"กลุ่มแปลอักษร?"
"ใช่ เป็หนึ่งในองค์กรลับที่อันตรายและลึกลับที่สุดองค์หนึ่ง เป้าหมายของพวกมันคือการตามหาคัมภีร์หรือจารึกจากยุคโบราณ"
"ถ้าแค่นั้น ทำไมพวกมันถึงอันตรายล่ะครับ?"
"ถ้าพวกมันตามหากันด้วยวิธีปกติ ก็คงไม่เป็ไร แต่พวกนั้นไม่สนวิธีการเพื่อให้ได้สิ่งที่้า แต่ละการกระทำล้วนสร้างหายนะ ไม่ว่าจะเป็การปล้น ขโมย หรือแม้แต่ลักพาตัว"
"อย่างนี้นี่เอง ถ้างั้น การที่ไมเคิลหายตัวไปก็…"
"ใช่ สาเหตุมาจากพวกกลุ่มนั้น แม้เรายังไม่รู้ชัดว่าพวกนั้น้าอะไรจากไมเคิล แต่ที่รู้คือตอนเขาหายตัวไป เขาพกกระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบหนึ่งไปด้วย และข้างในนั้นน่าจะเป็สิ่งที่พวกมันตามหา นั่นคงเป็เป้าหมายของพวกมัน"
ชาร์ลส์พยักหน้า เห็นด้วยกับบทสรุปนั้น "เท่าที่ฟังมา ไม่น่าจะเป็เื่ยากสำหรับทางการที่จะจัดการกลุ่มแปลอักษร ทำไมพวกนั้นถึงยังไม่ถูกกำจัดจนถึงตอนนี้"
"เธอจำเื่ก่อนสลบไปได้ไหม?" เอ็ดเวิร์ดย้อนถาม
ชาร์ลส์ย้อนนึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้ในตรอกแคบ "จำได้ ตอนนั้นคนของคุณะโคำแปลกๆ ออกมา แล้วผมก็โดนบางอย่างที่มองไม่เห็นกระแทกจนสลบไป"
เอ็ดเวิร์ดพยักหน้า "นั่นคือเวทมนตร์ ศาสตร์ลึกลับจากอดีตกาล ทั้งอันตรายและทรงพลังในเวลาเดียวกัน กลุ่มแปลอักษรที่มุ่งเป้าหมายรวบรวมข้อมูลจากยุคโบราณนั้น มีความรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์อยู่มากพอตัว แต่ที่อันตรายกว่านั้นก็คือ…"
เอ็ดเวิร์ดหันไปส่งสัญญาณบางอย่างให้โจเซฟ จากนั้นโจเซฟก็ถอนหายใจออกมา ปรากฏสีหน้ารู้สึกจนใจ เขาเดินเข้ามาหาชาร์ลส์ แล้วพูดขึ้น
"อย่าขยับ" โจเซฟประกาศ
"นายลองลุกขึ้นยืนสิ" โจเซฟพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ชาร์ลส์มองโจเซฟอย่างฉงน แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นจากเตียง แต่กลับพบว่าร่างกายไม่ตอบสนอง เหมือนมีแรงต้านมหาศาลกดทับเขาไว้กับที่ ไม่ว่าจะออกแรงแค่ไหนก็ไม่เป็ผล
"นี่มันอะไรกัน?" ชาร์ลส์ร้องออกมาอย่างใ
"ไม่ต้องใ" โจเซฟพูดพลางยกมือขึ้น "ฉันแค่สั่งให้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้ขยับไม่ได้เท่านั้นเอง"
ตอนที่โจเซฟเริ่มพูด ชาร์ลส์ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่หายไป เขาสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างง่ายดายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"นี่มัน... เป็ไปได้ยังไง? หรือว่าเพราะเวทมนตร์?" ชาร์ลส์ถามอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
"นั่นแตกต่างจากเวทมนตร์ที่ฉันบอกไปก่อนหน้า มันคือพลังอีกแบบ พลังที่ดลบันดาลให้เกิดสิ่งที่ขัดแย้งกับกฎธรรมชาติได้ ไม่ว่าจะเป็พลังที่เธอััด้วยตัวเองก่อนหน้านี้ หรือความสามารถในการอ่านใจ และตัวตนที่มีพลังแบบนี้ กลุ่มแปลอักษรมีอยู่เยอะทีเดียว" เอ็ดเวิร์ดเป็คนตอบ
ชาร์ลส์ยังคงทึ่งปนหวาดหวั่น เขาไม่เคยเห็นพลังแบบนี้มาก่อน มันทั้งน่าอัศจรรย์และน่ากลัวในเวลาเดียวกัน เื่เวทมนตร์และพลังพิเศษเหล่านี้ สั่นคลอนความเชื่อมั่นที่ยึดถือเหตุผลและไม่เชื่อเื่เหนือธรรมชาติของเขาอย่างหนัก
หากแต่เมื่อได้เห็นกับตา ต่อให้ไม่อยากเชื่อก็ต้องเชื่อ สิ่งที่เขายึดถือกับเื่ราวเหนือธรรมชาติที่เพิ่งได้รับรู้นี้ ตีกันจนเกิดความสงสัยกับ ทุกคดี ทุกเหตุการณ์ ที่เขารับงานสืบสวนและเปิดโปงความจริงในฐานะนักสืบ เขาเคยจับตัวคนผิดได้จริงๆ หรือเปล่า? หรืออาจมีคดีที่มีเื่เหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเขาอาจสรุปผิดและจับผิดตัวไปก็เป็ได้
เอ็ดเวิร์ดมองชาร์ลส์ที่สับสน "วางใจเถอะ ถ้าคดีเ่าั้มีเื่เหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง มันคงไม่มาถึงมือนักสืบอย่างเธอแน่ เพราะหน่วยพิเศษจะเข้าไปจัดการก่อน" เอ็ดเวิร์ดพูดพร้อมกับอ่านใจนักสืบหนุ่ม
ได้ฟังเช่นนั้น ความสับสนของชาร์ลส์ก็ลดลงบ้าง แต่ไม่ถึงกับหมดไป เื่ราวเหล่านี้อาจจะยังคงวนเวียนอยู่ในใจเขา
"จากเื่ทั้งหมดที่เล่ามา เพราะเหตุนี้ฉันถึงอยากให้เธอเข้าร่วมหน่วยพิเศษ ความสามารถของเธอจะเป็ประโยชน์กับเรา และที่สำคัญ เธอเองก็มีส่วนทำให้กลุ่มแปลอักษรยังไม่ถูกกำจัดจนถึงตอนนี้ด้วย"
"หะ?" คำพูดของเอ็ดเวิร์ดทำเอาชาร์ลส์ตะลึงงันไปชั่วขณะ
"เมื่อสองวันก่อน พวกเราเตรียมตัวบุกทลายที่ซ่อนของพวกมัน แต่เกิดเื่ไม่คาดคิดขึ้น ทหารพิทักษ์เมืองเข้าไปตรวจค้นบ้านเด็กกำพร้าที่อยู่แถวนั้น จากจำนวนทหารที่เพิ่มขึ้น พวกกลุ่มแปลอักษรจึงย้ายหนี ทำให้แผนการโจมตีล้มเหลวั้แ่ยังไม่เริ่ม พวกเราก็เลยสืบหาต้นตอของเหตุการณ์นี้..."
“แล้วพบว่าเื่นี้มีเธอเป็ต้นเหตุ จำได้ไหม คดีที่คฤหาสน์สโตน ที่หญิงรับใช้คนหนึ่งวางยาฆ่าเ้านายของตัวเองกับเพื่อนของเ้านาย"
ที่เอ็ดเวิร์ดเล่านั้นทำให้ชาร์ลส์ตะลึงไปชั่วขณะ เขาจำได้ว่ามีคดีหนึ่ง ที่สืบสานย้อนกลับไปถึงบ้านเด็กกำพร้านในเขตเมืองเก่า เื่ราวที่เขาภาคภูมิใจว่าสืบจนเปิดโปงได้ กลับก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่ตัวเขาเองไม่ได้ตั้งใจ
"นี่แกนี่เองที่ทำให้แผนพวกเราพัง!" เ้าหน้าที่ที่กำลังทำแผลจากการโดนชาร์ลส์อัดก่อนหน้านี้ะโขึ้นมาด้วยความโกรธแค้นเมื่อได้ฟังคำพูดของเอ็ดเวิร์ด
"ฉันก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะไปทำให้แผนของใครพังซะหน่อย!" ชาร์ลส์เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ เขายืนยันว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไร ทุกอย่างที่ทำล้วนเป็ไปตามขั้นตอนของนักสืบ
"แต่ก็ไปทำให้แผนของพวกเราพังไม่ใช่รึไง รู้หรือเปล่าว่าพวกเราวางแผนและเตรียมตัวมานานแค่ไหน!?" เ้าหน้าที่คนนั้นยังไม่หยุดโจมตีชาร์ลส์ด้วยคำพูดเสียดสี
"แล้วก่อนหน้านั้นไม่มีใครประสานงานกับพวกทหารพิทักษ์เมืองกันก่อนเลยหรือไง?" ชาร์ลส์กระแทกประโยคตอบกลับไปอย่างเหลืออด
ทั้งคู่ทะเลาะและโต้เถียงกันไม่หยุดหย่อน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมใคร โจเซฟเห็นเหตุการณ์เริ่มบานปลาย จึงรีบเดินเข้ามาคั่นกลาง
"หยุดได้แล้ว! อย่ามาทะเลาะกันเองแบบนี้สิ" โจเซฟพยายามห้ามทั้งคู่ให้หยุดโต้เถียง ซึ่งก็ใช้เวลาพักใหญ่กว่าทั้งคู่จะยอมลดความดื้อรั้นลงมา โจเซฟจึงได้ถอนใจแล้วมองเอ็ดเวิร์ดขอความช่วยเหลือ
เอ็ดเวิร์ดพยักหน้า ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยกับชาร์ลส์อีกครั้ง "งานนี้ถ้าเธอช่วยจนสำเร็จ เธอสามารถเอาผลงานไปรับค่าตอบแทนจากสมาคมรับจ้างได้เลย"
ชาร์ลส์ถึงกับอึ้ง ไม่เข้าใจว่าทำไมเอ็ดเวิร์ดถึงยื่นข้อเสนอที่ดูเหมือนเอื้อประโยชน์ให้เขาฝ่ายเดียวแบบนี้ เขาสงสัยถามกลับไป "ทำไมคุณต้องให้ผมรับผลงานทั้งหมดด้วย นี่มันงานของพวกคุณไม่ใช่เหรอ?"
"เพราะการทำงานของพวกเราเป็ความลับ ถ้าให้เธอเอาผลงานนี้ไปคนเดียว พวกเราก็ไม่จำเป็ต้องหาข้ออ้างอื่นมาแก้ตัวให้ยุ่งยาก" เอ็ดเวิร์ดตอบกลับอย่างหนักแน่น
ชาร์ลส์นิ่งคิดไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเปิดปาก "ผมว่า..."
"ถ้าจะปฏิเสธ งั้นเราก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคุมตัวเธอไว้อย่างใกล้ชิด" เอ็ดเวิร์ดพูดสวนออกมา
"ทำไมต้องทำขนาดนั้นด้วย!?"
"เธอตกเป็เป้าหมายของกลุ่มแปลอักษรไปแล้ว ดังนั้นเราจำเป็ต้องคุ้มครองและดูแลเธออย่างใกล้ชิด" คำตอบของเอ็ดเวิร์ดชัดเจน ไม่มีทางให้ชาร์ลส์ปฏิเสธ
หลังได้ทบทวนและไตร่ตรองอย่างดี ท่ามกลางทางเลือกที่ไม่เหลือกี่ทาง ชาร์ลส์ได้แต่ถอนหายใจ ยอมรับข้อเสนอกึ่งๆ บังคับของเอ็ดเวิร์ดในที่สุด เอ็ดเวิร์ดยิ้มพึงพอใจเล็กน้อยที่ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกแบบที่เขาหวัง
แล้วโจเซฟก็เอ่ยขึ้นมา "เื่ดูแลและสอนงานต่าง ๆ ให้เขา ผมขอรับหน้าที่นี้เองแล้วกัน ผมสนิดกับเขาที่สุดในหมู่พวกเรา" โจเซฟอาสารับหน้าที่คุมชาร์ลส์อย่างใกล้ชิด ซึ่งเอ็ดเวิร์ดก็อนุญาตในทันที
โจเซฟพยุงชาร์ลส์ออกจากห้องเดินไปตามทาง โดยถือตะเกียงส่องนำทาง แสงไฟจากตะเกียงส่องให้เห็นเพียงรอบๆ ตัว ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบดูลึกลับและน่าขนลุก เส้นทางที่พวกเขาเดินค่อยๆ เปลี่ยนเป็ขั้นบันไดสูงชัน ทอดยาวขึ้นไป้า ชาร์ลส์และโจเซฟต่างนิ่งเงียบไม่พูดอะไรกันตลอดทาง ได้แต่มุ่งสมาธิไปกับการก้าวเดินอย่างระมัดระวังไม่ให้สะดุดล้ม
หลังจากเดินจนสุดทางแล้ว ชาร์ลส์หันกลับไปมองเส้นทางที่เพิ่งผ่านมา บันไดลงสู่ใต้ดินค่อยๆ เลือนหายไป กลืนหายเข้าไปกับผนังและพื้นเก่าคร่ำคร่าราวกับไม่เคยมีอะไรอยู่ตรงนั้นมาก่อน
ภายนอกเป็เพียงซากปรักหักพังใกล้จะถล่ม ผนังปูนร้าวและมอดผุกร่อน หน้าต่างแตกละเอียด มองเผินๆ ก็บ้านร้างทั่วไป ไม่มีอะไรน่าสนใจ ทว่าภายในกลับมีความลับซ่อนเร้นเอาไว้
ชาร์ลส์กวาดตามองรอบด้านอย่างพิจารณา แสงจันทร์สาดส่องทอประกายระยิบระยับ เงาสะท้อนจากแสงตะเกียงเต้นเร่าอยู่ตามซอกหลืบ ณ บัดนี้เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาลแล้ว
ด้านหน้ามีรถม้าจอดรออยู่คันหนึ่ง เมื่อโจเซฟพาชาร์ลส์เดินไปใกล้ เขาก็ค่อยๆ ประคองชาร์ลส์ขึ้นไปบนรถอย่างระมัดระวัง คนขับรถหันมามองทั้งคู่ สีหน้าฉายแววสงสัยขณะมองชาร์ลส์อย่างประเมิน
โจเซฟรีบโบกมือปฏิเสธไม่ให้คำตอบ พลางทำปากขมุบขมิบ บอกเป็นัยว่าจะอธิบายทีหลัง คนขับรถพยักหน้ารับ แม้ในใจจะอัดแน่นไปด้วยคำถามมากมาย แต่เขาฝืนกลั้นความสงสัยเอาไว้ ตัดสินใจขับรถออกไปทันที รู้ดีว่าต่อให้ตอนนี้ยังไม่ได้คำตอบ แต่ในไม่ช้าทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง อยู่ที่ว่ารู้ช้ารู้เร็วต่างกันเท่านั้น
รถม้าแล่นไปบนถนนที่เงียบสงัดยามราตรี เสียงกีบเท้าและล้อไม้บดขยี้ผิวทางสะท้อนก้องท่ามกลางความมืด ชาร์ลส์และโจเซฟนั่งเผชิญหน้ากันอยู่ในรถ ชาร์ลส์เพ่งมองโจเซฟอย่างหวาดระแวง ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ยอมเบนสายตาจากเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้