อยากหาหน้าร้านสักแห่งที่เหมาะสมในย่านซีตัน เื่นี้จะบอกว่ายากก็ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับว่าให้ใครเป็ผู้จัดการ
หลังเซี่ยเสี่ยวหลานพาเฉินซีเหลียงไปเดินรอบๆ ย่านซีตัน เฉินซีเหลียงก็ตกลงไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลกับผู้จัดการใหญ่อู่ทันที ตอนนี้ผู้จัดการใหญ่อู่ใกล้จะเหมือนนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เข้าไปทุกวัน ทว่าหากให้เซี่ยเสี่ยวหลานกับเฉินซีเหลียงไปหาหน้าร้านเอง ไม่รู้ว่าคนทั้งสองจะต้องเสียแรงเสียเวลามากแค่ไหน คนต่างถิ่นที่ไม่มีเส้นสาย ย่อมไม่รู้ว่าจะต้องจ่ายค่าน้ำชาให้กับหน่วยงานไหนบ้าง!
แต่ผู้จัดการใหญ่อู่นั้นไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้
เขาไม่ได้ต่อสู้เพียงลำพัง พันธบัตรรัฐบาลคือภารกิจที่ถูกมอบหมายให้กับคนทั้งสาขา อีกไม่นานก็จะถึงสิ้นปีแล้ว ผู้จัดการใหญ่อู่ยังคงรู้สึกกลุ้มใจ ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานได้แนะนำเถ้าแก่จากทางใต้มาซื้อพันธบัตรกับเขาเพิ่มอีกหนึ่งคน เื่หาหน้าร้านไม่ใช่เื่ยาก หากผู้จัดการอู่ไม่มีเส้นสาย เขาก็ยังมีญาติสนิทมิตรสหาย และมีพนักงานธนาคารทั้งสาขาเป็กำลังเสริม!
เพื่อปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จ เพื่อเงินโบนัสปลายปี เพื่อให้ได้เป็พนักงานดีเด่น การหาหน้าร้านที่ซีตันนั้นไม่ใช่เื่ใหญ่แต่อย่างใด
เฉินซีเหลียงเหมือนกับหลิวหย่ง เพียงเปิดปากก็ขอซื้อพันธบัตรสองหมื่นหยวน เขาจริงใจกับการสนับสนุนการสร้างประเทศเป็อย่างยิ่ง ความจริงใจของผู้จัดการใหญ่อู่เองก็เต็มเปี่ยมเช่นกัน ผู้จัดการใหญ่อู่คิดอยู่แล้วว่าตนมองเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ผิด ช่างเป็นักศึกษาที่ดีจริงๆ ทั้งบริจาคหนังสือให้กับห้องสมุดโรงเรียนมัธยมปลายของตนโดยไม่สนใจเื่ชื่อเสียง แถมยังแนะนำลูกค้าชั้นเลิศให้กับเขาตั้งสองคน
เซี่ยเสี่ยวหลานถูกความกระตือรือร้นของผู้จัดการใหญ่อู่ทำเอาขนลุกซู่
เธอรู้สึกว่าต่อให้อยากได้หน้าร้านที่หวังฝูจิ่งก็คงเป็ไปได้ หากซื้อพันธบัตรรัฐบาลมูลค่าสองแสนหยวนในคราวเดียว ผู้จัดการใหญ่อู่อาจจะเอาหน้าร้านทั้งหมดที่สามารถเช่าได้ในกรุงปักกิ่งมากองตรงหน้าไว้ตรงหน้าเธอ แล้วให้เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกตามใจชอบอย่างแน่นอน
“คงต้องรบกวนคุณอีกแล้วค่ะ”
ประโยคนี้ของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้ผู้จัดการใหญ่อู่กระตือรือร้นขึ้นมาก “ไม่รบกวน ไม่รบกวนเลย ช่วยลูกค้าขจัดเื่กลุ้มใจ คือสิ่งที่พนักงานธนาคารอย่างพวกเราสมควรทำ”
สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิของการปฏิรูปเศรษฐกิจยังพัดผ่านไปไม่ทั่วแผ่นดินจีน แต่ความคิดของผู้จัดการใหญ่อู่นั้นเชื่อมต่อกับประชาคมโลกเป็ที่เรียบร้อย ธนาคารคือธุรกิจทางการเงิน พนักงานธนาคารย่อมเป็พนักงานทางการเงิน ทว่าหลายๆ ครั้งพวกเขาก็เห็นตัวเองเป็พนักงานบริการด้วยเช่นกัน
ผู้จัดการใหญ่อู่รับรู้ได้ถึงประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ ช่วยแก้ไขปัญหาให้ลูกค้า ลูกค้าก็จะซื้อพันธบัตรรัฐบาล ทั้งสองฝ่ายยินดีปรีดา ช่างเป็การแลกเปลี่ยนที่สมบูรณ์แบบ
ถึงอย่างไรญาติสนิทมิตรสหายของผู้จัดการใหญ่อู่ก็สามารถสืบเสาะหาข่าวสารกับบรรดาคนรู้จักได้ว่า บ้านหลังไหน้าขาย หน้าร้านไหนต้องไปหาหน่วยงานใดเพื่อขอเช่า
เื่นี้เป็สิ่งที่สามารถใช้เครือข่ายคนรู้จักจัดการได้
ยุคสมัยนี้ต้นทุนการสร้างเครือข่ายราคาไม่แพง แค่บุหรี่หนึ่งแถวกับสุราหนึ่งขวดก็เพียงพอแล้ว
เครือข่ายของเขาไม่มีกำลังซื้อพันธบัตรรัฐบาล เมื่อเขาเอ่ยปากขอให้ช่วยซื้อเมื่อไร เพื่อนสนิทรังแต่จะหนีไปให้ไกลจากสายตาน่ะสิ
คนที่ทำงานธนาคารต้องซื้อพันธบัตรกันเองเป็เื่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังถูกผู้จัดการใหญ่อู่ขอให้ซื้อเพิ่มอีกด้วย ทว่าพนักงานทุกคนล้วนมีครอบครัวต้องดูแล ไม่ว่าเื่ไหนก็จำเป็ต้องใช้เงินทั้งสิ้น พันธบัตรรัฐบาลไม่เหมือนบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หากยังไม่ครบกำหนดก็จะถอนเงินออกมาไม่ได้
หลังได้รู้จักกับเซี่ยเสี่ยวหลานผู้นี้ เท่ากับมีลูกค้ามาหาถึงที่ไม่ขาดสาย
ผู้จัดการใหญ่อู่ไม่กลัวการช่วยเหลือผู้อื่น เขาช่วยคนอื่นได้ คนอื่นจึงมาหาเขา มิเช่นนั้นจะมีใครโง่ถึงขั้นเดินมาซื้อพันธบัตรรัฐบาลเองบ้างเล่า
ไปขอให้ญาติที่มีฐานะยากจนมาซื้อก็เปล่าประโยชน์ ควรจับคนมีสตางค์อย่างนักศึกษาเซี่ยไว้ให้มั่น เพื่อนคนมีสตางค์ย่อมมีสตางค์ คนประเภทเดียวกันย่อมรู้จักกันมิใช่หรือ
“ผู้จัดการธนาคารคนนี้...”
เฉินซีเหลียงเอ่ยชม เขานึกว่าคนระดับผู้บริหารของธนาคารจะทำตัวสูงส่งกันหมดเสียอีก
เฉินซีเหลียงเป็พ่อค้าขายส่ง จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้ติดต่อกับธนาคารมากนัก
แน่นอนว่าคนระดับหัวหน้าที่ลงมือกระตุ้นยอดด้วยตัวเองอย่างผู้จัดการใหญ่อู่นั้นเดิมทีแล้วมีไม่เยอะ เนื่องจากหัวหน้าบางคนมักโยนงานให้ลูกน้องไปจัดการแทน
ผู้จัดการใหญ่อู่ไม่ได้เสนอสินเชื่อให้กับเฉินซีเหลียง ถึงอย่างไรแบรนด์สินค้าที่เฉินซีเหลียงบอกว่าจะทำก็ยังไม่ได้จดทะเบียน ยังไม่มีสิ่งไหนที่สามารถจับต้องได้ในตอนนี้ ผู้จัดการใหญ่อู่จึงไม่ได้พูดถึงสินเชื่อ แต่แค่นี้เฉินซีเหลียงก็รู้สึกประหลาดใจมากแล้ว ผู้จัดการธนาคารยอมมาเป็นายหน้าหาหน้าร้านให้ นี่คือสิ่งที่เขาไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ
หากให้เถ้าแก่เฉินจัดการเื่เหล่านี้เอง อาจจะเสร็จอีกทีในอีกหลายปีข้างหน้า และแน่นอนว่าการปรากฏตัวของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้เฉินซีเหลียงก้าวเข้าสู่เส้นทางของการก่อตั้งธุรกิจได้เร็วขึ้น
ทั้งสองคนเดินรอบซีตันอยู่สองรอบ มีหน้าร้านที่เหมาะสมและถูกใจอยู่หลายแห่ง แต่จะเช่าสำเร็จหรือไม่ก็คงต้องฝากผู้จัดการใหญ่อู่ใช้เส้นสายสอบถามดูอีกที
เฉินซีเหลียงซื้อพันธบัตรรัฐบาลคราวเดียวสองหมื่นหยวน เซี่ยเสี่ยวหลานจึงฉวยโอกาสนี้หาหน้าร้านเสื้อผ้าของตนไปพร้อมกันเสียเลย
‘Luna’ ้ามีหน้าร้านแบรนด์ตัวเอง ส่วนร้านเสื้อผ้าของเซี่ยเสี่ยวหลาน้าขยายสาขา สองเื่นี้ไม่ขัดแย้งกันแต่อย่างใด ก็เหมือนที่เฉินซีเหลียงอยากทำแบรนด์เสื้อผ้า แต่เขาก็คงไม่อาจทิ้งธุรกิจค้าส่งไปได้ เฉินซีเหลียงทำธุรกิจนี้มาสองสามปีแล้ว มีลูกค้าประจำที่มั่นคง หากเปิดแบรนด์เสื้อผ้าสตรีก็ไม่รู้ว่าต้องลงทุนอีกเท่าไร ดังนั้นธุรกิจค้าส่งคือแหล่งเงินทุนของเฉินซีเหลียง และอนาคตก็จะกลายเป็ช่องทางประชาสัมพันธ์สินค้าของตนอีกด้วย
เฉินซีเหลียงอยู่ที่ปักกิ่งสองวัน เซี่ยเสี่ยวหลานจึงถอนเงินห้าหมื่นจากบัญชีของโจวเฉิงมาให้เขา
ลงทุนคนละสองแสนหยวน แต่คงออกทุนรวดเดียวเลยไม่ได้ ดำเนินการถึงขั้นไหน ต้องใช้เงินเท่าไร เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ดี ย่อมไม่ถูกหลอกง่ายๆ อยู่แล้ว นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้มีประสบการณ์กับผู้ด้อยประสบการณ์ จะบอกว่ามีประสบการณ์แล้วคงไม่ถูกหลอกก็ไม่แน่ใจนัก แต่อย่างน้อยโอกาสที่จะติดหลุมพรางก็ลดลงมาก นอกเสียจากเซี่ยเสี่ยวหลานจะลงมือทำเองทุกขั้นตอน เธอถึงจะยอมลงเงินทุนทั้งหมดในคราวเดียว
หลังตกลงร่วมทุนกันแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานจึงเขียนจดหมายไปบอกโจวเฉิง
ไม่รู้ว่าโจวเฉิงอยู่ที่วิทยาลัยทหารบกเป็อย่างไรบ้าง จนถึงตอนนี้เขายังไม่โทรมาหาเธอเลยสักครั้ง จดหมายก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับมาเช่นกัน เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเป็ห่วงเหลือเกิน
—----------------------------------------------------
ทังหงเอินมาถึงปักกิ่งแล้ว เขาไม่ได้ไปที่มหาวิทยาลัยหัวชิงเป็ลำดับแรก และไม่ได้ไปที่บ้านตระกูลจี้แต่อย่างใด
เขาเดินทางไปที่หลุมศพของผู้เฒ่าจี้ เคารพศพด้วยช่อดอกเบญจมาศขาว ภาพขาวดำของผู้เฒ่าจี้สีหน้าดูเข้มงวด เป็สีหน้าที่ชายชรามักทำเป็ประจำ ทังหงเอินกับจี้หย่าเคยใช้ชีวิตร่วมกันมาเก้าปี หลังแต่งงานกันจี้หย่าก็ได้ติดตามเขาไปทำงานที่อวี้หนาน ทำให้ไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับคนตระกูลจี้มากนัก มีเพียงเทศกาลปีใหม่ที่พวกเขาจะมีโอกาสเจอกับคนตระกูลจี้ และทุกครั้งที่พบหน้ากัน ทังหงเอินก็คิดว่าตนทำหน้าที่ของลูกเขยที่ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ทว่าในสายตาคนตระกูลจี้กลับยังไม่เพียงพอ
ตอนทังหงเอินเกิดเื่ เขาควรเป็ฝ่ายปล่อยมือจากจี้หย่า ควรเป็ฝ่ายตีตนออกหากไม่ทำให้ตระกูลจี้ต้องเดือดร้อน ไม่ใช่รอให้จี้หย่าเป็ฝ่ายขอหย่าร้างเช่นนี้
ทังหงเอินเชื่อมั่นว่าตนไม่ได้ทำอะไรผิด เขายืนหยัดในความคิดของตัวเอง เชื่อว่าสักวันแสงสว่างจะสาดส่องมายังเขาอีกครั้ง แต่ตระกูลจี้กลับอยากให้ทังหงเอินยอมจำนน ความจริงแล้วทังหงเอินเป็ฝ่ายถูก แม้เขาจะถูกส่งตัวไปทำงานที่คอกวัว แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถกลับคืนสู่ตำแหน่งได้แล้ว หากเขายอมลดศักดิ์ศรีกลายเป็คนหัวอ่อน ก็คงไม่มีชีวิตที่สดใสอย่างทุกวันนี้แน่นอน!
ไม่มีครอบครัวคอยหนุนหลัง แต่สามารถขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ได้ตอนอายุเพียงสี่สิบกว่าปี เห็นได้ชัดว่าทังหงเอินต้องทุ่มเทตรากตรำกว่าคนอื่นมากแค่ไหน
เขาไม่ได้ทำไปเพื่ออำนาจ แต่ทำไปเพื่ออุดมการณ์ของตนเอง!
จี้หย่าขอหย่าร้าง ทั้งยังพาลูกชายไปด้วยกัน ทังหงเอินไม่โกรธเธอแม้แต่น้อย เขาคงไม่อาจขอให้ลูกเมียยอมทนลำบากเพื่ออุดมการณ์ของตัวเขาได้ แต่การเปลี่ยนแปลงของจี้หย่าในตอนนี้ ทังหงเอินรู้สึกรับไม่ค่อยได้สักเท่าไร
จี้หย่าไม่มีทางเชื่อคำโน้มน้าวใดอย่างแน่นอน
เทียบกับการปล่อยให้จี้หย่าไปสร้างความเดือดร้อนกับเด็กสาวคนหนึ่ง สู้ยอมให้เธอเอาโทสะมาลงที่เขาเสียจะดีกว่า
แน่นอนว่าเขาอยากคุยกับคนตระกูลจี้อยู่พอดี!
หลังรู้ว่าทังหงเอินมาถึงปักกิ่ง คนที่โกรธที่สุดกลับไม่ใช่จี้หย่า แต่เป็คุณลุงของจี้เจียงหยวน ผู้เฒ่าจี้เพิ่งเสียไปได้ไม่นาน ทังหงเอินเห็นว่าตระกูลจี้หมดที่พึ่งแล้วหรืออย่างไร ถึงคิดมารังแกกันถึงที่?!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้