กู้เจิงอยู่ทานอาหารมื้อเที่ยงที่จวนกู้ตอนแรกนางคิดจะไปกินกับซู่เหนียงแต่ท่านพ่อได้ให้คนมาเรียกให้นางไปกินที่เรือนหลัก นางจึงได้แต่ต้องไป
ตอนที่นางเดินออกจากเรือนของซู่เหนียง ก็เห็นเสิ่นเยี่ยนเดินเข้ามาจากประตูใหญ่พอดี
นางส่งเสียงหวานร้องเรียกท่านพี่ เสิ่นเยี่ยนเบนสายตาไปมองเขาเห็นภรรยาวิ่งเข้ามาหาเขาด้วยความดีใจ ด้วยกลัวว่านางจะล้มเขาจึงกางแขนออกไปโดยไม่รู้ตัว
กู้เจิงแปลกใจเล็กน้อย เสิ่นเยี่ยนนึกอยากจะกอดนางตอนนี้น่ะหรือ? งั้นนางจะยอมให้เขากอดนิดหน่อยก็แล้วกันนางวิ่งโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขาอย่างรู้งาน และเงยหน้าถามเขาว่า “ท่านพี่มาได้ยังไงเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยนประคองนางให้ยืนตรงดวงตาดำสนิทกวาดมองใบหน้าแดงระเรื่อของภรรยา “ข้าพบท่านพ่อที่หน้าประตูจวนตวนอ๋อง ท่านพ่อเลยเชิญข้ามากินข้าวที่นี่ด้วยกันต่อไปเ้าอย่าวิ่งแบบนี้อีก มันไม่งาม”
“ก็ข้าดีใจที่ได้เห็นท่านนี่นา”
เสิ่นเยี่ยนอดยิ้มมุมปากไม่ได้ พวกเขาอยู่ด้วยกันทุกวันแล้วก็เพิ่งจะแยกกันเมื่อเช้านี้เอง
ทั้งสองเดินเข้าไปในเรือนหลักด้วยกันในห้องโถงใหญ่ทุกคนมารวมกันที่โต๊ะอาหารหมดแล้วกู้หงหย่งมีสีหน้าทะมึนเมื่อเทียบกับนายหญิงกู้เจิ้งชินเองก็หน้าม่อยคอตกดูเศร้าซึมส่วนน้องสามและน้องสี่ของนางต่างก้มหน้าสลด ทำไมบรรยากาศในห้องอาหารถึงได้ดูแปลกๆแบบนี้ล่ะ
“บุตรเขยใหญ่มาแล้ว รีบมานั่งเร็วเข้า” เมื่อกู้หงหย่งเห็นเสิ่นเยี่ยนเข้ามา สีหน้าเขาก็ค่อยดีขึ้นมาบ้าง
เว่ยซื่อสั่งให้คนรับใช้รินน้ำชาให้ทุกคน นางมองเสิ่นเยี่ยนพลางชวนคุย “ท่านจะเริ่มเข้ารับตำแหน่งตอนไหนหรือ?”
“อีกสองวันข้าจะต้องไปรายงานตัวที่กระทรวงขุนนางก่อนขอรับแล้วจึงจะค่อยเข้าไปรับตำแหน่งในสำนักราชเลขาธิการได้”
“ตอนนี้ท่านก็นับเป็ขุนนางขั้นหกแล้ววันหน้าท่านจะต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน” กู้หงหย่งเอ่ยชมเชยเสิ่นเยี่ยน ก่อนจะเรียกให้แม่เฒ่าซุนรีบยกอาหารเข้ามา
“เ้าค่ะ” แม่เฒ่าซุนรับคำนางรีบออกไปแจ้งทางห้องครัว
กู้เจิงนั่งมองคนอื่นๆ พูดคุยกับเสิ่นเยี่ยนนางครุ่นคิดว่าตัวนางเองก็ควรจะพัฒนาตนเองให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับเขาด้วยเขาเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน นางก็ควรต้องทำตัวให้เหมาะสมกับเขา
จู่ๆ เสิ่นเยี่ยนก็เอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านอ๋องได้เล่าเื่เจิ้งชินให้ข้าฟังเจิ้งชินตอบคำถามได้ดีมาก ฮ่องเต้ก็ทรงประทับใจเขายิ่งนักขอรับท่านอ๋องยังกล่าวอีกว่า ฝ่าาทรง้าให้น้องรองเข้าวังไปเป็เพื่อนร่วมเรียนกับองค์ชายสิบสองขอรับ”
เว่ยซื่อ กู้เจิ้งชิน กู้อิ๋ง และกู้เหยาล้วนจ้องไปที่เสิ่นเยี่ยนอย่างตกตะลึง
กู้หงหย่งถอนหายใจ “เมื่อเช้าใต้เท้าทั้งหลายที่ข้าได้พบ ก็บอกข้าแบบนี้เหมือนกันแต่ใครจะคิดว่าดันเกิดเื่กับกู้เจิ้งชินขึ้นก่อน” เขาพูดพร้อมกำหมัดทุบลงบนโต๊ะ
เว่ยซื่อหน้าถมึงทึงขึ้นอีกครั้งมิน่าเล่าสามีของนางถึงกลับบ้านมาด้วยอาการหงุดหงิด ได้ไปเป็เพื่อนร่วมชั้นเรียนกับองค์ชายถือเป็เื่มีเกียรติอย่างยิ่ง กู้เจิ้งชินจะต้องได้ดีล้ำหน้าผู้อื่นอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้เช่นนี้
เว่ยซื่อก็ยิ่งโมโหฟู่ผิงเซียงมากยิ่งขึ้น
“ทุกคนที่ไปร่วมงานกวีเมื่อวานล้วนเป็เหล่าคุณชายที่มีชื่อเสียงในเยว่เฉิง ตระกูลของพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็ขุนนางในราชสำนักเกรงว่าวันนี้ข่าวคงแพร่สะพัดไปถึงหูของฝ่าาแล้ว”
กู้หงหย่งถลึงตามองบุตรชาย ลูกชายคนนี้เป็คนซื่อตรงจนเกินไปเขาไม่คิดเลยว่าลูกชายคนนี้จะมามีเื่เสียหายเกี่ยวกับผู้หญิงขึ้นได้
กู้เจิ้งชินไหนเลยจะกล้าสบตากับบิดา เขาเองก็โมโหตัวเองเหมือนกัน
แม้อาหารจะถูกนำมาขึ้นโต๊ะแล้วแต่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลับตึงเครียด
หลังจากกินข้าวเที่ยงกันเสร็จ เสิ่นเยี่ยนก็ต้องรีบกลับไปที่ค่ายทหารเขากับกู้เจิงจึงขอตัวกลับ
พอขึ้นรถม้า กู้เจิงก็เข้ามาซุกข้างกายสามีนางคล้องมือกอดแขนเขาไว้พลางยิ้มกริ่ม “ท่านพี่เ้าคะ แสดงว่าต่อไปนี้ข้าก็จะได้เป็ฮูหยินของท่านขุนนางแล้วใช่ไหมเ้าคะพอคนอื่นเห็นข้าก็ต้องทำความเคารพข้าสินะเ้าคะ”
“ในวังวันนี้ได้มีเื่โต้แย้งกันขึ้นระหว่างองค์รัชทายาทกับขุนนางาุโ” เสิ่นเยี่ยนทำเป็ไม่สนใจที่กู้เจิงถาม
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆ นางงงว่าเสิ่นเยี่ยนเล่าเื่ในราชสำนักให้นางฟังทำไมกันนางฟังไปก็ไม่เข้าใจอยู่ดี “แล้วองค์รัชทายาทเถียงชนะไหมเ้าคะ?”
“เ้าว่าองค์รัชทายาทชนะหรือไม่ล่ะ?” เสิ่นเยี่ยนย้อนถามนาง
“แน่นอนสิเ้าคะ ถ้าแพ้คงจะแย่น่าดูเขาเป็ถึงองค์รัชทายาทเชียวนะเ้าคะ” รักบ้านรวมถึงอีกา* กู้เจิงรู้ว่าทั้งตวนอ๋องและเสิ่นเยี่ยนล้วนเป็คนสนิทขององค์รัชทายาท
(*หมายถึงเมื่อรักใครแล้วก็ต้องรักทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้องกับคนคนนั้นด้วย)
“ถ้าองค์รัชทายาทชนะ ก็จะทำให้คนรู้ว่าพระองค์ทรงฉลาดหลักแหลมซึ่งเป็การเปิดเผยความสามารถมากเกินไปแต่ถ้าแพ้ก็จะทำให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอและรังแกได้” เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาแล้วยิ้มบางๆ
เวลาที่สามีของนางยิ้มนั้นดวงตาของเขาจะเปล่งประกายกู้เจิงสามารถมองเห็นเงาของตัวนางสะท้อนอยู่ในดวงตาดำสนิทของเขาได้เลย
กู้เจิงไหนเลยจะเข้าใจเื่การเมืองได้แต่ในเมื่อสามีเล่าให้นางฟัง นางก็จะแสดงความเห็นอันด้อยประสบการณ์ของนางสักหน่อย “ตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้น่าจะลำบากมากกระมังเ้าคะถึงอย่างไรก็ต้องถูกคนจับตามองอยู่แล้วจะเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยความสามารถออกมาแล้วจะทำไมกัน? ถึงอย่างไรเขาก็เป็คนที่อยู่ใต้คนแค่ผู้เดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่นเลยนะเ้าคะ”
เสิ่นเยี่ยนส่งเสียงอืมเบาๆ “ที่ข้าบอกเื่นี้กับเ้า ก็เพื่อให้เ้าเข้าใจการที่เป็ฮูหยินขุนนางของเ้านี้ ก็ไม่ใช่เื่ง่ายทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้สติปัญญาคิดวิเคราะห์ให้มาก”
กู้เจิงพยักหน้าเข้าใจ นางกอดแขนสามีให้แน่นขึ้นอีกนิด “ท่านพี่ พวกเราอย่ายืนผิดฝั่งเด็ดขาดนะเ้าคะข้ายังอยากใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสุขสบายเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนนั่งตัวเกร็ง แขนของเขาเฉียดััเนื้อนุ่มนิ่มอยู่ตลอดเวลา
ถึงอย่างไรเขาก็เป็บุรุษอกสามศอกเขาจึงคิดจะดึงแขนออกมาอย่างมีมารยาท
“ทำอะไรเ้าคะ?” กู้เจิงยิ่งกอดแขนเขาแน่นมากขึ้น
“ปล่อยแขนข้าก่อน” เสิ่นเยี่ยนพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง
“ทำไมหรือเ้าคะ?” กู้เจิงงุนงง ปกติเวลาที่อยู่บนรถม้าด้วยกันเพียงสองต่อสองนางก็มักจะเอนกายพิงเขา และกอดแขนของเขาแบบตอนนี้เขาก็ไม่เคยว่าอะไรแต่ทำไมวันนี้กลับดูผิดปกติ
เสิ่นเยี่ยนทำหน้าเคร่งขรึม เขาก้มหน้ามองหน้าอกของนางแล้วมองไปที่นางอีกครั้ง อีกฝ่ายน่าจะเข้าใจความหมายได้แล้ว
กู้เจิงหน้าแดงก่ำ นางเข้าใจในทันทีแต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนของเขา นางเอ่ยเสียงอ่อนว่า “ท่านพี่ พวกเราเป็สามีภรรยากันนะเ้าคะ”
ดวงตาสีดำขลับของเสิ่นเยี่ยนทอประกายลึกล้ำเขาพยายามยับยั้งชั่งใจมาตลอด แต่กลับมาพังทลายลงเพราะคำพูดเดียวของนาง
“ท่านพี่?” กู้เจิงเอานิ้วชี้จิ้มไหล่เขานางรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปเล็กน้อย
ทันทีที่นางโดนตัวเขา มือขาวของเขาก็คว้าจับคางของนางเอาไว้
เสิ่นเยี่ยนบีบคางให้ปากของนางเผยอออกก่อนจะจุมพิตอย่างรุนแรงจนนางเจ็บปากไปหมดเขาแทะเล็มและก็ขบกัดริมฝีปากของนางทีละนิด
นางยื่นกำปั้นออกไปแล้วเริ่มทุบเขาที่ทำนางเจ็บ เสิ่นเยี่ยนเริ่มได้สติเขาถอนริมฝีปากออกมาแต่ยังคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ
กู้เจิงผลักเขาออก พลางหอบหายใจ “พอแล้วเ้าค่ะ” นางสบเข้ากับดวงตาเจิดจ้าที่เต็มไปด้วยประกายแห่งอารมณ์ลึกล้ำเขาดึงนางเข้ามาปะทะแผงอกอันแข็งแกร่ง ใบหน้าก้มต่ำลากจูบไปตามลำคอขาวผ่องของนาง
มือของเขาลากผ่านคอเสื้อของนาง และเปิดอ้ามันออกเขาลากปลายนิ้วผ่านผิวกายของนาง ทำเอากู้เจิงขนลุกซู่ขึ้นมา
กู้เจิงมองเขาอย่างออดอ้อน นางเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจยิ่ง “ข้าหนาวเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนหยุดมือลง เขาช่วยนางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนจะพูดเสียงแหบแห้งว่า “หลังสิ้นปีนี้เรามาร่วมหลับนอนกันเถอะ”
“ร่วมหลับนอน?” กู้เจิงตกตะลึง ถึงหน้าของนางจะหนาแค่ไหนแต่อยู่ๆ เสิ่นเยี่ยนมาพูดแบบนี้นางอายไปหมดแล้ว “ได้เ้าค่ะ” ถึงจะเขินอายขนาดไหน แต่ถ้าเป็เสิ่นเยี่ยนนั้นนางก็ยินยอม
“ถ้าเ้าอายุสิบเจ็ด ก็น่าจะไม่น้อยแล้ว”
หืม? จริงด้วยถ้าผ่านพ้นปีนี้ไป นางก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว “ที่ท่านไม่ร่วมหลับนอนกับข้ามาตลอดก็เพราะคิดว่าข้ายังเด็กเกินไปหรือเ้าคะ?”
“ก็เ้าพูดเองไม่ใช่หรือ?”
กู้เจิงกะพริบตาปริบๆนางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในคืนวันแต่งงานตนเองเคยพูดประโยคนี้ออกมาจริงๆนางอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ ที่แท้เขาก็เคารพความ้าของนางถึงเพียงนี้นางจึงอดไม่ได้ที่จะใช้สองมือโอบเอวสอบของเขาเอาไว้พลางพิงศีรษะลงบนอกของเขาอย่างปลาบปลื้มยินดี