“เป็เช่นนี้นี่เอง งั้นก็ขอบคุณคุณชายเย่และศิษย์พี่ที่ช่วยข้าไว้” หลันเซียงกล่าวพลางยิ้ม จากนั้นนางมองไปที่ชิงเซียงอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะเผยสีหน้าสงสัยแล้วเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ ท่านเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็ของผู้ชายั้แ่เมื่อไรกัน?”
ชิงเซียงได้ยินเช่นนั้นก็แดงระเรื่อ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “เมื่อครู่สู้กับตะขาบั์ เสื้อผ้าเลยฉีกขาด ทำให้ต้องเปลี่ยนใหม่หมดน่ะ”
“คุณชายเย่ เป็เช่นนี้จริงหรือ?” หลันเซียงกล่าวถามเย่เฟิงด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“อืม” เย่เฟิงกล่าว
“ศิษย์น้อง เ้าดูตรงนั้นสิ” ขณะเดียวกันชิงเซียงชี้นิ้วไปที่บางแห่ง ตรงนั้นมีน้ำหยดลงมาจากหินย้อย ส่วนบนพื้นมีพืชสีเขียวสูงประมาณหนึ่งนิ้ว ซึ่งเกิดจากการหล่อเลี้ยงของน้ำที่มาจากหินย้อย
เย่เฟิงและหลันเซียงหันไปมองทางด้านนั้น ก่อนจะเห็นพืชนั่น หลันเซียงพลันตาเป็ประกายก่อนอุทานออกมาว่า “เป็หญ้าพันิญญา!”
จากนั้นทั้งสามคนเดินไปที่ด้านหน้าหญ้าพันิญญา พบว่ามีทั้งหมดสามต้น ซึ่งแบ่งครบได้สามคนพอดิบพอดี
หญ้าพันิญญาคือสมุนไพรชนิดหนึ่งที่สามารถช่วยผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ยกระดับตบะ มีสรรพคุณที่ดีเยี่ยม แต่หาซื้อได้ยากในตลาดทั่วไป เพราะมันเป็ของล้ำค่า เช่นเดียวกับเย่เฟิงที่อยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 หากใช้หญ้าพันิญญาหนึ่งต้นและหลอมเป็พลังยาทั้งหมด ไม่แน่ว่าอาจทะลวงขั้นยุทธ์แท้ที่ 2 ได้ เห็นชัดว่าสรรพคุณของหญ้าพันิญญานั้นสูงมากเพียงใด
“หญ้าพันิญญาสามต้น พวกเราสามคนพอดีเลย” หลันเซียงกล่าวพลางยิ้ม จากนั้นเดินไปจะหยิบหญ้าพันิญญา
“วูบ!” แต่ขณะนั้นมีแสงเยือกเย็นสายหนึ่งพุ่งมาทางนี้ หลันเซียงรับรู้ได้ถึงอันตรายก็ใจึงชักมือกลับมาทันที ก่อนจะเห็นอาวุธลับชิ้นหนึ่งปักอยู่ที่พื้นใจกลางหญ้าพันิญญาสามต้น
เย่เฟิง ชิงเซียง และหลันเซียงเผยสีหน้าเย็นเยียบ จากนั้นพวกเขาเห็นหลายสิบเงาร่างปรากฏตัวที่ทางเข้า สองสามคนที่อยู่ด้านหน้าสุดก็คือมู่หรงเฟิงและเมิ่งยวี่ฉิงจากหมู่บ้านหานเสวี่ย จั่วเหลิ่งเทียนและเหยาซินเอ๋อร์จากสำนักเทียนเตา ส่วนที่เหลือเป็ผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักหลิงไถ
“หญ้าพันิญญาเป็ของพวกเรา แม่นางหลัน แม่นางชิง ข้าไม่อยากทำให้พวกเ้าลำบาก พวกเ้าออกไปจากที่นี่เสีย แต่คนคนนี้ข้าจะจัดการเอง” มู๋หรงเฟิงกล่าว พร้อมเอาสองมือไพล่หลัง
“เราสามคนเป็คนพบหญ้าพันิญญาก่อน เหตุใดต้องให้พวกเ้าด้วย อีกอย่างเราสามคนก็เป็พันธมิตร ไม่มีทางทิ้งใครคนใดคนหนึ่งไป” หลันเซียงกล่าว พร้อมดวงตาส่องประกายเย็นเยือก นางรู้ว่ามู่หรงเฟิงไม่ได้มาด้วยเจตนาดี
“ต่อให้พวกเ้าเป็คนพบก่อน แต่ตอนนี้ไม่ใช่ของพวกเ้าแล้ว” จั่วเหลิ่งเทียนที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวเสียงเย็น จากนั้นหลายสิบคนเดินไปหาพวกเย่เฟิง พร้อมเหยียดยิ้มอย่างชั่วร้าย
“พวกเ้าจะทำอะไร? คิดจะรังแกกันงั้นหรือ?” ชิงเซียงเผยสีหน้าเย็นะเื พร้อมกวาดตามองผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถ “ก่อนหน้านี้ข้าเตือนพวกเ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมพวกเ้าถึงไม่ฟัง?”
ชิงเซียงบันดาลโทสะ นางรู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถเหล่านี้มีมู่หรงเฟิงและจั่วเหลิ่งเทียนสนับสนุนจึงกล้าปรากฏตัวให้นางเห็นอีกครั้ง
“คนผู้นี้ทำร้ายคนของสำนักหลิงไถข้า สำนักหลิงไถต้องกำจัดคนผู้นี้ ซึ่งคุณชายมู่หรงและคุณชายจั่วเหลิ่งอยู่ที่นี่พอดี เกรงว่าคราวนี้แม่นางชิงจะปกป้องคนผู้นี้ไม่ได้แล้ว!” ผู้เป็หัวหน้าสำนักหลิงไถแสยะยิ้ม มีพวกมู่หรงเฟิงอยู่ที่นี่ พวกเขาจะจัดการชิงเซียงและหลันเซียงอย่างไรก็ได้ และเทียนเซียงหลินก็มิอาจทำอะไรพวกเขาได้เช่นกัน
“ได้ยินหรือยัง? ชิงเซียง หลันเซียง ข้าขอแนะนำให้พวกเ้ารีบออกไปจากที่นี่ซะ!” มู่หรงเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“ฝันไปเถอะ พวกเราอยู่ที่นี่ เ้ามู่หรงเฟิงก็อย่าคิดจะทำร้ายเขา!” ชิงเซียงกล่าวเสียงเย็น
“คนชั้นต่ำ! เ้าจะปกป้องเขาไปทำไม? หรือเ้าสองคนทำเื่อย่างว่าในถ้ำแห่งนี้ไปแล้ว?” มู่หรงเฟิงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเย็นะเืฉับพลัน
“มู่หรงเฟิง เ้ามันไร้ยางอาย!” คำพูดของมู่หรงเฟิงทำให้ชิงเซียงหน้าซีดและอดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพฉากร่างเปลือยเปล่าของตัวเองที่อยู่เบื้องหน้าเย่เฟิง
“เย่เฟิง ยังไม่รีบขอโทษศิษย์พี่ข้าอีก หากได้รับอภัยโทษจากศิษย์พี่ข้า เ้าอาจจะมีชีวิตรอดไปก็ได้นะ!” เมิ่งยวี่ฉิงกล่าวกับเย่เฟิง ในความคิดของนาง หากเย่เฟิงไม่ได้รับอภัยโทษจากมู่หรงเฟิง คราวนี้เขาต้องตายอย่างแน่นอน
“เื่ของข้า ไม่จำเป็ต้องให้แม่นางมากังวลใจ” เย่เฟิงกล่าวกับเมิ่งยวี่ฉิง
“ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี!” เมิ่งยวี่ฉิงได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวด้วยท่าที่ดูแคลน แม้เสียงจะไม่ดัง แต่เย่เฟิงกลับได้ยินอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
“หยุดพล่ามไร้สาระกับพวกเขาได้แล้ว รีบเก็บหญ้าพันิญญานั่นซะ แล้วค่อยจัดการหมอนั่น ส่วนสองคนนี้ข้าจัดการเอง!” จั่วเหลิ่งเทียนกล่าวพลางยิ้มอย่างชั่วร้าย พร้อมกับกวาดตามองเรือนร่างของชิงเซียงและหลันเซียงด้วยสายตากำเริบเสิบสานแฝงด้วยความละโมบ
เหยาซินเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านกับความไร้ยางอายของศิษย์พี่แต่อย่างใด เพียงทำเหมือนไม่ได้ยินก็เท่านั้น กระทั่งสีหน้าบ่งบอกว่าเห็นด้วย
หลันเซียงและชิงเซียงได้ยินคำพูดของจั่วเหลิ่งเทียนก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ พวกนางได้ยินความฉาวโฉ่ของจั่วเหลิ่งเทียนมานานแล้ว ทั้งยังทำสิ่งใดก็ไม่คิดหน้าคิดหลัง และวันนี้พวกนางได้เจอกับตัวเองแล้ว
“ข้าจะให้โอกาสพวกเ้าทำผลงาน จับเด็กนั่นมาให้ข้า หากเขาไม่ยอมก็ฆ่าทิ้งซะ ถึงเวลานั้นข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม!” มู่หรงเฟิงกล่าวกับผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถทั้งสิบคน
“รับทราบ” ผู้เป็หัวหน้ากล่าวพร้อมพยักหน้าให้มู่หรงเฟิง ด้วยฐานะของมู่หรงเฟิง หากคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเขาฆ่าเย่เฟิงสำเร็จจริง ๆ ก็เท่ากับได้แก้แค้น ทั้งยังได้รางวัลจากมู่หรงเฟิงอีก แล้วทำไมจะไม่ลงมือล่ะ?
จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถทั้งสิบคนเหลือบมองหน้ากัน ก่อนจะเข้าล้อมกรอบเย่เฟิง ส่วนมู่หรงเฟิงกับจั่วเหลิ่งเทียนก็จัดการชิงเซียงและหลันเซียง ไม่นานศึกก็เริ่มปะทุขึ้น
“ไอ้หนู เ้าทำร้ายศิษย์สำนักหลิงไถข้า ถึงเวลาตายของเ้าแล้ว” ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถแต่ละคนตาเผยประกายเย็นเยือก
“ตาย!” ดวงตาของเย่เฟิงฉายแววเย็นะเื จากนั้นพลังพวยพุ่งออกจากหอกัเงินประกาย พร้อมกับแสงแห่งาเข้าปกคลุมร่าง ส่องแสงเป็ประกาย นาทีต่อมาเขาแทงหอกที่เรียบง่ายโจมตี แต่กลับอัดแน่นไปด้วยพลังที่น่าทึ่ง
รังสีหอกกลายเป็ลำแสงทำลายล้างพุ่งไปถึงตัวอีกฝ่ายในพริบตา มันทะลุลำคอของเขาโดยที่ยังไม่ทันตอบสนองอะไร เขาอยากส่งเสียงแต่กลับทำไม่ได้ บางทีเขาอาจไม่คิดว่าสักวันตัวเองจะมาตายเช่นนี้
“เป็ไปได้ยังไง ตบะของลูกพี่อยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 คาดไม่ถึงว่าจะถูกเย่เฟิงฆ่าตายด้วยหอกเดียวเช่นนี้ เขาแข็งแกร่งเพียงนี้เชียวหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถคนอื่น ๆ เห็นหัวหน้าถูกเย่เฟิงฆ่าตายต่างก็ตกตะลึง และไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
“พวกเ้าอยากฆ่าข้า เช่นนั้นก็จงเตรียมถูกข้าฆ่าให้ดี ๆ แล้วกัน จงรับความพิโรธจากข้าไปซะ!” เย่เฟิงตาส่องประกายเย็นเยือก ความคิดของเขานั้นเรียบง่ายมาก หากใคร้าฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าคนผู้นั้นเช่นกัน
“วูบ!” เย่เฟิงไม่รอให้ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถลงมือ เขาแทงหอกออกไปด้วยความรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงดังสนั่น มีผู้ฝึกยุทธ์ต้องตายด้วยหอกของเย่เฟิงอีกครั้ง อีกฝ่ายล้มลงไปกองกับพื้นโดยไร้เรี่ยวแรงใด ๆ
“วูบ ฟิ้ว!” ฆ่าสองคน แต่เย่เฟิงกลับไม่หยุดเพียงเท่านี้ เขาแทงหอกอย่างต่อเนื่อง ทุกหอกต้องมีผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถตกตายหนึ่งคน เขาเข่นฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 และ 4 ราวกับปอกกล้วยเข้าปากก็ไม่ปาน
“เ้า... เ้าแข็งแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?”
ในที่สุดภายใต้พลังอันแกร่งกล้าของเย่เฟิง ผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถคนที่เหลือก็ตกตายด้วยหอกของเย่เฟิงภายในเวลาไม่ถึงสิบลมหายใจ แต่มีคนหนึ่งนอนตัวสั่นอยู่บนพื้น เขาไม่เคยเห็นคนที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน ราวกับเทพแห่งความตายก็ไม่ปาน เขากระทั่งสงสัยว่าตบะของเย่เฟิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 จริง ๆ หรือไม่
แม้จะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ทั่วไป แต่ก็ไม่มีทางจัดการผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถทั้งเก้าคนได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“วูบ!” เย่เฟิงไม่ปล่อยให้คนนั้นมีชีวิตรอด โดยแทงหอกไปที่ลำคอของคนนั้นทันที สำหรับเขาแล้ว คนที่้าฆ่าเขาคือคนที่เลือกเป็ศัตรูกับเขา ซึ่งเป็หนทางที่พวกเขาเลือกเอง และต้องรับผิดชอบสิ่งที่จะตามมา
ขณะนั้นเมิ่งยวี่ฉิงและเหยาซินเอ๋อร์ที่ดูอยู่ข้าง ๆ ต่างก็ตกตะลึงจนต้องยกมือปิดปาก โดยเฉพาะเมิ่งยวี่ฉิง นางตื่นใเป็อย่างมาก
ก่อนหน้านี้นางรู้ว่าเย่เฟิงมีพลังต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา สามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ได้ง่าย ๆ แต่เมื่อครู่นี้เย่เฟิงเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ถึงสิบคน ในนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์ที่เป็หัวหน้าซึ่งอยู่จุดสูงสุดของขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงถูกเย่เฟิงฆ่าตายในหนึ่งหอก
นอกจากนี้เย่เฟิงยังฆ่าผู้ฝึกยุทธ์สำนักหลิงไถที่เหลือจนเกลี้ยง ซึ่งใช้เวลาไม่ถึงสิบลมหายใจดีด้วยซ้ำ นี่เกินความคาดหมายของเมิ่งยวี่ฉิงไปมาก ตกลงเย่เฟิงแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่
“สารเลว ไปตายซะ!”
อีกด้านหนึ่งมู่หรงเฟิงย่อมสังเกตเห็นศึกทางด้านเย่เฟิง สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปเย็นเยียบ และ้ารีบจบศึกต่อสู้โดยเร็ว จากนั้นไอเย็นก่อตัวเป็ผลึกน้ำแข็งที่กลางอากาศพวยพุ่งออกจากร่างเขา คล้ายอาวุธลับที่แหลมคม ก่อนจะพุ่งไปที่ชิงเซียงอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาของชิงเซียงเผยประกายเย็นเยือก จากนั้นกวัดแกว่งดาบสีครามอย่างต่อเนื่อง เข้าปะทะกับผลึกน้ำแข็งพวกนั้น ตามมาด้วยเสียงดังตูม
ทว่าผลึกน้ำแข็งพวกนั้นราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด เพิ่งทำลายไปก็มีอันใหม่เข้ามาแทนเรื่อย ๆ พวกมันโจมตีชิงเซียงไม่หยุด จนกระทั่งชิงเซียงหลบไม่ทัน ทำให้โดนผลึกน้ำแข็งสองอันกรีดผ่านแขน เืไหลออกมาไม่หยุด
“พี่มู่หรงอย่าฆ่านางตายละ ข้าจะให้พวกนางบำเรอข้า!” จั่วเหลิ่งเทียนที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวพลางยิ้มชั่วร้าย หลันเซียงก็ถูกเขากำราบเช่นกัน ชิงเซียงและหลันเซียงนั้นอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ส่วนมู่หรงเฟิงและจั่วเหลิ่งเทียนอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 6 ซึ่งสูงกว่าหนึ่งขั้น พลังก็ย่อมแตกต่างกันเป็ธรรมดา
“ปัง!” ตอนที่ผลึกน้ำแข็งสองอันกรีดผ่านแขนชิงเซียง มู่หรงเฟิงก็วาดฝ่ามือน้ำแข็งโจมตีเข้าที่ไหล่ของชิงเซียงทันที ทำให้นางเซถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมน้ำแข็งปกคลุมร่าง
“ดูซิว่าเ้าจะทนได้สักกี่น้ำ?” มู่หรงเฟิงกล่าวด้วยท่าทีเหยียดหยาม จากนั้นเขาควบแน่นฝ่ามือั์ จู่ ๆ อุณหภูมิของที่นี่ก็ลดลงอย่างฉับพลัน ไอเย็นเข้าปกคลุม ห้วงอากาศราวกับถูกแช่แข็ง
ชิงเซียงเผยสีหน้าเย็นเยียบ ดูเหมือนนางจะไร้กำลังต่อต้านการโจมตีนี้ แต่กลับไม่อยากถอยหนี
ตอนที่ชิงเซียงคิดลงมือต่อต้านอีกครั้ง จู่ ๆ มีเงาร่างหนึ่งมาขวางที่ด้านหน้านาง จากนั้นเหวี่ยงหมัดธรรมดา ๆ กระทั่งไร้ซึ่งพลังหยวนเข้าปะทะกับฝ่ามือั์น้ำแข็งของมู่หรงเฟิง ตามมาด้วยเสียงะเิดังกึกก้อง คลื่นทำลายล้างแพร่กระจาย คล้ายมีพายุพัดโหม นาทีนี้น้ำแข็งที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ก็ถูกทำลายด้วยการปะทะครั้งนี้จนหายไปหมด
เย่เฟิงนิ่งไม่ไหวติง แต่มู่หรงเฟิงถูกซัดกระเด็นไปหลายก้าว รู้สึกว่ามีพลังทำลายล้างบุกรุกร่างกายเขา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว
“เ้าฝึกเคล็ดวิชาอะไรกัน เพียงแค่หมัดเดียว แต่จะทรงอานุภาพขนาดนี้ได้อย่างไร?” มู่หรงเฟิงเอ่ยถามเย่เฟิง พร้อมสีหน้าดูไม่ได้
“เ้าสำคัญตัวเองมากเกินไป การจะจัดการคนหยิ่งยโสเช่นเ้า ไยต้องใช้เคล็ดวิชา?” เย่เฟิงเย้ยหยันพร้อมแสยะยิ้มขณะมองมู่หรงเฟิง
