รั่วปินถูกนำตัวออกจากห้องฉุกเฉิน แล้วส่งกลับมาในห้องพักผู้ป่วย แต่ว่าร่างกายของเธอก็ยังคงอ่อนแออยู่มาก เพราะว่ายาจิ่วเซียงยี่ลู่เป็ยาเทวดา มีฤทธิ์ต้านพิษของ ‘ผีมาเอาชีวิต’ ได้ แต่ว่าฉินหลางไม่ได้มาในเวลาที่เหมาะสมที่สุด พิษได้กระจายไปทั่วร่างกายของเธอแล้ว ยาจิ่วเซียงยี่ลู่จึงทำได้เพียงกระตุ้นพลังชีวิตของเธอให้เพิ่มมากขึ้น ยืดเวลาที่พิษจะกำเริบเท่านั้นเอง
โซ่งเวินหยูมองฉินหลางด้วยความรู้สึกสับสน ด้านหนึ่ง เธอมองว่าที่รั่วปินป่วยก็ยังคงเป็เพราะฉินหลางอยู่ดี แต่อีกด้านหนึ่ง เธอก็รู้ว่าฉินหลางเพิ่งช่วยชีวิตลูกสาวเขาไว้
ในเวลานี้โซ่งเวินหยูไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะสู้หน้าฉินหลางยังไง
ดังนั้นโซ่งเวินหยูจึงทำได้เพียงเฝ้ามองลูกสาวของเธออยู่เงียบๆ
รั่วไห่ชวนเรียกฉินหลางออกมานอกห้องพักผู้ป่วย แล้วถามฉินหลางว่า “เ้าฉิน ตอนนี้อาการของเ้าปินเป็ยังไงกันแน่? บอกความจริงกับฉัน ฉันยอมรับได้”
“พิษได้กระจายไปทั่วร่างกายของเธอแล้ว ตอนนี้ผมทำได้แค่ยืดเวลาที่พิษจะกำเริบออกไป ดูจากสภาพปัจจุบัน ยังเหลือเวลามากสุด 24 ชั่วโมง ถึงตอนนั้น ผมก็จนปัญญาเหมือนกันครับ!” ฉินหลางพูดอย่างเ็ป
“อะไรนะ!” แม้ว่ารั่วไห่ชวนจะเดาได้บ้างแล้ว แต่เมื่อรู้ผล เขาก็ยังคงรับไม่ได้อยู่ดี
“คุณอาครับ แม้ว่าผมจะจนปัญญา แต่ว่าอาจารย์ผมอาจจะทำได้” ฉินหลางกล่าว “ผมจะไปขอเขา!”
ฉินหลางพูดว่า ‘ขอ’ ไม่ใช่ ‘เชิญ’ เพราะเขารู้ว่าตาเฒ่าพิษไม่ช่วยชีวิตใครง่ายๆ
“เ้าฉิน ไม่ว่า้าเงินมากแค่ไหน หรือมีข้อแม้อะไร ขอเพียงอาจารย์ของเธอสามารถรักษารั่วปินได้ ฉันจะพยายามให้เธอเต็มที่ ฉันรู้ว่าพูดแบบนี้ดูไม่ค่อยดี แต่นี่คือการแสดงจุดยืนของฉัน รั่วไห่ชวน!” รั่วไห่ชวนพูดขึ้น
“ผมเข้าใจครับคุณอา” ฉินหลางพยักหน้า “ผมมีหนึ่งข้อแม้ ให้ผมคุยกับรั่วปินสักสองสามคำได้ไหมครับ?”
“ได้” รั่วไห่ชวนพยักหน้า เขาเปิดประตูห้องผู้ป่วยเบาๆ จากนั้นบอกกับโซ่งเวินหยูว่า “เวินหยู เธอให้ฉินหลางคุยกับรั่วปินเป็การส่วนตัว สักสองสามคำเถอะ”
โซ่งเวินหยูกำลังจะปฏิเสธ รั่วไห่ชวนก็กระซิบเบาๆ ข้างหูเธอ “เวลาของลูกเหลือไม่มากแล้ว คุณจะให้ลูกมีความสุขหน่อยไม่ได้รึไง?”
โซ่งเวินหยูตัวสั่นเทา ตาแดง รีบหมุนตัว แล้วรั่วไห่ชวนพยุงเธอเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย
“ฉินหลาง…”
รั่วปินยิ้มจางๆ รอยยิ้มนั้นราวกับดอกเหมยสีขาวที่สั่นสะท้านอยู่ท่ามกลางหิมะงดงามแต่อ่อนแอ “ตอนแรกฉันคิดว่า…จะไม่ได้เจอนายอีกแล้ว…คิดไม่ถึงว่านายจะส่งดอกไม้…ให้ฉัน…ดอกกุหลาบนั่น สวยมาก…”
ฉินหลางอยากจะบอกว่าดอกไม้นั่นเขาไม่ได้เป็คนส่ง แต่ตอนที่กำลังจะพูดก็กลืนมันลงไปอีก เขาเพียงเบาๆว่า “ต่อให้ดอกไม้จะสวยแค่ไหน ก็ไม่มีทางสวยกว่าเธอ รั่วปิน เธอพักผ่อนให้มากๆ ต่อไปฉันจะเอาดอกไม้ที่สวยกว่านี้มาให้เธอ”
“ร่างกายฉันไม่ไหวแล้ว…หมอบอกว่าเป็โรคภูมิแพ้ตัวเองที่พบน้อยมาก…ไม่มีเครื่องมือ…โรคนี้ฉันเคยได้ยินมาก่อน ไม่มีทางรักษา” รั่วปินกล่าว “ในเวลาสุดท้ายของชีวิต…ได้เจอนายอีกครั้ง ก็ดีมากแล้ว…แสดงว่า…พวกเรามีวาสนาต่อกันจริงๆ ด้วย”
“รั่วปิน ไม่ต้องคิดมากแล้ว! เธอจะไม่เป็ไร อย่าไปเชื่อคำพูดของหมอชุ่ยๆ พวกนี้ เธอไม่เห็นพ่อเธออยากจะเป่าหัวหมอชุ่ยๆ พวกนี้แล้วเหรอ? เชื่อฉัน ฉันจะปกป้องเธอเอง ต่อให้ยมบาลจะมาเอง ก็ยังต้องหลีกทางให้ฉันอยู่ดี! เธอรอฉันก่อนนะ ฉันจะต้องรักษาเธอได้แน่!” ฉินหลางพูดอย่างมั่นใจ
“อย่าเพิ่งรีบไป…ฉันยังมีอีกหนึ่งคำถาม ที่นายต้องตอบฉัน…ตอนเด็กๆ ่หน้าร้อน ในโรงเรียนอนุบาลมียุงเยอะมาก กัดจนฉันเป็ตุ่มแดงเต็มตัว…จากนั้น นายก็ถอดเสื้อออก…นั่งเปลือยท่อนบนอยู่ข้างๆ ฉัน…นายบอกว่าให้ยุงพวกนี้ไปกัดนายให้หมด…หลังจากที่ยุงพวกนั้นกัดนายแล้ว…พวกมันก็ตายหมดเลย ฉันจำได้มาตลอด…แต่ฉันไม่รู้ว่าเพราะอะไร…ฉันอยากจะรอให้นายเป็คนบอกฉันเอง บอกตอนนี้ไหม?”
ในสมองของรั่วปินตอนนี้ เป็ภาพความทรงจำที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและติดตราตรึงใจไปตลอดชีวิต นั่นเป็เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ที่ใช้ร่างกายตัวเองเป็เป้าล่อยุง เพราะไม่อยากให้เธอโดนยุงกัดเท่านั้น นั่นทำให้รั่วปินรู้สึกว่า เด็กผู้ชายคนนั้นคือพระเอกขี่ม้าขาวของตน เหมือนดั่งในนิทาน เขาสามารถปกป้องเธอได้ ต่อให้เขาจะไม่ได้ขี่ม้าขาว หรือต่อให้เขาจะเปลือยท่อนบนอยู่ก็ตาม…
“ตอนนี้ยังไม่ได้” ฉินหลางยิ้มจางๆ “รอให้เธอหายดีแล้ว ฉันจึงจะบอกเธอ ดังนั้น เธอต้องยึดมั่น! ไม่วางใจได้ ฉันไปขอร้องให้อาจารย์ฉันมาเอง เขาจะต้องช่วยชีวิตเธอได้แน่ๆ!”
ความยึดมั่นของคนมีพลังมาก ฉินหลางทำแบบนี้เพื่อกระตุ้นให้รั่วปินยึดมั่นที่จะมีชีวิตอยู่
“ได้ งั้นนาย…พูดแล้วต้องทำให้ได้ล่ะ…”
“วางใจเถอะ ตอนเด็กฉันปกป้องเธอได้ ตอนนี้ยิ่งไม่มีปัญหา เธอพักผ่อนเยอะๆ รอฉันกลับมา!” ฉินหลางพูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจเลยก็ตาม
ฉินหลางกล่าวลารั่วปินแล้ว เดินออกมาจากห้อง ก็ถูกโซ่งเวินหยูเรียกเอาไว้ พร้อมพูดขึ้นเบาๆว่า “ฉินหลาง…เื่ก่อนหน้านี้ น้าเข้าใจเธอผิด หวังว่าเธอจะไม่โกรธน้า ไม่ว่ายังไงเธอช่วยรักษารั่วปินให้หายด้วยนะ”
เมื่อครู่รั่วไห่ชวนเล่าเื่ราวความเป็มาทั้งหมดให้โซ่งเวินหยูฟัง นั่นเพิ่งทำให้โซ่งเวินหยูรู้ว่าดอกไม้ช่อนั้น ฉินหลางไม่ได้เป็คนส่งไป ดังนั้นเขาจึงมาขอโทษฉินหลาง พร้อมกับหวังว่าฉินหลางจะสามารถรักษาลูกสาวของเธอให้หายได้
“ครับ” ฉินหลางไม่อยากเสียเวลากับโซ่งเวินหยู เขารู้ว่าต่อให้ไม่มีเื่เข้าใจผิด โซ่งเวินหยูก็ไม่ประทับใจในตัวอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่จำเป็ต้องเสียเวลา
ออกจากอาคารผู้ป่วยแล้ว ฉินหลางเอาโทรศัพท์มือถือออกมา กดโทรหาตาเฒ่าพิษทันที
ไม่มีคนรับสาย!
ตาเฒ่าพิษไม่รับสายฉินหลาง
ฉินหลางโทรซ้ำอีกหลายสาย ก็ยังคงไม่มีสัญญาณตอบรับ
กดโทรซ้ำอีกรอบ กลับพบว่าตาเฒ่าพิษปิดเครื่องไปแล้ว!
“ตาเฒ่าพิษสมควรตาย!” ฉินหลางด่าออกมาคำหนึ่งอย่างอดไม่ได้ เขารู้ว่าการที่ตาเฒ่าพิษปิดเครื่องไม่ได้เป็เื่บังเอิญแน่นอน ตาเฒ่าน่าจะรู้เื่รั่วปินแล้ว
และที่ตาเฒ่าพิษปิดเครื่องนั้น ก็เป็การแสดงออกชัดเจนแล้วว่าเขาไม่อยากช่วย!
ฉินหลางคิดไว้แต่แรกแล้วว่าตาเฒ่าพิษจะไม่ยอมช่วยง่ายๆ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าพิษจะไม่เด็ดขาดขนาดนั้น ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ขอร้องด้วยซ้ำ!
ฉินหลางรู้ว่า ตาเฒ่าพิษไม่้าให้ตนมีความรักั้แ่ต้นแล้ว เพราะตาเฒ่าพิษรู้สึกว่ามันเป็ ‘ความเมตตาของผู้หญิง’ ความรักที่ว่ามีแต่จะทำให้ฉินหลางอ่อนแอลงเท่านั้น ดังนั้นตาเฒ่าพิษจึงไม่อยากช่วยชีวิตผู้หญิงที่เขาไม่ชอบ ตาเฒ่าพิษคิดว่า หลังจากผู้หญิงที่ฉินรักตายไปแล้ว ฉินหลางถึงจะเข้มแข็ง และแข็งแกร่งได้จริงๆ!
“ตาเฒ่าพิษ ผมจะต้องเอาตัวคุณออกมาให้ได้!”
ฉินหลางสบถ เดินออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ฉินหลางเรียกแท็กซี่ “ไปหน้ามหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์ไชน่า”
มหาวิทยาลัยเซาธ์อีสไชน่า ไม่ได้เป็ที่ทำงานของพ่อเขาเท่านั้น ยังเป็ที่ซ่อนตัวของตาเฒ่าพิษอีกด้วย
เพราะว่า ตาเฒ่าพิษมีอีกหนึ่งฐานะ ก็คือชายชราที่เฝ้าดูแลห้องทดลองของมหาวิทยาลัยเซาธ์อีสท์ไชน่า!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้