ไม่ไกลจากที่เยวี่ยเจาหรานคาดการณ์ไว้ พอเงาหลังของฮูหยินเยี่ยนเพิ่งจะเลี้ยวไปแค่หัวมุมเดียว สวี่ชิวเยวี่ยก็เก็บรอยยิ้มและเผยแววตาดุร้ายเช่นเดิมออกมา เยวี่ยเจาหรานที่เริ่มจะคุ้นชินกับทักษะอันลึกล้ำของสวี่ชิวเยวี่ยไปพอสมควรแล้วนั้น ในยามนี้จึงไม่แปลกใจสักเท่าไร เขาก้มหน้าลงลูบลายปักเมฆบนแขนเสื้อของตนอย่างสงบนิ่งไม่เอ่ยคำใด เพียงรอให้สวี่ชิวเยวี่ยเป็ฝ่ายพูดออกมา
“เ้าวางใจเถอะ เปี่ยวเกออวิ๋นเฟยไม่ช้าก็เร็วจะต้องเป็ของข้า”
น้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยมของสวี่ชิวเยวี่ยดังขึ้นข้างหูของเยวี่ยเจาหราน ทำเอาเยวี่ยเจาหรานยิ้มกว้าง เผยให้เห็นฟันขาวๆ หลายซี่ที่เขาภาคภูมิใจ แล้วเอ่ยสวนกลับความมั่นใจอย่างไม่ลืมหูลืมตาของสวี่ชิวเยวี่ยไป “อ๋อ”
คำง่ายๆ แค่คำเดียว ทำเอาสวี่ชิวเยวี่ยพูดอะไรไม่ออก อาจเพราะรู้ความลับเพศที่แท้จริงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว จึงทำให้เยวี่ยเจาหรานมีความมั่นใจและไม่รู้ร้อนรู้หนาว อย่างไรเสีย คู่แข่งที่ไม่รู้แม้กระทั่งว่าคนที่ตนไล่ตามเป็ชายหรือหญิงนั้น นับว่าไร้ซึ่งศักยภาพในการแข่ง
เยวี่ยเจาหรานเองก็เก็บรอยยิ้มแล้วโบกมือเบาๆ ให้กับสวี่ชิวเยวี่ย เอ่ย “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เ้าก็พยายามให้เต็มที่ล่ะ” พูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันมามองแม้แต่น้อย กลับเรือนตนไปอย่างร่าเริง
สวี่ชิวเยวี่ยกระทืบเท้าอย่างเดือดดาล ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ แล้วมองเงาหลังที่ค่อยๆ ไกลออกไปของเยวี่ยเจาหรานอย่างเคียดแค้น แทบอยากจะฉีกร่างของเยวี่ยเจาหรานเสียตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอด
แม้จะบอกว่าสวี่ชิวเยวี่ยจะได้ประกาศาอย่างเป็ทางการกับเยวี่ยเจาหรานแล้ว แต่สารท้ารบเช่นนั้นแทบจะไม่กระทบอันใดต่อเยวี่ยเจาหรานเลย ไม่ว่าจะด้านจิตใจหรือร่างกาย เยวี่ยเจาหรานเพียงบอกกับตัวเองว่า ‘ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน’ คอยดูท่าทีไปก็แล้วกัน
เยวี่ยเจาหรานในยามนี้กำลังแทะเมล็ดแตงรอเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ออกไปข้างนอกทั้งวันอย่างสบายอารมณ์ ทำอะไรได้สมใจดังใจคิด
แต่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ผลักประตูเข้ามาในห้องนั้นท่าทางจิตตกอย่างมาก นางไม่พูดอะไรเลยสักคำ แล้วพาตัวเองมานั่งด้านข้างเยวี่ยเจาหราน เยวี่ยเจาหรานเห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ เขาวางเมล็ดแตงที่กินเหลือในมือกลับไปอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” เยวี่ยเจาหรานเช็ดมืออย่างลวกๆ แล้วขยับเข้าไปถาม
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วส่ายหัวอย่างท้อแท้ โบกมือไปมา จากนั้นก็ยกมือขึ้นเท้าคาง ทั้งคิ้วทั้งตาขมวดมุ่นจนแทบจะกลายเป็ก้อนเดียวกัน ท่าทางราวกับไม่ได้รับความเป็ธรรมอย่างยิ่ง
อาจเพราะระหว่างทั้งสองเกิดสัมพันธ์ฉันสามีภรรยากันแล้ว ทำให้เยวี่ยเจาหรานยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็ผู้หญิงขึ้นมาจริงๆ บางคราวก็ไม่พูดหยอกนางอย่างไม่ยั้งคิดได้เต็มปากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะกลัวว่าจะไปทำร้ายความรู้สึกและความภาคภูมิใจของหญิงสาวที่ซ่อนเร้นในจิตใจของนางเข้า...
เมื่อเห็นว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังคงนิ่งเงียบ เยวี่ยเจาหรานก็ตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ เขาใช้นิ้วมือจิ้มที่ข้อศอกของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างระมัดระวัง แล้วถามหยั่งเชิงดูอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีอะไรเ้าก็พูดมาเถอะ เป็แบบนี้เห็นแล้วมันน่ากลัวนะ!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง นางเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วจับชายแขนเสื้อเช็ดที่มุมปาก ตรงนั้นมันไม่มีอะไรให้ต้องเช็ดเลยนี่นา... การกระทำนั้นดูไปแล้วเหมือนกับคืนดีกับตัวเองที่กำลังง้องอนอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“วันนี้ข้า… เข้าวัง” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยู่ปาก พูดพึมพำ ในมือยังถือถ้วยเปล่าใบหนึ่งหมุนไปหมุนอีกด้วย
แต่คำตอบแบบนี้ก็ราวกับไม่ได้ตอบ? เยวี่ยเจาหรานพยายามยับยั้งใจที่อยากตำหนิ แล้วเอ่ยถามอีกครั้งอย่างรำคาญ “นั่นข้ารู้แล้ว แต่เ้าเข้าไปทำอะไรกันล่ะ? เห็นสภาพเ้าเช่นนี้... ฮ่องเต้กลั่นแกล้งเ้าอีกแล้วหรือ?”
เยวี่ยเจาหรานเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงพูดว่า ‘อีกแล้ว’ แต่ตอนนี้เขาไม่สนหรอกว่าผู้ที่อยู่ในวังผู้นั้นจะกำลังจามไม่หยุดอยู่หรือไม่ สิ่งจำเป็นั้นคือการปรับอารมณ์ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ใช่หรือ?
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วส่ายหน้า จากนั้นก็พยักหน้าอีกครั้ง เยวี่ยเจาหรานที่มองอยู่พลันไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรไปชั่วขณะ ได้แต่ปิดปากเงียบแสร้งเป็คนใบ้ แต่ดวงตากลับจ้องมองไปยังคนตรงหน้าไม่วางตา ไม่กล้าละไปแม้ชั่วครู่เดียว
“กลั่นแกล้ง จะว่าอย่างนั้นก็ไม่เชิง ก็แค่...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเม้มปาก แล้วเล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นในวังให้เยวี่ยเจาหรานฟังอย่างละเอียด
ที่แท้ เหตุผลที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนี้ เป็เพราะฮ่องเต้พระราชทาน ‘กวีลือชื่อแห่งเจียงหนาน’ ให้เป็อาจารย์เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว เพื่อสอนสั่งเื่เกี่ยวกับการทหารให้กับ ‘เยี่ยนอวิ๋นเฟย’ หรือจะเรียกให้ไพเราะ ก็คือเพื่อบ่มเพาะอัจฉริยบุคคลให้กับบ้านเมือง
แต่การกระทำเช่นนั้นในสายตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว มันก็คือการจับตามอง การจำกัด และการกำกับควบคุมอิสรภาพของนาง! เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคิ้วขมวดเป็ปม โมโหจนโยนถ้วยในมือทิ้งไปอีกด้าน โชคดีที่เยวี่ยเจาหรานตาไวมือไวจึงช่วยชีวิตถ้วยนั้นเอาไว้ทัน ทำให้รอดพ้นจากการแตกไปได้...
“ข้าไม่ได้้าอาจารย์อะไรสักหน่อย มีแต่พวกนักวิชาการคร่ำครึทั้งนั้น เหมือนเ้ากับพ่อเ้าไม่มีผิด!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่โกรธจนไม่สนสี่สนแปด ลากกระบอกปืนใหญ่มาโจมตีอย่างไม่เลือกหน้า แม้แต่เยวี่ยเจาหรานและมหาบัณฑิตเยวี่ยที่เป็ผู้บริสุทธิ์ก็ยังถูกด่าไปด้วย
เยวี่ยเจาหรานเอียงคอ จู่ๆ ก็โดนยิงเสียได้ ในใจย่อมรู้สึกไม่ค่อยดีนัก จากนั้นเขาจึงสวนกลับไป “เกี่ยวอะไรกับข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับท่านพ่อข้าเล่า? คนอย่างเ้านี่มัน เหมือนกับพ่อแม่เ้า มุทะลุไร้เหตุผลเหมือนกันเลย ข้าไม่สนใจเ้าแล้ว!”
ทั้งสองคนต่างก็อารมณ์ไม่ดี เยวี่ยเจาหรานเมื่อพูดจบก็รีบลุกขึ้นยืนเตรียมจะเดินออกไป มองดูแล้ว… ช่างไร้หัวคิดเหมือนกับเด็กสี่ห้าขวบสองคนทะเลาะกันอย่างไรอย่างนั้น
แต่เพิ่งเดินไปได้ไม่ถึงสองก้าว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ยกมือขึ้นดึงมาชายแขนเสื้อของเยวี่ยเจาหราน...
เยวี่ยเจาหรานหันกลับมาเล็กน้อย จึงได้เห็นความอ้อนวอนในแววตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว นั่นเป็ครั้งแรกในหลายวันมานี้ที่แววตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเผยความรู้สึกเช่นนั้นออกมา น้อยเนื้อต่ำใจราวกับลูกแมวกำพร้าตัวหนึ่ง ทำให้เยวี่ยเจาหรานไม่อาจหักใจจากไปทั้งแบบนี้ได้
เขาจึงหยุดฝีเท้า ถอนหายใจกับตัวเอง แล้วนั่งกลับลงไปอีกครั้งอย่างน่าผิดหวัง...
“เดิมที่ข้าไม่ได้อยากเรียนกลยุทธ์ทางทหารกับกวีลือชื่ออะไรนั่นเลย อย่างไรข้าก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้ว ถ้าต้องเรียนเื่สู้รบ ข้าเรียนกับท่านพ่อก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังคงติติงราชโองการของฮ่องเต้ไม่หยุด เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองต่ออาจารย์ที่ยังไม่ได้ปรากฏตัวผู้นั้น แต่ในใจเยวี่ยเจาหรานกลับคิดมากกว่านั้น...
หลังจากที่เยวี่ยเจาหรานและเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแต่งงานกัน ฮ่องเต้ก็เอาแต่เชิญทั้งสองเข้าวังไม่หยุด กระทั่งทำหน้าที่เป็ผู้ไกล่เกลี่ยความบาดหมางให้กับครอบครัวของทั้งคู่ เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนั้นไม่ใช่เื่ง่ายดาย แม้เยวี่ยเจาหรานจะดูเหมือนคนเอ้อระเหยลอยชาย และมุ่งมั่นกับการสวมบทบาทสตรี แต่เื่ความคิดและสมองกลับไม่เคยหยุดนิ่ง
อย่างไรเสีย นี่ก็เป็เื่ใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงสองตระกูล หากมีเื่ไม่คาดฝันหรือประมาทเลินเล่อเพียงเล็กน้อย ผลตอบแทนอาจเป็ชีวิตคนนับร้อยของทั้งสองจวน...
พายุเื่อาจารย์ในคราวนี้ น่าจะเป็การหยั่งเชิงและควบคุมดูแลอย่างหนึ่งของฮ่องเต้ เขากลัวว่าการแต่งงานของสองตระกูลจะเกิดปัญหา แต่ก็ไม่คาดหวังว่าจะราบรื่นเกินไปเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะเป็สถานการณ์หน้าหรือหลัง ก็ล้วนแล้วแต่สามารถก่อให้เกิดความวุ่นวายในราชสำนักได้... ในฐานะฮ่องเต้ เขาต้องรู้สถานการณ์ของทั้งสองตระกูลชัดเจนอยู่ตลอดเวลา จึงต้องวางคนของตนไว้ข้างกายเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว
เยวี่ยเจาหรานหรี่ตาลงเล็กน้อย แม้ยังได้ยินเสียงบ่นของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอยู่ แต่ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปหมด ไม่ได้ทิ้งสิ่งใดเอาไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย...