อารัมภบท
“แฮ่ก ๆ ขอทางหน่อยได้ไหมครับ”
ปั่ก!
“แม่ง เดินดูทางดี ๆ สิวะไอ้เตี้ยเอ๊ย!”
“ขะ ขอโทษ...”
เ้าของร่างเล็กผงกหัวขอโทษขอโพยยกใหญ่ เมื่อรีบร้อนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อที่จะไปยังคลาสเรียนให้ทันจนเผลอชนเข้ากับคนที่เดินสวนไปสวนมาในตึกคณะ นักศึกษาชายคนดังกล่าวหลุบสายตามองกันแล้วจิ๊ปากอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันหลังเดินไป เห็นดังนั้นก็รีบสับเท้าวิ่งต่อไปหน้าตั้ง เมื่อเห็นห้องเรียนอยู่ไม่ไกลแล้ว
“มาช้านะครับ นักศึกษา”
ทันทีที่เปิดประตูเข้ามาก็เห็นคนนั่งอยู่ในห้องเต็มไปหมดแล้ว สายตานับหลายคู่หันมาสนใจคนที่เพิ่งจะเข้ามาเป็ตาเดียว พร้อมกับประโยคทักด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งจากผู้เป็อาจารย์ก่อนจะเริ่มการบรรยายต่อ ฝ่ายคนที่ถูกคาดโทษได้แต่เดินคอตกหน้าหงอยไปยังที่นั่ง
“จ๋ายมานั่งเร็ว”
เสียงทักเจื้อยแจ้วที่คุ้นเคยดึงความสนใจจากจ๋ายไปได้อีกครั้ง เห็นหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาสะสวย ย้อมผมสีบลอนด์ กำลังตบที่นั่งข้างตัวเองซึ่งยังว่างอยู่เป็เชิงให้มานั่งด้วยกัน เธอมีชื่อว่ามะนาว ทั้งยังมีนิสัยเปรี้ยวจี๊ดสมชื่อ เป็เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของจ๋าย เธอเป็มนุษย์ธรรมดา ซึ่งเป็ประชากรกลุ่มเล็ก ๆ ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“ทำไมวันนี้มาสายล่ะ”
“เมื่อเช้าจ๋ายไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกน่ะ...”
เอ่ยตอบกลับเสียงเบาพลางแขวนกระเป๋าผ้ากับเก้าอี้ แล้วหยิบของที่จำเป็ออกมาทีละอย่าง เมื่อหันไปมองไปรอบ ๆ จึงได้เห็นว่ามีสายตานับหลายคู่จับจ้องมาที่ตนอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจ๋ายจะรีบหลุบตาลงแล้วทำเป็ไม่เห็นไป ใบหน้าฉายแววตระหนกเล็กน้อยตามประสาคนขี้กลัว
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ชื่อว่า Syrenbrid University เป็มหาวิทยาลัยที่รวบรวมนักศึกษาหัวกะทิแนวหน้าของประเทศเอาไว้ ทว่านักศึกษาส่วนใหญ่กว่าแปดสิบห้าเปอร์เซ็นต์คือไฮบริดครึ่งสัตว์นักล่า อีกสิบเปอร์เซ็นต์คืุ์ธรรมดา ที่ไม่ได้มีพันธุกรรมอื่น ๆ ผสมอยู่...และอีกห้าเปอร์เซ็นต์สุดท้ายคือกลุ่มไฮบริดครึ่งสัตว์กินพืช ซึ่งถือเป็ประชากรที่มีจำนวนน้อยมากที่สุด
นอกจากนี้ กลุ่มไฮบริดครึ่งสัตว์กินพืชยังถูกจัดให้เป็ชนชั้นล่างสุดของสังคมที่นี่ด้วย หลายครั้งก็ถูกใช้เป็เครื่องมือระบายอารมณ์ของนักศึกษาครึ่งสัตว์นักล่าจนต้องเกาะกลุ่มกันเอาไว้อย่างเหนียวแน่น หรือบางคนก็เลือกที่จะแฝงตัวเป็มนุษย์ธรรมดา โดยการระมัดระวังไม่ให้ตัวเองเผลอทำหู หางโผล่ออกมาจนถูกจับได้ ตลอดระยะเวลาจนกว่าจะจบการศึกษา...ซึ่งเป็วิธีที่ฝืนธรรมชาติและเสี่ยง
...ซึ่งจ๋ายเป็ประเภทนั้น
!!!
เ้าของร่างเล็กชะงักไป พร้อมกับสติที่วิ่งกลับเข้าร่างเพราะถูกสะกิดไม่เบานัก เมื่อหันไปจึงเห็นใบหน้าขมึงทึงของมะนาวในระยะใกล้ก็ผงะถอยหนีเล็กน้อย
“อย่ามัวแต่เหม่อสิ เดี๋ยวฟังอาจารย์ไม่รู้เื่นะ”
“แหะ...ขอโทษที”
พยักหน้ารับหงึกหงัก ส่งหัวเราะแห้งแล้วได้แต่ยกมือขึ้นลูบหลังท้ายทอยแก้เก้อ ก่อนจะรีบหันไปฟังอาจารย์ด้วยสีหน้าตั้งใจสุดขีด...จ๋าย หรือ จ๋ายจ๋าย เป็นักศึกษาปีที่สามในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาเป็ไฮบริดครึ่งกระต่ายที่พยายามปกปิดความลับขั้นสุดยอดด้วยการเก็บหูเก็บหางของตัวเอง แล้วทำตัวให้แเีมากที่สุด กระทั่งทุกคนในคณะเข้าใจว่าจ๋ายคนนี้ เป็มนุษย์ธรรมดาที่มีนิสัยขี้กลัวคนหนึ่งเท่านั้น
“เฮ้ยติ๋มน้อย หยิบปากกาให้หน่อย”
“อะ อื้อ”
เข้าสู่โหมดตั้งใจได้ไม่เท่าไรก็ถูกก่อกวนเข้าอีกแล้ว จ๋ายพยักหน้ารับแล้วก้มลงไปหยิบปากกาให้ โดยไม่ทันได้นึกว่าเป็เสียงของใคร...เพราะส่วนใหญ่เป็ไฮบริดครึ่งสัตว์นักล่า จึงค่อนข้างมีอุปนิสัยดุดันและมุทะลุกันเป็ส่วนใหญ่ ในขณะที่จ๋ายนอกจากจะมีขนาดตัวค่อนข้างเล็กกว่าทุกคนในเซคแล้ว ยังใจเล็กอีกต่างหาก เขาทั้งใง่าย ไม่ค่อยกล้าพูดคุยกับใคร นอกจากนั่งเรียนไปเงียบ ๆ เท่านั้น
รู้ตัวอีกทีก็ได้ฉายา ‘ไอ้ติ๋มน้อย’ ประจำคณะไปเสียแล้ว คิดมาได้ถึงตรงนี้ก็แอบพองแก้มเล็กน้อยทั้งสีหน้าไม่สบอารมณ์
จ๋ายไม่ชอบเลย!
“มองอะไรวะไอ้แท็ป หาเื่แกล้งไอ้ติ๋มนี่อีกแล้วหรือไง”
“...”
พอได้ยินชื่อที่คุ้นเคยชำแรกเข้ารูหู พลันมือที่เอื้อมไปหยิบปากกาชะงักไปในทันที จ๋ายเม้มปากแน่น ก่อนจะค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง เ้าของเสียงที่สั่งให้เขาเก็บปากกาให้เป็มนุษย์ไฮบริดคนหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะจ๋ายเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเ้าตัวดันเป็เพื่อนสนิทกับคนที่เขาไม่อยากคุยด้วยที่สุดนี่สิ....ครั้นเมื่อเหลือบตามองข้างกายของอีกฝ่าย จึงเห็นเ้าของใบหน้าหล่อเหลาและดวงตาสีอำพันของใครบางคนที่กำลังทอดมองกันอยู่ก่อนแล้ว
นั่งห่างจากเขาไปแค่แถวเดียวเองอย่างนั้นเหรอ!?
แท็ป คืุ์ไฮบริดครึ่งหมาป่าที่ไม่ว่าใครในมหาวิทยาลัยก็รู้จัก เนื่องจากเ้าตัวพ่วงด้วยนามสกุล อติรัตนฐากูร ซึ่งเป็ตระกูลเก่าแก่ อีกทั้งพ่อของอีกฝ่ายยังเป็นักการเมืองรุ่นใหญ่ที่กำลังมีรายชื่อลงสมัครผู้ชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนต่อไป...หน้าตาดี ผลการเรียนโดดเด่น มีแมวมองมาทาบทามเข้าวงการบันเทิงก็หลายครั้ง เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง ยกเว้นอยู่แค่อย่างเดียว
เพราะอีกฝ่ายดูจะหมั่นไส้และไม่ชอบหน้าจ๋ายเป็พิเศษ เป็ว่างไม่ได้ ต้องคอยหาเื่แกล้งกันตลอดทุกที…ไอ้จ๋ายคนนี้ก็ไม่ได้อยากจะเป็ศัตรูกับคนที่ตัวเองสู้ไม่ไหวหรอกนะ!!
ร่างสูงกระตุกยิ้มร้าย นั่งเท้าคางพลางเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเป็จังหวะ ทั้งยังเอาแต่มองคนตัวเล็กตรงหน้าไม่วางตา คราวนี้จ๋ายใตาตื่น รีบยื่นปากกาคืนให้กับเพื่อนอีกคนแล้วหันขวับกลับมาทันทีอย่างตระหนก มือน้อย ๆ ยกขึ้นวางบนศีรษะแล้วกุมเอาไว้...เพราะเมื่อกี้ใมากจนเกือบเผลอทำหูโผล่ออกมาอีกแล้ว
ปฏิญาณกับตัวเองเป็ครั้งที่หนึ่งล้านว่าจะต้องฝึกฝนวิธีการหลีกเลี่ยงอีกฝ่ายให้เก่งจนกว่าจะกลายเป็มืออาชีพ!
อันตรายมาก แท็ป บวรทัต อติรัตนฐากูร คือสิ่งมีชีวิตอันตราย ห้ามเข้าใกล้เป็อันขาด!!
“ต่อไปให้นักศึกษานั่งตามกลุ่มที่จัดเอาไว้นะครับ”
ดูเหมือนว่าวันนี้จ๋ายจะตามอะไรไม่ทันสักอย่าง พอเริ่มตั้งสมาธิได้ก็กลับต้องงงเป็ไก่ตาแตกอีกครั้ง ในขณะที่นักศึกษาทุกคนเริ่มขยับตัวบ้างแล้ว ไฮบริดครึ่งกระต่ายที่สวมรอยเป็มนุษย์ธรรมดาก็ได้แต่นั่งอยู่ที่เดิมอย่างไม่เข้าใจ
ฮะ? กลุ่มอะไรอะ?
“ก่อนที่จ๋ายจะมาอาจารย์ให้จับกลุ่มทำงานน่ะ...เหลือเศษเป็พวกเราแค่สองคน ก็เลยต้องอยู่กับกลุ่มของแท็ปนะ”
“ฮะ...”
มะนาวอธิบายให้ราวกับอ่านใจกันออก ในขณะที่จ๋ายได้แต่นั่งอ้าปากค้าง คิ้วเริ่มลู่ลงทีละน้อยเมื่อภายในหัวเริ่มประมวลผลสำเร็จ...ดวงตากลมใสค่อย ๆ เหลือบไปทางด้านหลังอีกครั้ง ไม่วายแอบรู้สึกเสียวสันหลังวาบเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกใครอีกคนนั่งเท้าคางมองอยู่ตลอดอย่างเปิดเผย ไม่เข้าใจเลยว่าคนอย่างเขามีอะไรให้น่ามองนักหนา และแน่นอนว่าในหัวน้อย ๆ ย่อมคิดได้แค่อย่างเดียวเท่านั้น
...หรือว่ามองเพราะกำลังหาเื่แกล้งกันอีกแล้ว!?
“ไอ้แท็ปมองอะไรมันนักหนาวะ”
“สงสัยวางแผนแกล้งอยู่มั้ง...ไอ้ติ๋ม มึงโดนแน่”
เสียงของไฮบริดครึ่งสัตว์นักล่าคนอื่นพูดคุยกันดังเข้าหูอยู่เป็ระยะ ในขณะที่จ๋ายได้แต่นั่งตัวสั่นเป็เ้าเข้า ในหัวจินตนาการภาพของตัวเองที่เป็กระต่ายตัวเล็ก กำลังจะถูกหมาป่าตัวใหญ่จ้องขย้ำอยู่ตลอดเวลา พลันริมฝีปากอิ่มเบะลงเล็กน้อย เริ่มรู้สึกคล้ายอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
อยากกลับบ้าน จ๋ายอยากกลับบ้าน!
...
แม้จะคิดว่าหากหมด่เรียนก็คงจะได้แยกย้ายกันไปเอง ทว่าในความเป็จริงแล้วกลับไม่เป็อย่างนั้น เพราะเนื่องจากเป็โปรเจคใหญ่ ทั้งยังมีเวลาที่จำกัด โต๊ะม้าหินอ่อนหลังคณะใน่เย็นจึงกลายเป็สถานที่ประชุมขนาดย่อมในที่สุด ในขณะที่ทุกคนกำลังออกความคิดเห็นอย่างออกรสออกชาติ จ๋ายก็ได้แต่นั่งตัวลีบ มองทุกคนเถียงกันข้ามหัวไปมาเท่านั้น
พอไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรก็แอบเหลือบมองเ้าของดวงตาสีอำพันที่กำลังทำอะไรสักอย่างกับกล้อง พลางยกมันขึ้นถ่ายเพื่อลองแสงไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ กำลังปรึกษากันว่าควรจะวางแผนการถ่ายภาพอย่างไร ทว่าผ่านไปไม่กี่วินาทีก็ต้องรีบหันขวับไปทางอื่น เมื่อเ้าตัวช้อนสายตาสบกันพอดี ราวกับรู้ทันเสียอย่างนั้น
ตลอดระยะเวลาเกือบสามปีในรั้วมหาวิทยาลัย จ๋ายถูกอีกฝ่ายตามแกล้งอยู่ตลอด ชนิดที่ว่ากลายเป็กิจวัตรไปแล้ว จนเขาคิดว่าแท็ปต้องไม่ชอบหน้าและหมั่นไส้กันมากถึงขีดสุด จนต้องหาเื่แกล้งกันแน่ ๆ ...แท้จริงแล้วการพบกันครั้งแรกของพวกเขาก็ไม่น่าประทับใจเช่นกัน
“สวัสดี---”
“มองอะไร รู้จักกันหรือไง”
ไฮบริดกระต่ายในวัยเฟรชชี่ได้แต่ยืนยิ้มเจื่อน เมื่อถูกตอกกลับมาด้วยสีหน้าไม่รับแขก ทั้ง ๆ ที่เขาก็แค่พยายามจะเข้าไปทำความรู้จักแท้ ๆ อาจเพราะบุคลิกของเขาที่ดูไม่สู้คน เงอะงะบ้างในบางครั้ง เรียกได้ว่ามีนิสัยสวนทางกับนักศึกษาส่วนใหญ่โดยสิ้นเชิง จึงไม่ชอบล่ะมั้ง...แต่ถ้าไม่ชอบก็ต่างคนต่างอยู่ก็ได้นี่ ทำไมต้องมาตามไล่แกล้งกันเป็เด็กแบบนี้ จ๋ายก็เหนื่อยเป็นะ!
คิดไปคิดมาก็ชักจะเริ่มง่วง หนังตาเริ่มหนัก ทั้งยังต้องป้องปากหาวหวอด ๆ อยู่หลายครั้ง ลมเย็น ๆ แบบนี้สามารถกล่อมคนที่อดหลับอดนอนมาทั้งคืนอย่างจ๋ายได้เป็อย่างดี คิดได้ดังนั้นก็แอบนั่งหลับตา หมายจะแอบพักสายตาสักหน่อย ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาทุกอย่างก็ดับวูบไปในทันที
.
.
.
19.30 น.
แปะ แปะ
“ตื่น”
แปะ แปะ แปะ
“ตื่นได้แล้วมั้ง”
“อือ...”
ไฮบริดตัวน้อยครางเครือเสียงแ่เบาในลำคออย่างขัดใจเมื่อถูกรบกวนเวลานอน ครั้นเมื่อยังถูกตีข้างแก้มเบา ๆ แล้วไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาเป็การจับแก้มแล้วยืดเต็มแรง คราวนี้จ๋ายตื่นเต็มตา กำลังจะหันไปมุ่ยหน้าใส่คนที่ก่อกวนตน ทว่าเมื่อเห็นดวงตาสีอำพันในระยะใกล้ก็ชะงักไปในทันที เพื่อน ๆ ที่นั่งประชุมด้วยกันใน่เย็นก็กลับไปหมดแล้ว
“อรุณสวัสดิ์ค่า ตะวันส่องก้นแล้ว ลุกขึ้นมาทำมาหากินได้แล้ว”
เสียงทุ้มเอ่ยพูดยียวนทั้ง ๆ ที่ตอนนี้เป็เวลาหัวค่ำ แท็ปนั่งเท้าคางมองพลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยกลุ่มเส้นผมของคนตัวเล็กแล้วม้วน ๆ จนเต็มนิ้วก่อนจะปล่อยออก พอว่างก็ม้วนเล่นอีกครั้ง คราวนี้จ๋ายที่เพิ่งตั้งตัวได้ทำหน้าอย่างกับเห็นผี รีบลุกขึ้นพรวดพราดหันหลังให้ทันที
!!!!
“ใอะไร กูนั่งม้วนผมมึงเล่นมาได้สองชั่วโมงแล้วมั้ง”
สองชั่วโมงเลยเหรอ! สองชั่วโมงเลยอย่างนั้นเหรอ!!??
ั้แ่ลืมตาตื่นขึ้นมาก็เจอแต่เื่น่าใไม่หยุดหย่อน จากที่ขี้ใอยู่แล้วก็ยิ่งตระหนกเข้าไปใหญ่ รีบยกมือขึ้นกุมศีรษะของตนเองแล้วลูบ ๆ คลำ ๆ เพื่อตรวจสอบดูว่ายังไม่มีอะไรโผล่ออกมา
ยังไม่โผล่ใช่ไหม หูกับหางยังไม่โผล่ออกมาใช่ไหม!?
“ไปไหน?”
“จะ จ๋ายจะกลับบ้านแล้ว...”
เอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกักพลางรีบยัดข้าวของใส่กระเป๋าเป็พัลวัน โดยมีแท็ปนั่งเท้าคางมองด้วยใบหน้าเรียบเฉย ข้อเสียของการเป็ไฮบริดครึ่งกระต่ายคือตื่นตัวง่ายกว่าชาวบ้านชาวช่อง ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เขาทั้งใและตระหนกอย่างต่อเนื่องอย่างนี้ยิ่งเสี่ยงจะถูกจับได้ หากถูกทำให้ใอีกครั้งมีหวังหู หางโผล่อล่างฉ่างแน่
เพราะมัวแต่พะว้าพะวงอยู่กับตัวเอง จึงไม่ทันได้เห็นว่าใครอีกคนกำลังลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาหากันในระยะประชิดอีกครั้ง
“นอนยังไงให้ใบไม้ติดหู---”
“!!!!”
ปุ๊ง!!!
มือเย็น ๆ จับเข้าทั้งข้างใบหูหมายจะหยิบเศษใบไม้ออก ในขณะที่จ๋ายซึ่งอ่อนไหวบริเวณนี้เป็พิเศษสะดุ้งสุดตัว พร้อมกับหางน้อย ๆ สีน้ำตาลที่โผล่ออกมาจนได้ ร่างเล็กเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง ท่ามกลางบรรยากาศระหว่างกันที่ตกอยู่ในความเงียบ ครั้นเมื่อเอื้อมมือไปจับเห็นว่าเผลอทำหางโผล่ออกมา ก็ใหางตัวเองจนหูทั้งสองข้างดีดผึงออกมาต่อหน้า พลันดวงตากลมโตเบิกกว้าง อ้าปากค้างคิดอะไรไม่ออก
“อะ...”
ที่น่าใไปยิ่งกว่านั้นคือคนตรงหน้าที่เห็นทุกอย่างชัดเจน ดวงตาคู่คมฉายแววใในคราวแรก ก่อนมันจะหรี่ลงเล็กน้อยอย่างเ้าเล่ห์ ทั้งท่าทีที่ดูไม่ได้เป็เดือดเป็ร้อน ราวกับไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากมายแต่อย่างใด คราวนี้คนตัวเล็กรีบหันหลังเข้ากำแพงทันที หูกระต่ายสีน้ำตาลลู่ลงปิดดวงตาเอาไว้
“เป็กระต่ายจริงด้วยว่ะ...”
“...”
คนที่เพิ่งจะทำความลับแตกกลัวจนตัวสั่นหงึก ๆ ยังโชคดีที่บริเวณนี้เหลือพวกเขาอยู่แค่สองคน แท็ปรู้อยู่แล้วหรอกเหรอ ทำไมถึงได้ดูไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด หากอีกฝ่ายเอาเื่นี้ไปบอกคนอื่นจะเป็อย่างไร ในหัวของไฮบริดกระต่ายตัวน้อยว้าวุ่นไปหมด ทั้งยังจินตนาการไปไกลเสียจนสุดกู่ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัว หูที่ลู่ลงปิดตาเมื่อครู่ดีดผึงตั้งตรงทันทีเมื่อถูกจับหางโดยพลการ
“หยะ อย่าจับหางจ๋ายนะ!!”
“นอกจากตัวจะจิ๋วแล้ว หางมึงยังจิ๋วอีกเหรอจ๋ายจ๋าย...น่าสงส๊าร น่าสงสาร”
แม้จะพูดอย่างนั้น ทว่าน้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความยียวนกวนประสาท แถมยังเรียกชื่อกันเต็มยศอีกต่างหาก แม้จะพยายามใช้หูกระต่ายปิดตาอีกครั้ง ก็ยังไม่วายถูกอีกฝ่ายดึงออก ราวกับบังคับให้มองสบตากันในระยะใกล้ ในขณะที่จ๋ายได้แต่ยืนตัวลีบแทบจะฝังตัวหายเข้าไปกับกำแพง ได้แต่คิดว่าผู้ชายตรงหน้านี่คนอันตรายของแท้เลย!
“แล้วมึงเก็บหูยังไง จับยัดกลับเข้าไปในหัวเหรอ?”
ไม่ว่าเปล่า ยังจับหูกระต่ายสีน้ำตาลยัดกับศีรษะ เหมือนจับกระดาษทิชชูยัดเข้าไปในแกนทิชชูอย่างไรอย่างนั้น จ๋ายได้แต่ยกมือขึ้นปัดป้องตัวเอง ทั้งใบหน้าเหยเกคล้ายอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ยิ่งอีกฝ่ายจับหูก็ยิ่งตั้งตรงด้วยความใ ทำอย่างนี้อีกร้อยชาติหูมันก็ไม่หายไปหรอก
น่ากลัว...แท็ปน่ากลัว!!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้