่กระจายความกระตือรือร้นและความอบอุ่นไปทั่วอาณาบริเวณ ในบางครั้งหิมะบริเวณตีนเขาจะละลายและค่อยๆ รวมตัวกันกลายเป็แม่น้ำสายเล็กๆ ไหลลงมาตามโขดหิน และไหลลงสู่แม่น้ำสายใหญ่ที่บริเวณนอกหมู่บ้าน
พวกเด็กๆ ที่ชอบซุกซนต่างก็ถูกผู้ใหญ่ดึงหูและตักเตือนว่าไม่ให้วิ่งเล่นบนน้ำแข็งอีกต่อไป ดังนั้นพวกเด็กๆ จึงเปลี่ยนวิธีใหม่ พวกเขาเอาหินทุบน้ำแข็ง จากนั้นไปขโมยตาข่ายอย่างดีที่แม่ของพวกเขาซ่อนเอาไว้มาทำเป็แหดักปลา ทำให้ั้แ่หัวจรดท้ายหมู่บ้านมีภาพที่เหล่าฮูหยินกำลังถลึงตาและหยิกเอวลูกๆ เพื่อสั่งสอนให้เห็นเป็ระยะๆ เสียงของพวกนางดังราวจะแยกเวลาของฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิออกจากกัน
……
่ไม่กี่วันที่ผ่านมา บ้านหลังใหม่ที่ค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านกลายเป็หัวข้อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในหมู่ชาวบ้าน ประกอบกับตอนนี้อยู่ใน่ว่างงานก่อนการปลูกพืชผลในฤดูใบไม้ผลิ คนงานในหมู่บ้านต่างถูกจ้างให้ไปทำงานใช้แรงงาน
ส่วนเหล่าสตรีที่อยู่บ้านก็ได้ยินเื่ราวบางส่วนจากผู้เฒ่าผู้แก่มาคนละครึ่ง เวลาพวกนางรวมตัวกันก็จะแบ่งปันข้อมูล และจับเื่ต่างๆ มาผสมปนเปปะติดปะต่อจนเป็เื่ราวของเพื่อนบ้านใหม่ได้
-----------------------------------------
[1] เหวิน 文 หรือ อีแปะ หมายถึง เหรียญทองแดงผสม มีรูตรงกลางไว้ร้อยเชือก โดยเงินจีนสมัยโบราณแบ่งได้ดังนี้ 1 ตำลึงทองเท่ากับ10 ตำลึงเงิน 1 ตำลึงเงินเท่ากับ 1 ก้วนเหรียญทองแดง และ 1 ก้วนเหรียญทองแดงเท่ากับ 100 เหวิน (อีแปะ)
[2] อ่างที่เต็มไปด้วยทองคำ 聚宝盆 หมายถึง สำนวนจีนที่อ้างถึงอ่างสมบัติในตำนานที่เต็มไปด้วยทองคำ เงิน และอัญมณี ซึ่งใช้ได้ไม่มีวันหมดสิ้น ปัจจุบันใช้อุปมาอุปไมยถึงสถานที่อันอุดมสมบูรณ์
[3] เพียงแค่วันเดียว เงินก็เข้ามาเป็กอบเป็กำ 日进斗金 หมายถึง เปรียบเปรยว่ามีชัยชนะและเงินทองไหลมาเทมาตลอดทั้งปีและตลอดไป
[4] เหรินชานว่าจื่อ 人参娃子 หมายถึง ดวงิญญาของเทพแห่งผืนดิน โดยตามความเชื่อของชาวจีน โสมเป็ ‘ยาอายุวัฒนะ’ ผู้คนต่างให้ความเคารพและยกย่องโสมในระดับที่ลงลึกไปถึงจิติญญา มีตำนานเล่าว่าที่หมู่บ้านแถบชนบทแห่งหนึ่งเคยประสบกับเหตุเสียงร้องโหยหวนปริศนาอยู่นานนับแรมเดือน ชาวบ้านจึงรวมตัวกันค้นหา และขุดได้รากไม้หน้าตาคล้ายร่างกายมนุษย์ เสียงร้องนั้นถึงหายไป ชาวบ้านจึงเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาค้นพบคือดวงิญญาของเทพแห่งผืนดิน
[5] เ้าหมาน้อย 狗蛋儿 หมายถึง คำที่คนเฒ่าคนแก่ในชนบทใช้เรียกเด็กๆ ด้วยความเอ็นดู มีที่มาจากความเชื่อว่ายิ่งตั้งชื่อให้เด็ก เด็กก็ยิ่งว่านอนสอนง่าย ทั้งยังทำให้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยและไม่ถูกภูตผีปีศาจรบกวน ขนบธรรมเนียมประเพณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงทัศนคติของคนโบราณที่คาดหวังให้บุตรหลานเจริญรุ่งเรืองและแข็งแรง อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน เ้าหมาน้อย 狗蛋儿 ยังเป็คำแสลงหมายถึงคนที่มีลักษณะนิสัยฉลาดแกมโกง ซุกซน และไม่ซื่อสัตย์ได้อีกด้วย
[6] เหนียนเกา หมายถึง ขนมเข่ง
[7] ไท่หยางกงกง 太阳公公เป็ภาษาในอินเทอร์เน็ตที่ใช้สื่อถึงพระอาทิตย์ในฤดูหนาวเปรียบเสมือนชายชราที่มีรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น ส่วนพระอาทิตย์ในฤดูร้อนจะถูกเรียกว่า เหล่าไท่เจียน 老太监 หมายถึงขันทีเฒ่าผู้ชั่วร้ายที่้าจะแผดเผาคุณจนตาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้