“องค์ชายใหญ่?”
ในกระแสความทรงจำที่ผ่านเข้ามาในครั้งนั้น คนผู้นี้คือผู้ที่ไป๋ลู่ในอดีตเคยให้ความสนิทสนมเป็พิเศษ เป็คนที่ร่างเดิมเคยแอบพึงใจ แต่โชควาสนากลับไม่อำนวยให้ทั้งสองได้ครองคู่กัน
ทางด้านผิงผิงเห็นนายของตนนิ่งไปชั่วขณะก็พลันรู้สึกผิดขึ้นมาในใจ คิดว่าตัวเองอาจจะพลั้งปากพูดเื่ที่ไม่ควรออกไป
“ข้าไม่สมควรเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา โปรดอภัยให้บ่าวด้วยเ้าค่ะ”
สิ้นคำ ผิงผิงรีบหมอบลงไปกับพื้นเพื่อขอโทษไป๋ลู่ นางคุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าสวยก้มลงจนหน้าผากกระแทบพื้นหลายครั้งด้วยความสำนึกผิด
ไป๋ลู่ใกับสิ่งที่ผิงผิงทำเป็อย่างมาก มือเรียวบางทั้งสองรีบเข้ามาประคองบ่าวตัวน้อยทันทีเพื่อหยุดการกระทำนี้อย่างรวดเร็ว
“ผิงผิง! พอแล้ว อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีก” น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความร้อนรน
“ข้าไม่ชอบเห็นเ้าเ็ป หากเ้าอยากขอโทษข้าจริงๆ พาข้าไปที่โรงครัวแทนดีไหม? ถือเสียว่าเป็การไถ่โทษ”
ผิงผิงรีบเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“ไม่ได้เ้าค่ะ! ข้าจะไปยกสำรับมาให้ท่านเอง โรงครัวเป็สถานที่สำหรับบ่าว ฮูหยินไปที่นั่นด้วยตัวเองจะดูไม่งามเอาได้”
ไป๋ลู่ยิ้มบางๆ แต่แววตาของนางกลับฉายความมุ่งมั่น
“นำทางข้าไปเถอะ ผิงผิง”
ไหนๆ เ้าของจวนแห่งนี้ก็ได้มองนางในแง่ร้ายไปแล้ว จะให้นั่งรอคอยอาหารต่อไปอย่างไร้ความหงังก็ดูจะไร้ความหมาย สู้ออกไปเผชิญหน้ากับปัญหาเองยังดีเสียกว่า
สำหรับคนที่ต้องสู้ชีวิตมาตลอด การลุกขึ้นสู้เพียงอีกครั้ง จะเป็อะไรไปเล่า?
“เอ่อ…”
“เร็วสิ ข้าหิวจะแย่แล้ว หากเ้าไม่พาข้าไป ข้าจะหาทางไปเอง หลีกทาง!”
“ข้า ข้าพาไปเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”
ผิงผิงจึงต้องจำยอมพาคุณหนูของตนไปยังโรงครัวของจวนโหวอย่างลีกเลี่ยงไม่ได้
“ฮูหยิน ไม่ทราบว่ามาทำอะไรในโรงครัวแห่งนี้หรือเ้าคะ?”
เสียงแม่ครัวสาวดังขึ้นพร้อมสายตาแฝงแววเย้ยหยัน นางยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปิดบังความดูแคลน
“ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ให้เด็กน้อยอย่างท่านมาวิ่งซนนะเ้าคะ”
“ข้าไม่ได้มาเล่น ข้ามาที่นี่เพราะหิว แล้วเ้าคิดว่าฮูหยินของจวนจะต้องรอให้บ่าวยกสำรับมาให้ทุกครั้งเช่นนั้นหรือ?”
“แต่ว่า...” แม่ครัวสาวรีบแทรกขึ้นมา “ในจวนนี้มีกฎว่าฮูหยินจะต้องรอสำรับที่บ่าวจัดเตรียม ฮูหยินคงลืมตัวกระมัง? เมื่อเช้าได้ยินว่าท่านโหวกล่าวไว้ว่า ตระกูลไป๋ไม่ได้อบรมบุตรหลานเื่มารยาท ดูท่าว่าจะจริงสินะเ้าคะ”
ไป๋ลู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีเทาอ่อนจ้องมองเหล่าแม่ครัวด้วยแววเย้ยหยัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความไม่พอใจ
“กฎเกณฑ์บ้าบออะไรกัน? ฟังดูเหมือนตั้งขึ้นมาเพื่อหาข้ออ้างมาทรมานกันเสียมากกว่า ข้าว่าคงไม่ได้มีไว้เพื่อรักษาความสง่างามของจวนหรอกกระมัง”
“...”
“ลืมตัว? แล้วเ้าเห็นหรือไม่ว่าการรอพวกเ้าทำสำรับกับการรอไก่ออกไข่อะไรใช้เวลานานกว่ากัน? จวนโหวที่ยิ่งใหญ่นี้ช่างน่าชื่นชมเสียจริง ทั้งบ่าวที่ปากกล้าและทำงานล่าช้า! หากแม้แต่มารยาทอันดีงามยังไม่สามารถอบรมบ่าวได้ ข้าคงไม่ต้องคาดหวังอะไรจากเ้านายของพวกเ้าแล้วกระมัง”
แม่ครัวสาวได้แต่กำหมัดแน่น ไป๋ลู่มองมาที่นาง สายตาที่แสดงออกว่าเบื่อหน่ายนั้นแสดงออกมาจากดวงตาสีเท่าอ่อนคู่งาม ก่อนที่จะเดินชนไหล่แม่ครัวไปอย่างไม่ใยดี
ไป๋ลู่เดินมุ่งตรงไปยังหน้าเตาไฟในครัว ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยพ่อครัวแม่ครัวที่พากันถอยห่าง ทุกคนจ้องฮูหยินของจวนด้วยสายตาหวาดระแวง ไหนลือกันว่าฮูหยินของท่านโหวเป็เพียงเด็กน้อยอมมือคนหนึ่ง นี่มันมารจิ้งจอกชัดๆ กล่าวหาว่านายใหญ่ของจวนปากร้ายทั้งๆ ที่ตัวเองก็วาจาร้ายกาจไม่ต่างจากเขาสักเท่าไหร่
ไม่รอช้า หม้อเหล็กถูกมือเรียวบางหยิบขึ้นมา และตามมาด้วยเครื่องปรุงหลากหลายชนิด
“น้ำมันอยู่ที่ไหน?” ไป๋ลู่เอ่ยออกมา แต่ทว่าในโรงครัวแห่งนี้กลับไม่มีบ่าวคนไหนตอบกลับหรือหยิบน้ำมันให้นางแต่อย่างใด ราวกับว่านางยังคงไม่เป็ที่ยอมรับของคนในโรงครัวแห่งนี้
“เฮ้อ ข้าได้ยินว่าท่านโหวเป็บุรุษที่ร่ำรวยมาก สงสัยว่าจะไม่เป็ความจริงกระมัง แค่น้ำมันขวดเดียวก็ไม่มี น่าเวทนายิ่งนัก”
“แกร๊ก!” ถุงเงินใบโตถูกหญิงสาวโยนลงมาบนโต๊ะไม้ ฟังจากเสียงแล้วในนั้นน่าจะมีก้อนตำลึงเงินและทองอัดไว้อย่างหนาแน่น
“ผิงผิง นำเงินถุงนี้ไปซื้อเครื่องปรุงและน้ำมันในตลาดมาให้หมด หรือหากว่าเ้าออกไปไม่ได้ เกรงว่าข้าคงจะต้องเชิญท่านโหวมาตรวจสอบบัญชีโรงครัวด้วยตัวเอง”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นในทันที เหล่าพ่อครัวแม่ครัวรีบจัดเตรียมวัตถุดิบมาวางไว้บนโต๊ะด้วยท่าทีลนลาน
“ถ้าข้าต้องลงมือหาวัตถุดิบหรือทำอาหารในครัวนี้บ่อยครั้งเข้า พวกเ้าคงต้องหางานใหม่เสียแล้วกระมัง เพราะจวนโหวที่ยิ่งใหญ่นี้คงไม่จำเป็สำหรับคนที่ทำงานได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ อีกต่อไป”
ไม่นานนัก ทั้งน้ำมัน เครื่องปรุงมากมายก็ถูกวางลงบนโต๊ะยาวสำหรับทำอาหารอย่างพร้อมเพรียง ไป๋ลู่แอบยิ้มในใจ คนเหล่านี้แม้จะมีอคติแต่ก็ไม่ได้รับมือยากสักเท่าไหร่
“ฮูหยิน ท่านจะทำอะไร ทำไมท่านถึงต้องใช้ไข่กับน้ำมัน?”
“ข้าอยากทำไข่เจียวทานน่ะ”
“ไข่เจียวคืออะไรหรือเ้าคะ…”
ไป๋ลู่หยิบไข่สามฟองและบรรจงตอกมันลงไปในชาม เติมเกลือลงเล็กน้อย ก่อนจะใช้ตะเกียบตีให้เข้ากันจนเนื้อไข่ฟูสวยงาม
หลังจากที่รอจนน้ำมันในหม้อร้อนจัดจนเป็ฟองสีใส นางก็เทไข่ที่ตีไว้ลงไป
“ฉ่า!” กลิ่นหอมของไข่ก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้องครัว
เหล่าคนครัวที่ได้กลิ่นหอมอันเป็เอกลักษณ์ของไข่เจียว ต่างพากันน้ำลายสอกลับกลิ่นที่ล่องลอยไปในอากาศ
“อืม นี่แหละ อาหารง่ายๆ ที่ไม่ต้องรอใครยกมาให้”
ไป๋ลู่ยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ ในที่สุดก็เริ่มหาวิธีเอาตัวรอดจากโลกนี้ได้แล้ว นางนั่งลงกินข้าวไข่เจียวที่มุมหนึ่งของครัวต่อหน้าบ่าวทุกคน
“ข้ากินไม่หมดหรอก ข้าแบ่งให้พวกเ้า” หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ไป๋ลู่ได้ทำการตักไข่เจียวสีเหลืองอร่ามแบ่งใส่จานใหญ่อีกใบ เพื่อให้คนครัวได้รับประทานด้วยกันในภายหลัง และเดินออกจากห้องครัวไปโดยมีผิงผิงวิ่งรั้งท้ายเช่นเคย ที่ไม่เหมือนเดิมคงจะเป็ทัศนคติของบ่าวในครัวที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“อร่อยมาก!” บ่าวในครัวเอ่ยออกมาเป็เสียงเดียวกันหลังจากที่ได้ลิ้มรสอาหารจากไข่ที่ฮูหยินเป็คนทำ
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอาหารมื้อเช้าแล้ว ไป๋ลู่จึงเดินสำรวจรอบจวนโหวอีกครั้งหนึ่ง สมัยก่อนอลิษาไม่เคยได้มีโอกาสไปเที่ยวตากอากาศ เพราะมัวแต่ทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง พอมีโอกาสได้เดินเล่นเรื่อยเปื่อยท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของเมืองเหนือ หญิงสาวจึงอยากผ่อนคลายเสียหน่อย
หากอยากจะกลับไปยังโลกเดิมต้องทำอย่างไร? หากกลับไปแล้วชีวิตจะลำบากอีกไหม? อยู่ในโลกนี้เหมือนจะมีสามีรวย มีชีวิตที่สุขสบายก็จริง แต่เราจะสามารถมีความสุขที่แท้จริงได้หรือ?
ระหว่างนั้น ไป๋ลู่ก็สะดุดกับเสียงกระซิบกระซาบของบ่าวผู้หญิงสามคนที่จับกลุ่มกันอยู่ไม่ไกล หนึ่งในนั้นคือเหลียนฮวา ผู้ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบนาง
“ฮูหยินก็เป็แค่เด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง ท่านโหวคิดอย่างไรกันถึงแต่งนางเข้ามา”
“นั่นสิ ท่านโหวของพวกเราช่างรูปงามนัก สาวๆ ในจวนต่างพากันอกหักเป็แถว ผู้ที่จะได้เป็ฮูหยินน่าจะเป็สตรีที่คู่ควรกว่านี้”
“ฮูหยินของจวนกลับเป็เพียงสาวน้อยในห้องหอ ไร้ซึ่งความสามารถโดดเด่นใดๆ ข้าชักเป็ห่วงอนาคตของจวนโหวเสียแล้วสิ”
ไป๋ลู่ยืนฟังคำนินทาของพวกนางั้แ่ต้นจนจบ โดยที่ไม่ได้คิดหนีแต่อย่างใด กลับกันนางก้าวไปหาพวกบ่าวเ่าั้ด้วยท่าทางที่มั่นใจ
ไม่ว่าจะอยู่ในภพชาติไหน สังคมใดย่อมต้องมีคนประเภทนี้อยู่เสมอ พวกที่ชอบตัดสินคนจากภายนอก
“พวกเ้ากำลังพูดถึงใครอยู่หรือ?”
“อ๊ะ ฮูหยิน” หนึ่งในบ่าวรีบโค้งตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่เหลียนฮวากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
“ข้าน้อยไม่ได้พูดผิดไปนะเ้าคะ ข้านั้นเป็ห่วงท่านโหวจากใจจริง ก็เลยเผลอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวออกไป หวังว่าฮูหยินจะเข้าใจบ่าว”
“เข้าใจ? เข้าใจว่าการละเลยฮูหยินในจวนเป็เื่ธรรมดาอย่างนั้นหรือ? แม้ข้าจะไม่มีความสามารถโดดเด่น แต่ข้าก็เป็ภรรยาแต่งของท่านโหว ฮ่องเต้พระราชทานมา การที่พวกเ้าดูถูกข้า ไม่ต่างอะไรจากการดูิ่พระราชโองการ!”
“…”
ในสมัยตอนที่เป็อลิษานั้น ไม่มีทั้งอำนาจและไม่มีคนหนุนหลัง เวลาถูกนินทาว่ากล่าวจะตอบโต้กลับก็ไม่สามารถทำได้อย่างใจ แต่ตอนนี้นางมาอยู่ในโลกใหม่ โลกที่ได้สวมบทบาทเป็คนชั้นสูง หากลองใช้บทบาทนี้จัดการปัญหาด้วยกำลังดูบ้าง ผลลัพธ์นั้นจะออกมาเป็เช่นไร?
ระหว่างที่กำลังชั่งใจอยู่นั่นเอง...
“ภรรยาพระราชทานแล้วอย่างไร หากท่านโหวไม่ยอมรับ สาวใช้ปีนเตียงยังจะดีกว่าท่านเสียอีก ถ้าทนไม่ได้ก็หย่าท่านโหวเสียสิ”
เหลียนฮวากล่าวออกมาอย่างจงใจ ด้วยคิดว่าคนที่คู่ควรจะเป็สตรีที่นั่งอยู่ภายในใจของท่านโหวคือนางต่างหาก
ท่านผู้นั้นได้บอกกับนางเอาไว้ ถ้าหากทำให้ทั้งสองหย่ากันได้สำเร็จ ตำแหน่งสตรีของท่านโหวจะกลายเป็ของนางทันที แม้ว่าคำพูดเ่าั้จะฟังดูเหมือนความฝันที่เลื่อนลอย แต่สำหรับนางแล้ว มันก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยงมิใช่หรือ?
“สามหาว! ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง เ้าพูดแบบนี้กับฮูหยินได้อย่างไรกัน?”
ผิงผิงะโออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความเดือดดาล ั้แ่ที่นางลืมตาดูโลกนี้มา สาบานได้ว่าไม่เคยเห็นบ่าวในจวนคนใดที่กล้าหาญพูดจาท้าทายผู้เป็นายเยี่ยงนี้มาก่อน
“เ้าไม่รู้หรือว่าข้ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับท่านโหว? ดูเหมือนว่าข้าต้องอบรมเ้าเสียใหม่!”
สิ้นคำพูด ฝ่ามือของเหลียนฮวานั้นก็สะบัดลงไปที่ใบหน้ากลมสวยของผิงผิงอย่างไร้ความปรานี รอยแดงปรากฎขึ้นที่ใบหน้าซีกซ้าย ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้ถูกกระทำและนายหญิงของจวน
จะมากเกินไปแล้ว ถึงแม้นางจะไม่เป็ที่รักของเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครจะมีสิทธิ์มาหยามเกียรติของนางได้
“งั้นถ้ามีใครในจวนไม่รู้หน้าที่ของตัวเอง ข้าในฐานะฮูหยินก็มีสิทธิ์อบรมสั่งสอนเช่นกันสินะ”
ไป๋ลู่ชำเลืองไปเห็นถังน้ำเล็กที่ใช้ซักผ้าวางอยู่ไม่ไกล จึงหยิบขึ้นมาและสาดไปยังสาวใช้เ่าั้ทันที น้ำเย็นจัดที่เปียกโชกนั้นทำให้เหลียนฮวากรีดร้องออกมาด้วยความใ
“ฮูหยินรังแกบ่าว!” เหลียนฮวาะโออกมาด้วยความใ ไม่คาดคิดว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างไป๋ลู่จะกล้าทำร้ายนางเช่นนี้
“ข้าแค่ช่วยล้างปากเ้าให้สะอาดขึ้นน่ะ”
ไป๋ลู่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ แต่ดวงตาสีเทาอ่อนคู่งามกลับฉายแววเย็นะเื จนทำให้ผู้ฟังรู้สึกสั่นสะท้านราวกับถูกสายลมหนาวพัดผ่านกลางฤดูร้อน
“หากครั้งหน้าพวกเ้ากล้าทำเช่นนี้อีก ข้าคงจะไม่หยุดแค่ถังน้ำ”
“ข้าจะไปรายงานท่านโหว ท่านไม่รอดแน่!” เสียงขู่ของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความโกรธเคือง แต่ไป๋ลู่ทำแค่เพียงหัวเราะเบาๆ
ฎเชิญเลย ฝากบอกท่านโหวด้วยว่าข้าจะนั่งรอเขาอยู่ที่นี่”
น้ำเสียงของนางทำให้ผู้ฟังต้องชะงักไป ราวกับเริ่มตระหนักว่าผู้หญิงตรงหน้านี้ไม่ใช่คนที่สามารถดูถูกหรือรังแกได้ง่ายๆ อีกต่อไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้