Chapter 12
The gun means run
เงียบเชียบมีเพียงเสียงย่ำเท้าบนใบไม้ อากาศรอบตัวเริ่มหนาวเหน็บเล็กน้อยเพราะเช้าตรู่ ควันขาวเทาโอบล้อมไปตลอดทางจากมวนบุหรี่ในปากของมัน กลายเป็ว่าที่เคยนิ่วหน้าด้วยความเหม็นกลับชินชาไปซะอย่างนั้น จูเลียนเดินตามคนโตกว่าอย่างว่าง่ายไม่ตุกติก หากแต่บางครั้งก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยเพราะไม่มีแฟรงค์มาด้วย
ลัดเลาะตามเส้นทางที่คุ้นเคยไม่นานนักก็ถึงลำธารที่หมาย เสียงสายน้ำไหลเอื่อยเบาๆแว่วเข้าหูราวกับจะโบกมือทักทาย จูเลียนก้มตัววางเสื้อผ้าใหม่ลงบนกองหินที่สะอาดที่สุด ส่วนมันเดินหลบไปอีกทางเพื่อให้คนตัวเล็กทำธุระส่วนตัวของตัวเอง จูเลียนมองตามก็พบว่ามันหยุดอยู่ที่ประจำคือใต้ต้นไม้อีกฟาก ก่อนจะนั่งลงไม่วายชูกระบอกปืนในมือย้ำเตือนอีกครั้งราวกับจะบอกว่าอย่าคิดหนี
มันนั่งหันหลังไปอีกทางเรียบร้อย จูเลียนถอดเสื้อยืดที่สวมอยู่ออก ตามด้วยกางเกงวอร์มที่เริ่มเลอะเทอะบ้างเล็กน้อย จนเปลือยเปล่าจึงเดินลงลำธารไปยังที่ประจำเวลามาอาบน้ำ จูเลียนรู้สึกว่ากระแสน้ำตรงนี้มันจะอุ่นกว่าตรงอื่น ไม่อยากจะหนาวไปมากกว่านี้ ลำพังแค่อากาศภายนอกก็เอาเื่อยู่แล้ว
ที่จริงก็อยากจะมาอาบน้ำทุกวันให้เหมือนปกติ แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะมันจะพามาที่นี่วันเว้นวันเท่านั้น ดวงตากลมลอบมองคนโตกว่าที่นั่งอยู่บนหินก้อนั์ มีดพกในมือของมันกำลังเหลากิ่งไม้ให้เป็ปลายแหลมอยู่ ถึงแม้จะนั่งหันหลังก็พอเดาออก เพราะทุกครั้งมันมักจะทำแบบนี้เสมอ แฟรงค์ว่าเอาไว้เป็อาวุธป้องกันตัวเวลาออกไปล่าสัตว์
พูดถึงแฟรงค์ขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าแผลจะเป็ยังไงบ้าง ที่น่าห่วงกว่าแผลก็คือท่าทางของเด็กนั่น จูเลียนไม่ได้โง่ถึงขนาดดูไม่ออกว่าที่อีกคนให้มาดูเหมือนจะเกินคำว่าไว้ใจไปสักหน่อย อันที่จริงก็แอบหวั่นว่าถ้าหากวันหนึ่งจูเลียนคิดจะหนีขึ้นมาจริงๆ ถ้าหากรอคอยความช่วยเหลือไม่ไหวล่ะก็ เด็กนั่นจะกลายเป็ขวากหนามกองโตหรือเปล่านะ ความสงสารไม่ควรเกิดขึ้นในบริบทตอนนี้เอาเสียเลย ไม่ว่าใครภายใต้กระท่อมหลังนั้นไม่ควรมีความสงสารหรืออาทรให้กันเลยแม้แต่น้อย
มีอีกอย่างที่อดคิดไม่ได้ บางทีมันก็แวบเข้ามาให้หัวเป็พักๆ หรือว่ามันจะไม่ใช่ฆาตกรกันนะ แต่ที่ที่มันอยู่ก็แทบจะเป็ศูนย์กลางของที่พบศพตามรายละเอียดในแฟ้มคดีที่เคยแอบอ่านเลยก็ว่าได้ แถมมันเองก็มีปืนใน รู้จักกับผืนป่านี้เป็อย่างดี และดูท่าจะหวงแหนกระท่อมอีกหลังที่จูเลียนไปเจอด้วยซ้ำ ถึงขนาดลงทุกจับเขามาแบบนี้ ที่สำคัญยังรู้จักพ่อเขาอีก คงมีแต่ต้องรู้เท่านั้น ทว่าไม่อาจเดาได้เลยว่าจะได้รู้ตอนไหน จะตายก่อนหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้
ทั้งสองยังคงยืนนิ่งหน้าทางแยก ไม่มีใครพูดอะไรสักคน ที่จริงเจย์ลีนเองก็อยากจะพูด แต่ดูท่าเหมือนว่าเดวิดเองจะปิดปากเงียบกว่าเดิมั้แ่เข้าเขตนี้มาแล้ว มีคนเดินสวนออกมาจากแยกขวาประปราย ไม่พ้นต้องเหลือบมองเดวิดกันทั้งนั้น นายตำรวจย่อตัวนั่งยองกับพื้น สอดสายตามองซ้ายขวาไปมา สักพักก็ยืนขึ้นเหมือนเดิม
“เอายังไงต่อกันดี” เจย์ลีนกลั้นใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงแ่เบากล้าๆกลัวๆ
แน่นอนว่าไม่ได้รับคำตอบ เดวิดดูไม่สนใจแยกทางขวาที่เปิดให้บริการด้วยซ้ำ หากแต่ดวงตาคมจดจ้องไปยังแยกซ้ายตาไม่กะพริบ เจย์ลีนมองใบหน้าที่เคร่งเครียดของคนโตกว่าแล้วก็พลอยใจเสียไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก
“แน่ใจใช่มั้ยว่าตรงนี้” เจย์ลีนถามซ้ำ อันที่จริงไม่อยากจะพูดอะไรหรอก เพราะบรรยากาศมันชวนอึดอัดเหลือเกิน แต่ถ้าจะให้ยืนงงไม่รู้ทิศแบบนี้คงเสียเวลาแย่
“เจคไม่เคยระบุตำแหน่งพลาด” เสียงเรียบเอ่ยตอบในที่สุด
“ลองค้นแถวพุ่มไม้ดู”
เดวิดออกคำสั่ง เจย์ลีนพยักหน้าและเริ่มขยับตัวตามที่อีกคนว่า ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาคงจะมองด้วยความสงสัยยิ่งกว่าเดิม เดวิดเองเริ่มคิดอะไรไปใหญ่จนต้องห้ามมันทันที สอบถามเ้าหน้าที่ข้างหน้าแล้วว่ามีของหายเป็โทรศัพท์มือถือบ้างมั้ย สาวเ้าก็บอกว่าไม่ลูกเดียว ดูเหมือนไม่อยากจะหาให้ด้วยซ้ำ พอเสียงแข็งขึ้นมาหน่อยก็ยอมไปค้นในลังให้ แต่ก็ไม่พบ
นานสองนานก็ไม่พบ อีกนิดก็แทบจะรื้อป่าแล้ว เดวิดเงยหน้าขึ้นหอบหายใจเล็กน้อยก็พบว่าเจย์ลีนยังคงก้มหน้าก้มตาหาอยู่เลย ร่างเล็กคุกเข่ากับพื้นดินจนกางเกงวอร์มราคาแพงเลอะเทอะไปหมด
“กลับได้แล้ว” เดวิดแตะไหล่บางเบาๆ เจย์ลีนเงยหน้ามองเขาด้วยแววตาที่สิ้นหวัง เม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผากมนด้วยความเหนื่อย
“ยังไม่เจอเลยจะกลับได้ยังไง” คนไม่ยอมแพ้เอ่ยตอบ ไม่ยอมลุกท่าเดียวและก้มลงไปหาต่อ
“ถ้ามันจะเจอมันเจอไปตั้งนานแล้ว”
ได้ผลตรงที่หยุดชะงัก ไม่ใช่เพราะคิดได้แบบนั้น หากแต่ถ้อยคำมันจี้ใจจนตัวแข็งทื่อ จริงอย่างที่เขาว่า ถ้าจะเจอมันคงไม่ต้องหาร่วมชั่วโมงขนาดนี้หรอก แค่พักเดียวก็คงเจอแล้ว เจย์ลีนยอมลุกขึ้นแต่โดยดี ร่างเล็กเดินพรวดไปทันทีโดยไม่พูดอะไร ทิ้งให้นายตำรวจหนุ่มยืนงงเป็ไก่ตาแตกยิ่งกว่าเดิม
เสื้อผ้าใหม่ที่สวมอยู่ดูจะอุ่นขึ้นกว่าเดิมอยู่มาก เหมือนกับว่ามันจะตั้งใจเลือกมากกว่าเดิม จูเลียนจ้องแผ่นหลังโทรมเหงื่อของมันมาสักพักแล้วั้แ่ออกจากลำธาร ความเงียบปกคลุมเช่นเดิม และควันพิษจากมวนมะเร็งก็ยังมีบทบาทเช่นเดียวกัน ในหัวของเขาคิดว่าควรจะถามหรือพูดอะไรกับมันมั้ย ให้มันรู้ว่าเขายอมโอนอ่อนและไม่คิดขัดขืนใดๆ
“ยิงปืนเป็มั้ย” ไม่ทันที่จะอ้าปากถาม ดูเหมือนว่ามันจะชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน จูเลียนฟังคำถามแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง นั่นทำให้มันหยุดเดิน ก่อนจะหันมาหาจูเลียนที่หยุดนิ่งตามมัน
“ยิงปืน?” คนตัวเล็กถามย้ำ มันอัดบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่จนไฟสีส้มปลายมวนสว่างวาบอยู่นาน ก่อนจะพ่นควันไปอีกทาง
“ใช่ ทิมเคยพาไปยิงปืนหรือเปล่า” อีกคนชะงักเล็กน้อยเมื่อมันพูดถึงพ่อตัวเอง ที่จริงก็ไม่แปลกเพราะมันพูดออกจะบ่อยจนชิน บางทีจูเลียนเองก็แยกไม่ออกว่ามันรู้จักพ่อเขาจริงๆ หรือมันแค่กำลังเล่นาประสาทกับเขาอยู่กันแน่
“ทำไมถึงคิดว่าพ่อจะพาฉันไปยิงปืนล่ะ” ยกแขนกอดอกและถามออกไปราวกับไม่เกรงกลัว มันหัวเราะในลำคอดูท่าทางของคนอายุน้อยกว่าตรงหน้าแล้วก็นึกขันในใจ อันที่จริงก็แอบชื่นชมอยู่ไม่น้อยที่สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานลำพังในป่าลึกกับคนที่คิดว่าเป็ฆาตกรอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ยังทำท่าอวดดีแบบนี้ได้
“ก็เห็นว่าเป็งานอดิเรกคนรวยมั้งเลยถามดู แล้วว่ายังไงล่ะ” มันถามย้ำ มองแววตาเด็กคราวลูกตรงหน้าก็พอรู้ว่ามีความกลัวปนอยู่ไม่น้อย
“เคยไป แต่หลายปีมากแล้ว” มันพยักหน้าพอใจกับคำตอบ คิดไว้อยู่แล้วว่าคนอย่างทิโมธี เมอติเนซต้องสอนอะไรแบบนี้ให้ลูกแน่ ไอ้เื่การป้องกันตัวน่ะเขาระแวดระวังมาั้แ่ไหนแต่ไร
“ถามทำไม กลัวว่าฉันจะขโมยปืนแล้วเป่าสมองแกทิ้งหรือไง”
“โว้วใจเย็นคุณหนู” มันหัวเราะร่วนด้วยความชอบใจ จูเลียนเริ่มจะงงกับท่าทางของมันตอนนี้ไม่น้อย เพราะดูมันผ่อนคลายจนแทบจะเดาไม่ออกว่ามันคิดอะไรกันแน่ มันคีบมวนบุหรี่ในมือที่ไหม้จนเกือบก้น โน้มตัวและบี้ลงบนหัวรองเท้าที่สวมอยู่ ก่อนจะเก็บก้นบุหรี่ใส่กระเป๋าเสื้อ จูเลียนมองตามและนึกในใจว่ามันมีอย่างที่ไหนกันที่เก็บก้นบุหรี่ตัวเองไว้ในกระเป๋าเสื้อ พิลึกคน
“รู้สึกดีมากที่แกพอจะมีพื้นฐานกับเขาบ้าง” มันเอ่ยเสียงเรียบทั้งที่ยังยิ้ม อีกคนเอียงคอด้วยความสงสัย
“พรุ่งนี้ฉันจะพาไปฝึกยิงปืน”
“ฝึกยิงปืน?” จูเลียนอุทานเสียงแหลมด้วยความใ คราวนี้มึนงงที่สุดในชีวิตั้แ่เกิดมา คิดตามหลักความจริงว่ามีอย่างที่ไหน จับตัวมาแล้วจะมาสอนยิงปืน ไม่กลัวว่าสักวันหนึ่งเขาจะลุกมาฆ่ามันหรือยังไง จะสอนให้เขาฆ่าใคร หรือจะสอนให้เขาล่าสัตว์กันนะ แบบนั้นเขาไม่เอาด้วยหรอก
“เพื่ออะไร” ถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่ามันไม่ตอบรับ มันทำเพียงพยักหน้าเท่านั้น
“เดี๋ยวก็รู้ว่าเพราะอะไร” มันหันหลังเริ่มออกเดินอีกครั้ง ก่อนจะชะงักและหันหลังกลับมา
“มันจำเป็ จำเป็จริงๆ”
น้ำเสียงและแววตาที่จริงจังทำเอาจูเลียนเริ่มหวั่นใจเล็กน้อย ั้แ่เขาโดนมันจับมา เขาไม่เคยเข้าใจการกระทำของมันสักอย่าง ครั้นจะให้ถามออกไปเกิดมันไม่พอใจและฆ่าเขาทิ้งคงซวยแน่ จูเลียนทำเพียงเดินตามมันเงียบๆจนถึงกระท่อม ในหัวคิดอะไรมากมายจนรู้สึกหนักอึ้งไปหมด
ความเงียบยังคงก่อมวลภายในมัสแตงสีดำ กางเกงวอร์มสีเทาและผ้าใบสีขาวดูมอมแมม ฝ่ามือเล็กที่วางบนตักตัวเองก็เช่นเดียวกัน มันยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นจากดินเต็มไปหมด คนหลังพวงมาลัยเองไม่ได้พูดอะไรมากนัก มันยิ่งทำให้บรรยากาศอึดอัดไปกันใหญ่
เจย์ลีนไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงเลย มันเหมือนกับว่าตอนนี้กำลังดำดิ่งลงไปในมหาสมุทรที่แสนลึกเรื่อยๆ ไม่มีหลักอะไรให้ไขว่คว้าเลย มันทั้งหนาวเหน็บและสิ้นหวัง กระทั่งความรู้สึกทั้งหมดั้แ่จูเลียนหายตัวไปมันถาโถมเข้าเต็มอก ก่อเกิดกลั่นตัวออกมาในรูปแบบหยดน้ำใส รู้ตัวอีกทีก็แอบร้องไห้อย่างเงียบๆเสียแล้ว
เดวิดหันมาก็พบว่าคนตัวเล็กร้องไห้อยู่ เขาเองใไม่น้อย เห็นเงียบไปก็นึกว่าแค่คิดอะไรในหัวเท่านั้น คงต้องให้เวลาเจย์ลีนสักหน่อย เดวิดเข้าใจดีว่าทั้งชีวิตเด็กคนนี้คงไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน เขาเองก็เคยเป็แบบนี้ใน่แรกๆของการสืบคดี มันทั้งกดดันและไม่รู้หนทางที่ต้องไป มันมืดมนจนเกินกว่าจะจินตนาการออก เพราะแบบนี้เดวิดเลยต่อต้านการเอาคนนอกมาร่วมค้นหาแต่แรก มันต้องแบกอะไรมากกว่าที่คิด
อันที่จริงเดวิดเองก็มีเื่ให้คิดอยู่เหมือนกัน เพราะตำแหน่งมาในวันนี้มันช่างสุ่มเสี่ยงเหลือเกิน มันไม่ใกล้มากขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ไกลจนเรียกว่าปลอดภัย ยิ่งเดวิดรู้ดีว่าเจคไม่เคยพลาด ตลอดเวลาที่เขาเป็ตำรวจมา เจคระบุตำแหน่งได้แม่นยำเสมอ มันเลยยิ่งทำให้นายตำรวจหนุ่มสังหรณ์ใจแปลกๆจนเรียกว่ารู้สึกไม่ดีขึ้นมาเลยก็ว่าได้
“หิวอะไรหรือเปล่า” เสียงเรียบเอ่ยขึ้นถามคนข้างๆที่หยุดร้องไห้สักพักแล้ว แต่ดวงตากลมแดงก่ำเอาเื่ เจย์ลีนเพียงส่ายหน้าแต่ไม่ตอบอะไร เดวิดหันไปมองทางต่อ รู้ดีว่ายิ่งคะยั้นคะยอก็ยิ่งไม่ได้อะไร อาหารนี่แหละที่จะช่วยกู้คืนวันอันบอบช้ำได้ เดฟน่าเคยพูดแบบนี้กับเขา เพราะงั้นทุกครั้งที่เจอเื่แย่ทีไรเขาก็มักจะทำให้ท้องอิ่มก่อนเสมอ
มัสแตงสีดำหักพวงมาลัยเข้าจอดเทียบที่ร้านฟาสฟู้ดร้านหนึ่ง เดวิดบิดกุญแจดับเครื่องยนต์ เบาะข้างๆยังคงนั่งนิ่ง นายตำรวจเปิดประตูและก้าวขาลงจากรถ ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาในรถอีกครั้ง
“ลงมา” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แน่นอนว่าเจย์ลีนส่ายหน้าไม่ผิดดังที่คาดไว้ เดวิดถอนหายใจ นี่แหละนะนิสัยเด็ก
“อยากจะเป็ลมตายก่อนหาน้องเจอหรือไง” คราวนี้ยิ่งกว่าก๊อกแตก ใบหน้ากลมเริ่มอาบด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง และดูเหมือนจะหนักกว่าเก่า ลืมตัวปากหมาอีกตามเคยอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงสะอึกสะอื้นของชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่เริ่มดังขึ้น
เดวิดส่ายหน้าช้าๆ เปิดประตูรถให้กว้างขึ้นและโน้มตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิมจนกลิ่นโคโลญจน์ประจำตัวโชยเข้าจมูกคนที่ร้องไห้งอแง คนอายุมากกว่าเอื้อมมือปัดดินที่เลอะกางเกงวอร์มสีเทาตรงหัวเข่าออกให้จนหมด ก่อนจะคว้ามือเรียวของอีกคนและปัดฝุ่นดินออกโดยไม่กลัวว่ารถตัวเองจะเลอะ จนครบทั้งสองมือ สุดท้ายก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกจากที่นั่งข้างคนขับ
“ผมไม่ใช่พ่อมหาเศรษฐีของคุณที่ต้องมาคอยตามใจหรือโอ๋เวลาคุณร้องไห้นะ” เดวิดเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังจนเจย์ลีนมองเขาด้วยความรู้สึกผิด นายตำรวจหนุ่มถอยตัวออกมา แขนวางที่ประตูและหลังคารถ หน้าตาเขาเองก็เหนื่อยล้าไม่น้อย
“บอกแล้วว่าปล่อยให้ตำรวจเขาทำเอง อ่อนแอขนาดนี้ก็ถอนตัวไปซะ” ทิ้งท้ายไว้ได้อย่างเจ็บแสบ ก่อนจะปิดประตูรถและเดินเข้าไปในร้านฟาสฟู้ด เจย์ลีนทำเพียงมองคนโตกว่าลับหายเข้าไป มองไกลๆเห็นเขานั่งลงที่ติดริมหน้าต่างร้าน มองมาที่รถเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าหนีไป
มันก็จริงอย่างที่เขาพูด เขาไม่จำเป็ต้องรับทำคดีนี้ด้วยซ้ำ เพราะคดีนี้มันไม่ใช่คดีที่แผนกของเดวิดต้องรับผิดชอบ แต่เขาก็ยอมทำ แถมที่เขาทำให้เมื่อกี้มันก็รู้สึกว่าเขาเองไม่ได้นิ่งดูดายกับความเ็ปของเจย์ลีนเช่นกัน จริงสินะ ถ้าอ่อนแอขนาดนี้จะหาจูเลียนเจอได้ยังไง นี่มันพึ่งจะเป็ก้าวแรกๆด้วยซ้ำ แค่นี้ก็ท้อแล้วหรือเจย์
คิดได้แบบนั้นจึงเปิดประตูรถและเดินตามลงไป ผลักประตูกระจกเข้าไปในร้าน ตรงไปยังโต๊ะที่ชายหนุ่มเครื่องแบบสีดำนั่งอยู่และทรุดนั่งลงตรงข้ามเขาทั้งแววตาแดงก่ำ พนักงานสาวที่เดินเข้ามารับออเดอร์ใไม่น้อยที่เห็นคนทั้งคู่ ท่าทางจะทะเลาะกันมาแน่เลยคู่รักคู่นี้
“ผมขอกาแฟร้อนกับเซ็ตนี้ครับ” เดวิดชี้ในเล่มเมนู พนักงานสาวในชุดยูนิฟอร์มพยักหน้ารับและจดออเดอร์ลงในกระดาษ เจย์ลีนทำท่าจะอ้าปากสั่งหลังจากกวาดสายตาอยู่พักหนึ่ง
“เมนูเด็กนี่ผู้ใหญ่สั่งได้มั้ยครับ พอดีคุณผู้ชายคนนี้เขาอยากได้จานลายน่ารักๆปลอบใจ” คนผิวแทนหันไปถามพนักงานสาวด้วยน้ำเสียงเรียบดูท่าจริงจัง หล่อนหัวเราะเบาๆก่อนจะปฏิเสธว่าไม่ได้
“ขอน้ำส้มกับเซตนี้ครับ” หลังจากสั่งอาหารที่ตัวเองอยากกินก็นั่งคอตกตามเดิม พนักงานรวบเมนูเก็บไป ทิ้งไว้ก็แต่คนทั้งสองที่เงียบเชียบใส่กัน เดวิดกอดอกจ้องคนตรงข้ามตาไม่กะพริบ ในขณะที่อีกคนรู้ดีว่ากำลังถูกคนที่แก่กว่าเกือบสิบปีจ้องอยู่
“ขอโทษครับ” ในที่สุดก็ยอมเงยหน้าสบตาเขาสักที เจย์ลีนเอ่ยขอโทษเสียงอ่อน เดวิดส่ายหน้า ไม่ใช่เพราะระอาแต่เห็นทีคงต้องปรับความเข้าใจกันใหม่ว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันเป็ยังไง
“คุณขอโทษทำไม คุณทำอะไรผิดงั้นหรอ” เขาเอ่ยถามอย่างตั้งใจจะให้เจย์ลีนตอบออกมา แต่มันกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวลีบเล็กลงกว่าเดิม เดวิดรู้ดีว่าถามแบบนี้รังแต่จะทำให้เจย์ลีนรู้สึกไม่ดี แต่เดวิดตั้งใจจะสอนให้รู้ว่าต้องทำยังไง
“ผมไม่ควรทำท่าทางแบบนั้นใส่คุณ”
“แล้วยังไงต่อครับ” เลิกคิ้วถามคาดคั้นอีกครั้ง
“ผมควรจะ ควรจะเข้มแข็งกว่านี้” เสียงสั่นระรัวดูท่าพร้อมจะปล่อยโฮตลอดเวลา เดวิดถอนหายใจเบาๆ คลายอ้อมกอดอกและขยับโน้มตัวเข้าใกล้อีกคนมากขึ้น
“เื่ที่ต้องเข้มแข็งกว่านี้ก็ถูกครับ แต่ไม่ได้แปลว่าร้องไห้ไม่ได้ ผมเข้าใจว่าคุณคงไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ผมบอกแต่แรกแล้วว่าคุณควรปล่อยให้เ้าหน้าที่จัดการกันเอง เพราะมันเป็แบบนี้ไง มันมีแต่ความกดดันที่คุณต้องแบกรับเอาไว้เวลาคุณคว้าน้ำเหลวแบบนี้ นี่พึ่งครั้งแรกนะ มันยังมีทางอีกเยอะที่คุณเลือกเดินแล้วค้นพบว่ามันเป็ทางตัน คุณไม่ผิดที่เดินไปแล้วเจอทางตัน แต่คุณต้องยอมรับให้ได้ว่ามันเป็ทางตัน ไม่ใช่ว่าพอเป็ทางตันแล้วร้องไห้ฟูมฟายออกมาแบบนี้ คุณเข้าใจที่ผมพูดมั้ย”
เดวิดร่ายยาวด้วยท่าทางและแววตาที่จริงจังแบบที่เจย์ลีนไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็น้ำเสียงที่แสนใจเย็นและไม่ได้ตำหนิเลย หากแต่เขา้าจะอธิบายและสอนด้วยความหวังดีเสียมากกว่า มือเรียวคว้าทิชชูและยื่นให้เจย์ลีน คนตัวเล็กคว้ามาและกดเช็ดขอบตาที่บอบช้ำเหลือเกิน
“เพราะงั้นคุณต้องอดทนเข้าใจมั้ย ผมพร้อมช่วยคุณ แต่คุณก็ต้องให้ความร่วมมือกับผมด้วย มันจะมีหนทางอีกมากที่ต้องไปค้นไปดู มันคือการสืบหาเจย์ลีน มันไม่ใช่เกมวิ่งไล่จับที่คุณจะแค่เพียงวิ่งแล้วเจอแบบนั้น มันซับซ้อนและบางครั้งก็ไม่ทิ้งรอยอะไรเลยแบบนี้แหละ”
“ผมก็แค่รู้สึกว่าทุกอย่างมันกดดันไปหมด มันเหมือนกับว่าอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง” เสียงอู้อี้ตอบกลับมา
“มันไม่มีอะไรจะสมดั่งใจเราไปทุกอย่างหรอก ผมจะบอกให้ว่าทั้งชีวิตคุณอาจอยากได้อะไรแล้วได้มาเลย แต่กับเื่นี้มันไม่ใช่แบบนั้น แต่คุณจะเจอมันเอง อดทนแบบที่ผมบอก แล้วพยายามไปด้วยกัน โอเคมั้ย” เดวิดถามย้ำ เจย์ลีนพยักหน้า พอดีกับอาหารที่มาเสิร์ฟ ทั้งสองจึงเริ่มลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า
เดวิดลอบมองคนตรงหน้า ดูเหมือนว่าจะมีรอยยิ้มกับเขาขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าเป็อย่างนั้นก็ดี เขาไม่ชอบเห็นใครมาร้องไห้ต่อหน้าสักเท่าไหร่ มันพลอยทำให้รู้สึกแย่ไปด้วย ส่วนเจย์ลีนเองก็นึกชื่นชมเขาอยู่ไม่น้อย เขาใจเย็นกว่าที่คิด ถึงแม้จะปากเสียไปบางแต่ที่เขาร่ายยาวมาเมื่อกี้ก็เป็จริงดังเขาว่าทุกอย่างไม่มีผิด
เมื่อเสร็จสิ้นมื้อกลางวัน แสงแดดในตอนเที่ยงเริ่มสาดลงมาอ่อนๆพอให้เบาหนาวลงไปบ้าง เจย์ลีนยังคงนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่คราวนี้ไม่ได้รู้สึกหนักอึ้งในใจอีกแล้ว แต่เป็การมองเพื่อพักผ่อนมากกว่า เดวิดเลือกพามาอีกทางที่จะผ่านทุ่งดอกไม้สวยงามพอตัว หวังว่าจะพอคลายความเครียดของอีกคนลงไปได้บ้าง
“เดี๋ยวๆๆ คุณ จอดๆ จอดก่อน!” อยู่ดีๆร่างเล็กก็โวยวายเสียงดังลั่นทำเอาตกอกใ เดวิดเหยียบเบรกหน้าทิ่ม โชคดีที่ไม่มีรถหลังตามมาแต่ก็ทำเอาคนแถวนั้นใไม่น้อย
“อะไรของคุณเนี่ย ใหมด” คนหลังพวงมาลัยโวยวายด้วยความใ
“ผมเห็น เห็นจักรยานของจูล” เจย์ลีนละล่ำละลักด้วยความตื่นเต้น ปลดเข็มขัดนิรภัยและเปิดประตูพรวดทันที
“ไม่ต้องตามมาก็ได้ กลับไปสถานีก่อนเลย” ร่างเล็กรีบบอกก่อนจะปิดประตูดังลั่นและวิ่งไปอีกฝั่ง เดวิดมองท่าทางที่หุนหันพลันแล่นและส่ายหัวด้วยความระอา รีบจอดเทียบรถและเปิดประตูตามไปทันที
“อีกแล้วนะ เด็กหนอเด็ก”
เจย์ลีนยืนนิ่งอยู่หน้าจักรยานคันหนึ่งที่ถูกจอดเทียบเอาไว้ หอบหายใจด้วยความเหนื่อยและตื่นเต้น แม้เห็นแค่ไกลๆก็จำได้ว่ามันคือจักรยานของจูเลียนแน่ๆ เจย์ลีนก้มลงดูให้แน่ใจว่าใช่จริงๆหรือไม่ ถ้าใช่จะต้องมีรอยขีดจากใบมีดคัตเตอร์เป็ชื่อเล่นของจูเลียน เจย์ลีนพบว่ามันมีจริงๆตรงเหล็กใต้เบาะ ร่างเล็กหันซ้ายหันขวาพบว่าข้างหลังเป็ร้านขนม ตัดสินใจเดินเข้าไปถามหาเ้าของ
เดวิดเดินมาสมทบพร้อมกับเจย์ลีนที่เปิดประตูออกมาจากร้านขนม ไม่มีใครเป็เ้าของมันเลย
“อย่าทำแบบนี้อีกนะมันอันตราย” เดวิดเอ็ดเสียงเขียว
“แต่มันใช่จริงๆนะคุณ ไม่เชื่อลองดูตรงเหล็กใต้เบาะสิ ผมเป็คนเอาคัตเตอร์ขีดไว้เป็ชื่อจูลเอง” เจย์ลีนว่า เดวิดย่อตัวละก้มดู มันเป็ดังที่อีกคนบอกจริงๆ ถ้างั้นก็แปลว่านี่คือจักรยานของจูเลียนจริงๆ
“ถ้างั้นนี่ก็เป็จักรยานที่คุณบอกว่าจูเลียนปั่นออกมาวันนั้นที่หายไปใช่มั้ย”
“ใช่ครับ” เจย์ลีนเงยหน้าตอบ แววตาเป็ประกายมีความหวังอย่างสุดซึ้ง ต่างจากเมื่อชั่วโมงก่อนหน้าเหลือเกิน
“แล้วไปถามร้านขนมเขาว่ายังไงบ้าง มีเ้าของมั้ย”
“ไม่มีเลยครับ เราจะเอายังไงกันดีล่ะ” คนตัวเล็กเอ่ยถาม เดวิดประเมินจากสายตาแล้วดูท่าเด็กนี่คงยืนรอจนกว่าจะมีเ้าของตัวปลอมมาแน่ๆ แต่เขาเองก็เห็นด้วยว่าควรจะยืนรอ
“ยืนรอ” เดวิดตอบเพียงสั้นๆ ร่างเล็กพยักหน้ารัวเห็นด้วยอย่างมาก เจย์ลีนรีบมองซ้ายขวาหาที่ร่มยืนรอ หลังพิงกับผนังตึกไม่ไกลจากตรงนั้น เพราะไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเ้าของจะกลับมา เผลอๆอาจจะต้องรอเป็ชั่วโมงเลยก็ได้
“เข้าไปรอในร้านขนมสิ ตรงนี้มันร้อน” เดวิดว่า เขาเดินตามมาหยุดอยู่ข้างๆ
“ไม่ได้หรอก ถ้าเกิดว่าคลาดสายตาไปคงเสียใจแน่เลย เดี๋ยวผมเฝ้าเองก็ได้ คุณกลับไปสถานีเถอะ”
“จะบ้าหรือไงคุณ เกิดเขาขัดขืนหรือเป็คนร้ายเอาปืนยิงคุณตายจะทำยังไง” นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้วมองเด็กดื้อรั้นตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่าบางครั้งก็อยากจะเขกหัวอย่างบอกไม่ถูก
“ก็ได้ๆ ไม่เห็นจะต้องดุเลย” กลายเป็ว่าตอนนี้คนทั้งคู่ยืนพิงผนังอิฐที่ว่างเปล่ารอเ้าของตัวปลอมมาที่จักรยาน ไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหนแต่ก็คงต้องรอนั่นแหละนะ