หลังจากตกตะลึงไปไม่นาน นางก็ต้องใกับทหารเหลียวที่กรูกันเข้ามาราวกับฝูงผึ้ง!
คนเ่าั้รีบวิ่งเข้ามาพร้อมกับถือดาบยาวและหอกยาว! จากนั้นก็เริ่มค้นหาทุกซอกทุกมุมอย่างไม่เกรงใจ!
ปลายหอกแหลมคมถูกแทงอย่างแรงเข้าไปที่กองฟืนในห้องเก็บฟืน!
เตาไฟก็ถูกพลิกคว่ำ!
แม้แต่บ่อน้ำกลางลานเรือนก็ไม่เว้น ทหารเหลียวหลายคนโยนก้อนหินลงไปเพื่อฟังเสียงความเคลื่อนไหว แล้วยกคบเพลิงขึ้นเพื่อส่องดูว่ามีใครซ่อนอยู่ในนั้นหรือไม่
หวาชิงเสวี่ยยืนอยู่ด้านหลังของฟู่ถิงเย่ด้วยความหวาดกลัว ก้มหน้าทำท่าทางเหมือนภรรยาตัวน้อยที่ขี้ขลาด
ลานเรือนของพวกเขาไม่ใหญ่นัก มีห้องพักอยู่ทั้งสิ้นสองหลัง และทหารเหลียวก็ค้นหาเสร็จอย่างรวดเร็ว
หัวหน้าทหารเดินมาตรงหน้าคนทั้งสอง หยิบกระดาษม้วนหนึ่งออกมา เขาคลี่ออกให้ฟู่ถิงเย่และหวาชิงเสวี่ยดู แล้วถามด้วยน้ำเสียงดุดันว่า "เคยเห็นเด็กผู้ชายอายุประมาณแปดเก้าขวบหรือไม่?! รูปร่างหน้าตาประมาณนี้!"
ฟู่ถิงเย่ทำท่าทางเหมือนคนโง่เขลาเบาปัญญา เขามองดูรูปวาดนั้นอย่างละเอียด ก่อนจะส่ายหน้าแล้วตอบช้าๆ ว่า "ไม่เคยเห็นขอรับ..."
หวาชิงเสวี่ยก็รีบตอบอย่างเร็วว่า "ไม่เคยเห็นเ้าค่ะ" อันที่จริงนางไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น จึงไม่ต้องพูดถึงการดูว่าคนในรูปวาดมีหน้าตาเป็อย่างไร
หัวหน้าทหารก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบากใจ อาจเป็เพราะรีบร้อน จึงโบกมือแล้วรีบไปตรวจค้นบ้านหลังต่อไป
เมื่อเห็นคนกลุ่มใหญ่ออกไป หวาชิงเสวี่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ปิดประตูเรือนอย่างระมัดระวัง ลงกลอนอย่างแ่า แล้วหันกลับไปอีกที ฟู่ถิงเย่กลับมาเป็ปกติแล้ว
ดวงตาที่ลึกล้ำราวกับราตรีของเขามองไปยังประตูเรือนที่ปิดสนิทโดยไม่กะพริบ ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
หวาชิงเสวี่ยคิดว่าเขาจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฟู่ถิงเย่กลับละสายตา เดินเข้าไปในห้องโถง ร่างของเขาหายไปที่ประตูห้องโถงอย่างรวดเร็ว
หวาชิงเสวี่ยหันไปมองลานเรือนบ้านที่ถูกทหารเหลียวรื้อค้นจนเละเทะ ถอนหายใจ แล้วเริ่มลงมือเก็บกวาดโดยไม่พูดอะไร
...
เนื่องจากมีการปิดเมืองเพื่อค้นหา ทำให้การออกจากเมืองใน่นี้จึงแทบจะเป็ไปไม่ได้
ฟู่ถิงเย่และหวาชิงเสวี่ยจึงทำได้เพียงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไป
หวาชิงเสวี่ยยังคงนอนบนเตียงอุ่น ส่วนฟู่ถิงเย่ก็ยังคงนอนบนม้านั่งเย็นๆ ของเขา
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกเกรงใจ จึงย้ายม้านั่งตัวยาวมาวางไว้ตรงกลางของเตาไฟ จากนั้นหาผ้าผืนหนึ่งมาคลุมม้านั่งยาวไว้ การทำเช่นนี้ ก็เหมือนกับการสร้างกำแพงเตี้ยๆ ขึ้นมาบนเตียงเตา กั้นทัศนียภาพทั้งสองด้าน
ฟู่ถิงเย่คงรู้สึกว่าการนอนบนม้านั่งไม่ใช่ทางออกที่ดีในระยะยาว เมื่อเห็นการจัดวางของหวาชิงเสวี่ย เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ยอมรับการเตรียมการเช่นนี้แต่โดยดี ตอนกลางคืนทั้งสองคนก็นอนแยกคนละฝั่งโดยไม่มีปัญหาอะไร
ฟู่ถิงเย่ไม่อยู่บ้านเกือบทั้งวัน
หวาชิงเสวี่ยคาดเดาว่า เขาคงจะไปติดต่อกับสายลับที่แฝงตัวอยู่ในเมืองเหรินชิว เพื่อหาวิธีออกจากเมืองโดยเร็ว
นางอยู่ที่บ้านไม่มีอะไรทำ ก็เลยซักเสื้อผ้าของทหารเหลียวพวกนั้นเสร็จอย่างรวดเร็ว
ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องซักอยู่ดี มิฉะนั้นอาจจะเกิดเื่ขึ้นมาอีก จะอย่างไรนางก็ได้รับเงินมัดจำมาแล้ว
วันนี้ฟู่ถิงเย่ออกไปข้างนอกอีกแล้ว หวาชิงเสวี่ยขอยืมรถเข็นที่ร้านอาหารใช้ซื้อของจากท่านป้าเหยียน นำเสื้อผ้าที่ซักเสร็จแล้วใน่สองสามวันนี้มาพับอย่างเรียบร้อย ห่อด้วยผ้าสะอาด แล้วลากรถเข็นไปที่ศาลาว่าการเมืองเหรินชิว
หลังจากเกิดเื่ครั้งที่แล้ว บนถนนก็ยิ่งเงียบเหงากว่าเดิม แม้จะเป็เวลากลางวัน ก็ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ร้านค้าบนถนนคงได้รับผลกระทบจากเื่นี้ จึงปิดร้านไปเลย เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีลูกค้า...
ถึงแม้จะเป็เช่นนั้น หวาชิงเสวี่ยก็ไม่กล้าประมาท ตั้งใจนำเสื้อผ้าของทหารเหลียวที่ซักเสร็จแล้วออกมาวางไว้ด้านนอกสุด นางยังคงหวาดผวาจากเหตุการณ์ปล้นไม่เลือกหน้าที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
เมื่อบ้านเมืองวุ่นวาย ย่อมมีโจรผู้ร้ายมากมาย
หวาชิงเสวี่ยไม่อยากให้ห่อผ้าของนางดึงดูดความสนใจของคนเ่าั้
ระหว่างทางไม่มีเื่อะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งมาถึงหน้าศาลาว่าการ หวาชิงเสวี่ยแจ้งจุดประสงค์ของการมา ทหารที่เฝ้าประตูก็ไม่ได้ขัดขวาง โบกมือให้นางเข้าไป
หวาชิงเสวี่ยลากรถเข็นเข้าไปด้วยความยากลำบาก
เสมียนที่รับผิดชอบการตรวจสอบเป็คนในเมืองเหรินชิว ดูเหมือนจะหยิ่งยโสโอหัง ยากที่จะรับมือ
เขาเรียกคนมาขนเสื้อผ้าบนรถเข็นเข้าไปในห้อง หวาชิงเสวี่ยเห็นว่าไม่มีอะไรให้นางทำแล้ว จึงลากรถเข็นที่ว่างเปล่าเตรียมจะกลับ
ใครจะรู้ว่าชายคนนั้นกลับเรียกนางไว้ พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดว่า "ข้าอนุญาตให้เ้าไปแล้วหรือ? รออยู่ที่นี่ก่อน! ตรวจเสื้อผ้าเสร็จแล้วค่อยไป!"
หวาชิงเสวี่ยพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ยืนอยู่ที่หน้าประตูอย่างเชื่อฟัง
ทหารเหลียวและเ้าหน้าที่ในเมืองเหรินชิวล้วนมีนิสัยดุร้าย ชอบหาเื่และสร้างปัญหาอยู่เสมอ หวาชิงเสวี่ยจึงพยายามทำให้ตนเองน่าสนใจน้อยที่สุด เพื่อไม่ให้ตกเป็เป้าสายตาของคนเ่าั้
ภายในห้องมีเตาถ่าน อบอุ่นอย่างยิ่ง แต่หวาชิงเสวี่ยกลับไม่กล้าเข้าไป นางก้มหน้ายืนอยู่นอกประตูอย่างสงบนิ่ง หวังว่าชายคนนี้จะรีบตรวจเสื้อผ้าให้เสร็จ เพื่อที่นางจะได้กลับบ้านโดยเร็ว
แต่การตรวจเสื้อผ้านั้นกลับไม่ใช่เื่ที่จะเสร็จสิ้นได้ง่ายๆ
สีหน้าของเสมียนดูไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบงานที่กำลังทำอยู่ แต่เพราะว่าเป็เสื้อผ้าของชาวเหลียว จึงต้องระมัดระวัง ตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย
ต้องเข้าใจว่า การที่เขาได้รับความไว้วางใจจากชาวเหลียวจนได้งานนี้มาก็ไม่ใช่เื่ง่าย เขาหวังว่าจะทำงานนี้ให้ดีแล้วไปขอรางวัล ชาวเหลียวอาจจะพอใจแล้วเลื่อนตำแหน่งให้เขาก็ได้?
เสื้อนวมใยฝ้ายถูกหยิบขึ้นมาทีละตัว พลิกดูซับใน ตรวจสอบว่ามีคราบเืหลงเหลืออยู่หรือไม่ จากนั้นก็พับเก็บใส่กลับเข้าไป...
หลังจากทำเื่น่าเบื่อนี้ซ้ำไปซ้ำมามากกว่าสี่สิบครั้ง เขาก็เริ่มหมดความอดทน
สายตาเหลือบไปเห็นชายกระโปรงครึ่งหนึ่งที่โผล่ตรงหน้าประตู จึงเกิดความคิดขึ้นมา...
เมื่อครู่ไม่ได้มองอย่างละเอียด ตอนนี้คิดดูดีๆ แล้ว สตรีนางนั้นดูเหมือนจะหน้าตาดีนะ?
เสมียนกระแอมไออยู่ภายในห้อง พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า "ยืนนิ่งอยู่ข้างนอกทำไม? ยังไม่รีบเข้ามาดูอีก! เหตุใดตรงนี้ถึงซักไม่สะอาด?!"
หวาชิงเสวี่ยใ!
นางซักสะอาดแล้วจริงๆ ...หากมีส่วนที่ซักไม่สะอาด นางคงไม่กล้าลากรถเข็นขนเสื้อผ้ามาส่งไกลขนาดนี้หรอก
เสมียนเห็นนางยืนนิ่งอยู่ข้างนอกไม่ขยับ ก็ยิ่งหงุดหงิด แล้วะโออกมาว่า "ข้าเรียกเ้าให้เข้ามา! หูหนวกหรือไร?!"
หวาชิงเสวี่ยรีบก้มหน้าเข้าไป ถามด้วยความระมัดระวังว่า "ขออภัยเ้าค่ะ นายท่าน ไม่ทราบว่าเสื้อผ้าชุดไหนที่ซักไม่สะอาดเ้าคะ?"
"เ้าดูเองสิ! ตัวนี้แหละ ข้าเห็นว่ายังมีคราบเืติดอยู่นะ!" เสมียนยกเสื้อนวมใยฝ้ายในมือขึ้น
เสื้อผ้าอยู่ในมือของเขา หวาชิงเสวี่ยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเข้าไปใกล้ๆ
นางรับเสื้อผ้ามาจากมือของเขา ยังไม่ทันได้ดูให้ละเอียด บุรุษข้างกายก็โอบกอดนางไว้ทันที! ปากเหม็นๆ กำลังใกล้เข้ามาหาหน้านาง!
"เสี่ยวเหนียงจื่อ เ้ามองแบบนี้จะเห็นได้อย่างไร? พี่คนนี้จะสอนเ้าเอง..."
หวาชิงเสวี่ยใสุดขีด รีบยื่นมือออกไปผลักอย่างลนลาน!
แต่บุรุษย่อมมีพละกำลังมากกว่านาง แขนทั้งสองข้างรัดแน่นเหมือนคีมเหล็ก! หวาชิงเสวี่ยร้อนใจ ก็เลยไม่ทันได้สนใจอะไรอื่น ยกเสื้อนวมใยฝ้ายในมือมาปิดหน้าบุรุษผู้นั้น! เพื่อปิดปากเหม็นๆ ที่เข้ามาใกล้!
อีกฝ่ายปล่อยนางทันที!
หวาชิงเสวี่ยใ หันหลังวิ่งไปที่ประตู! แต่ยังไม่ทันที่นางจะวิ่งออกไป ชายข้างหลังก็ปัดเสื้อผ้าที่คลุมปิดหน้าออก ไล่ตามมาทันเพียงไม่กี่ก้าว แล้วคว้าไหล่ของหวาชิงเสวี่ยไว้!
"นางตัวแสบ! คุยกันดีๆ ไม่ชอบ ต้องให้ลงไม้ลงมือ!" เขาพูดจบก็เงื้อมือจะตบ!
หวาชิงเสวี่ยหวาดกลัวสุดขีด หลับตาลงโดยไม่รู้ตัว แต่กลับได้ยินเสียง 'โครม'! แรงรัดที่กดไหล่จนเจ็บหายไปทันที?!
นางลืมตาขึ้น พบว่าเสมียนคนนั้นเหมือนถูกใครบางคนเตะจนลอยไปไกล ร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้น ทั้งโต๊ะที่อยู่ด้านหลังเขาก็ล้มตามไปด้วย! เสื้อผ้าที่ตรวจสอบอยู่ก็กระจัดกระจายเต็มพื้น!
"เฉินเหล่าลิ่ว ชีวิตเ้าก็ดูสุขสบายดีนี่นา ให้เ้าตรวจเสื้อผ้า เ้ายังจะหาเื่สนุกได้อีก"
เสียงเยาะเย้ยดังมาจากด้านหลังนาง
หวาชิงเสวี่ยหันกลับไปมอง และต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า เป็ทหารเหลียวคนนั้น...
เสมียนที่อยู่บนพื้นเจ็บจนร้องโอดโอย แต่ก็ได้แต่โกรธอยู่ในใจ ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วกล่าวว่า "ให้ท่านนายกองพันพบเห็นเื่น่าอับอายเสียแล้ว..."
หวาชิงเสวี่ยตะลึงจนพูดไม่ออก...
ไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาเพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นายกองร้อย คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะเป็ถึงนายกองพันแล้ว?! โชคด้านการงานของบุรุษผู้นี้ช่างดีเยี่ยม เลื่อนตำแหน่งรวดเร็วเหลือเกิน...
"ยังไม่รีบไสหัวไปอีก?!" เขาตะคอกเสียงเย็น น้ำเสียงเบา แต่หนักแน่นทรงพลัง
หวาชิงเสวี่ยกำลังงงๆ ว่าคำว่า 'ไสหัวไป' นั้นหมายถึงนางหรือเสมียนที่อยู่บนพื้น จากนั้นก็เห็นเขาเดินไปยืนข้างๆ เสมียน แล้วเตะซ้ำด้วยแรงที่พอเหมาะไม่เบาหรือหนักเกินไป
หวาชิงเสวี่ย: "..."
เสมียนกุมท้องของตัวเอง โค้งตัว จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วเดินกะเผลกออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่เดินผ่านหวาชิงเสวี่ย ก็ไม่กล้าแม้แต่จะมองนาง
บุรุษผู้นั้นมองท่าทางมึนงงของหวาชิงเสวี่ย รอยยิ้มขบขันปรากฏขึ้นบนใบหน้า "นี่ ใจนโง่งมแล้วหรือ? เ้าช่างโง่จริงๆ ถึงกับเดินมาหาเื่เอง"
"ข้า..." หวาชิงเสวี่ยอ้าปากค้าง สุดท้ายก็ก้มหน้าลงด้วยความหวาดกลัว "ข้ามาส่งเสื้อผ้า"
"อืม เห็นแล้ว ซักได้ดี" เขาพูดไปเรื่อย แล้วถามว่า "มือเ้าเป็อย่างไรบ้าง? ยื่นมาให้ข้าดูหน่อย"
หวาชิงเสวี่ยไม่เข้าใจในสถานการณ์นี้เลยสักนิด...
ทำไมจู่ๆ ก็ขอดูมือของนางล่ะ?
แม้จะคิดอย่างนั้น แต่หวาชิงเสวี่ยก็ไม่กล้าไปยั่วโมโหทหารเหลียวที่เอาแน่เอานอนไม่ได้พวกนี้ นางค่อยๆ ยกมือขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลบวมแดงจากความหนาวเย็นเต็มฝ่ามือ
"จิ๊จิ๊..." เขาส่งเสียงรังเกียจ หยิบขวดกระเบื้องเล็กๆ ออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้หวาชิงเสวี่ย "ทาก่อนนอนทุกคืน ถ้าแผลโดนน้ำก็ต้องรีบทาทันที นี่เป็ยาสำหรับทาแผลจากความหนาวเย็นอย่างดี ใช้ให้ดีๆ อย่าให้เสียเปล่า"
หวาชิงเสวี่ยมองขวดกระเบื้องที่เขายื่นให้ด้วยความงงงัน ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นไปอีก...
อยู่ดีๆ ทำไมถึงให้ยานาง?
บุรุษผู้นั้นเห็นนางไม่ขยับ ก็พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยที่แฝงไปด้วยความดุดัน "ทำไม? ต้องให้ข้าเชิญเ้ามารับไปหรือ?"
หัวใจของหวาชิงเสวี่ยเต้นแรง รีบรับขวดยา พึมพำด้วยเสียงเบาว่า "ขอบคุณเ้าค่ะ...ขอบคุณท่านนายกองพัน...ที่ให้ยา..."
บุรุษผู้นั้นถึงได้พอใจ ยกยิ้มออกมา "จำไว้ให้ดี ข้าชื่อฉีเหลียนเชิง เ้าจะไม่รู้ชื่อของผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเ้าไว้ก็คงไม่ได้ ใช่หรือไม่?"
หวาชิงเสวี่ยไม่กล้าพูดอะไร พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร
ฉีเหลียนเชิงยิ้มเ้าเล่ห์ ไม่รู้ว่าเป็การเสียดสีหรือพูดเล่น "ช่างเป็คนปากหนักจริงๆ ทึ่มทื่อยิ่งกว่าท่อนไม้เสียอีก"
จากนั้นก็ถามว่า "นี่ เ้าชื่ออะไร?"
หวาชิงเสวี่ยก้มหน้าตอบตามความจริงว่า "หวาชิงเสวี่ยเ้าค่ะ"
"หวาชิงเสวี่ย..." ฉีเหลียนเชิงทวนชื่อของนางช้าๆ "...อืม ชื่อเพราะดี"
หวาชิงเสวี่ยไม่พูดอะไร รู้สึกกระวนกระวายใจ
ใครจะไปรู้ว่าฉีเหลียนเชิงคนนี้เส้นประสาทในสมองเกิดเชื่อมกันผิดเส้น หรือวางอยู่ผิดที่หรืออย่างไร ถึงได้ทำตัวเป็คนใจดีถามว่า "ก่อนหน้านี้เ้าไม่ได้บอกว่าน้องสาวของเ้าหายไปหรือ? แล้วหาเจอหรือยัง? เป็อย่างไรบ้าง ้าให้ข้าประกาศตามหาทั่วเมืองหรือไม่?"