“หู่โฉง”
รองผู้บัญชาการทั้งสามะโออกมา ขณะมองร่างของหู่โฉงที่กำลังล้มลงด้วยแววตาแดงก่ำ
พวกเขาเงยหน้ามองหลินเฟิงด้วยั์ตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารอันหนาวเหน็บ
“เ้าฆ่าหู่โฉง?” หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ขณะจ้องเขม็งมาที่หลินเฟิงอย่างเอาเป็เอาตาย
“เ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ”
แววตาของหลินเฟิงไร้ความหวั่นเกรง ขณะต่างฝ่ายต่างจ้องมองกันอยู่ เมื่อครู่นี้มันเป็โอกาสที่ดี แน่นอนว่าเขาก็ต้องลงมือสังหาร ความแข็งแกร่งของหู่โฉงไม่ใช่ว่าอ่อนแอกว่าเขา การบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ถือว่าเป็อีกหนึ่งพลังที่อยู่เหนืุ์ หากโดนขวานฟันครั้งหนึ่งก็ทำให้เขาได้รับาเ็สาหัสได้แล้ว หากเขาไม่สังหารอีกฝ่ายล่ะก็ มันจะเป็ภัยร้ายต่อตัวเขาเอง
นอกจากนี้การต่อสู้ระหว่างทำานั่น ผลลัพธ์ก็มีเพียงความเป็และความตาย
“หนอยแน่...”
รองผู้บัญชาการคนนั้นกัดฟันแน่นพลางมองหลินเฟิงอย่างเคียดแค้น แต่ถึงอย่างนั้นองค์ชายโม่เจี๋ยก็ได้รับสั่งว่าให้จับเป็หลินเฟิง
คำสั่งขององค์ชายไม่เคยมีใครในกองทัพโม่เยว่กล้าฝ่าฝืนไปได้
“พวกเ้าทั้งสี่คนไปจับตัวมันมาให้ข้า”
รองผู้บัญชาการคนนั้นหันไปสั่งกับอีกสี่คนที่มีหมวกเหล็กปิดปังใบหน้าด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวและแววตาที่เยือกเย็น
“ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยเหมาะสมนะ”
หนึ่งในนั้นกล่าวออกมาอย่างเ็า ทำให้รองผู้บัญชาการต้องตกตะลึงและแววตาก็ยิ่งฉายแววเยือกเย็นมากกว่าเดิม
หลินเฟิงเองก็ขมวดคิ้ว พวกเขาดูเหมือนไม่ได้อยู่กองทัพเดียวกัน ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเขามีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นไร?
“ทางข้ายินดีที่จะส่งสามคนไป นอกจากนี้ต้องรบกวนทางพวกเ้าส่งผู้บัญชาการสองคนออกไปเพื่อจับตัวคนคนนี้เช่นกัน ท่านคิดเห็นเป็อย่างไร?”
ชายที่ปิดหน้าที่กำลังเจรจาอยู่ ดูเหมือนจะเป็หัวหน้าของทั้งสี่คน
“ตกลง” รองผู้บัญชาการคนนั้นครุ่นคิดก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย “หากพวกเ้าไม่กล้าลงมืออย่างเต็มกำลังล่ะก็ อย่าหาว่าข้าเกรงใจแล้วกัน”
ทั้งห้าคนะโขึ้นขี่หลังม้าศึก นั่นคือรองผู้บัญชาการทั้งสองคนรวมถึงยอดฝีมือที่ปกปิดใบหน้าอีกสามคน เมื่อพวกเขาปลดปล่อยลมปราณออกมา จึงทำให้หลินเฟิงพลันหายใจไม่ออก
ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ทั้งห้าคนนี้ล้วนอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7
ทันใดนั้นดวงตาของหลินเฟิงก็ค่อยๆ กลายเป็สีเทา ดวงตาคู่นี้ทั้งเ็าและปราศจากความรู้สึกใดๆ
ราวกับว่าหลินเฟิงสามารถควบคุมทุกสิ่งรอบตัวเขาได้ เขารับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบด้านได้ชัดเจน แม้กระทั่งใบไม้ที่ปลิวไปตามสายลม
การเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ทั้งห้าที่มีการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 หลินเฟิงไม่ได้ชะล่าใจแม้แต่น้อย เขามีเพียงเจตจำนงการต่อสู้อันไม่มีที่สิ้นสุดที่กำลังไหลพล่านในตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง
ดินทรายที่อยู่บริเวณรอบๆ เริ่มหมุนเล็กน้อย ตอนนี้หลินเฟิงได้สวมชุดเกราะและกระชับดาบในมือแน่นราวกับเป็เทพแห่งา ถึงแม้เขาจะเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ทั้งห้าคนที่มีการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 เขาก็ไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย
สู่ความสำเร็จสูงสุดบนเส้นทางแห่งนักรบ จำเป็ต้องมีความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่แข็งกล้า แม้ตัวเองจะขอบเขตแห่งจิติญญาขั้น 7 ก็ตาม ต่อให้พวกเขามีกันห้าคนก็ไม่อาจประมาทได้ มีเพียงความกล้าหาญในการต่อสู้เท่านั้น ถึงจะสามารถกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง
หากปราศจากความหวั่นเกรงใดๆ ถึงจะสามารถไปสู่จุดสูงสุดได้
พวกเขาคล้ายจะรู้สึกได้ถึงเจตจำนงการต่อสู้ที่พลุ่งพล่านในกายของหลินเฟิง แต่ใบหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งห้าก็ยังเคร่งขรึม ขณะมองไปที่หลินเฟิงอย่างตื่นตัว
เพียงการโจมตีเดียวก็สามารถสังหารหู่โฉงที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7 ได้ พวกเขาจึงไม่อาจชะล่าใจได้และไม่ปล่อยให้หลินเฟิงสบโอกาสโจมตีเด็ดขาด
“ทำให้มันาเ็สาหัสให้ได้ ไม่ต้องยั้งมือ แค่อย่าฆ่ามันก็พอ”
หนึ่งในนายกองกล่าวอย่างเ็า ทันใดนั้นม้าศึกของทั้งห้าคนได้เคลื่อนตัวเข้าหาหลินเฟิงและโจมตีพร้อมกัน
ร่างของหลินเฟิงหายวับไปข้างหลังราวกับเงา เพื่อหลบการโจมตี
ทั้งห้าคนยังคงเดินหน้าต่อไป แต่จู่ๆ ภาพเงาของหลินเฟิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เป็ไปไม่ได้!”
ทั้งห้าคนต่างประหลาดใจ ดูเหมือนว่าจะเป็จิติญญาเงามายา แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ตระหนักถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทั้งห้าคนไม่คำนึกถึงชีวิตของตนเองอีกต่อไป พวกเขาโจมตีออกไปอีกครั้ง จู่ๆ อากาศพลันวูบไหวขึ้นมา
“ตูม”
“เงาทมิฬสังหาร! ตายซะ!”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเืที่สาดกระเซ็นไปทั่ว และเห็นเงาทมิฬวาบผ่านสองคนนั้นไป จากนั้นมันก็ค่อยๆ ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนขึ้นจนเป็หลินเฟิงเต็มตัว
ม้าศึกทั้งห้าตัวต่างอยู่ผิดที่ผิดทาง หลินเฟิงพุ่งไปหาม้าศึกสองตัวอย่างรวดเร็ว จนผู้ที่อยู่บนหลังม้าศึกต้องตกลงมาจนสิ้นชีวิตทันที
นี่เป็ทักษะเงาสังหารระดับพิภพขั้นที่สอง ‘เงาทมิฬสังหาร’ มีร่างเงาเป็เงาทมิฬ ไร้รูปไร้เงา ทักษะนี้แม้แต่ผู้าุโคงก็ไม่สามารถควบคุมได้ แต่หลินเฟิงได้ปลดปล่อยจิติญญาแห่ง์ออกมาจึงมีความสามารถเหลือล้น แม้จะยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ร่างกายก็เปลี่ยนเป็เงาทิมฬได้แล้ว ซึ่งเป็เื่ยากที่จะคาดคะเน แต่มันก็ทำให้เขาสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ที่มีขอบเขตเหนือกว่าเขาได้ถึงสองคน
แน่นอนว่าหลินเฟิงเองก็ต้องแบกภาระราคาสูงเช่นกัน
หลินเฟิงกระอักเืออกมา เนื่องจากเขายังไม่อาจใช้ทักษะเงาทมิฬได้สมบูรณ์นัก ดังนั้นจึงทำให้เขาไม่สามารถกลายเป็ร่างเงาได้อย่างสมบูรณ์ และเป็เหตุผลที่หลินเฟิงได้รับาเ็จากการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม อย่างไรก็ตามการที่เขาสามารถสังหารได้ถึงสองคนในคราวเดียว ก็ถือเป็ความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม
ในตอนนี้หลินเฟิงรู้สึกว่าอวัยวะภายในของเขาได้รับาเ็สาหัส
“หลินเฟิง”
ต้วนซินเยี่ยจ้องมองหลินเฟิงด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย ทำไมหลินเฟิงต้องมาช่วยนาง และอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งอย่างมาก แล้วหลินเฟิงจะทำสำเร็จได้อย่างไร
“ไอ้สารเลว”
รองผู้บัญชาการที่ไม่ได้ลงมือด้วยคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว จากนั้นเขาก็พุ่งไปหาหลินเฟิงด้วยหมัดที่ทรงพลังทันที
หลินเฟิงรับรู้ได้ถึงทุกสิ่งรอบตัว ด้วยการตอบสนองของร่างกายเขาจึงถอยหลังหลบอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงได้รับผลกระทบจากหมัดของอีกฝ่าย หลินเฟิงกระอักเืออกมาอีกครั้ง เขาใช้มือยันพื้นเพื่อทรงตัว ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดขาวอย่างมาก
ขอบเขตแห่งจิติญญา... ขั้นที่ 8!
คำสั่งของรองผู้บัญชาการถือเป็คำสั่งที่ทรงพลังที่สุด คาดไม่ถึงว่าเขาจะทะลวงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ได้แล้ว
“เ้าสังหารพี่น้องของข้า จงตายซะเถอะ”
นายกองกระทืบเท้าอย่างแรงและะโขึ้นไปในอากาศ เขาเหวี่ยงหมัดไปยังหลินเฟิงที่กำลังาเ็
“ตูม!”
หลินเฟิงถอยอีกครั้งและอาการาเ็ก็ยิ่งสาหัสกว่าเดิม เขาเพิ่งได้รับาเ็เมื่อครู่ ทว่าตอนนี้เขากลับโดนหมัดของผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 ถึงสองครั้ง
“หลินเฟิง ข้าจะต้องฆ่าเ้าให้ได้”
รองผู้บัญชาการคนนี้เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า ขณะก้าวไปหาหลินเฟิงทีละก้าวๆ
“องค์ชาย้าให้จับเป็หลินเฟิง หากท่านสังหารเขานั่นเท่ากับว่าเป็การขัดคำสั่งขององค์ชาย”
หนึ่งในชายสวมหมวกเหล็กที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ กล่าวออกมาอย่างเฉยชา ทำให้รองผู้บัญชาการที่กำลังเดินไปข้างหน้าถึงกับต้องชะงัก แล้วกล่าวเสียงเยียบเย็นว่า “มันสังหารพี่น้องของข้าไปสองคน หากข้าสังหารมันไม่ได้ ข้าก็จะตัดแขนขาของมัน”
“ตัดแขนขาของข้า!”
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้น ม่านตาสีเทาที่ปราศจากความรู้สึกนั้นยังคงเด็ดเดี่ยว เมื่อเขาลุกขึ้นยืน เจตจำนงการต่อสู้ก็ยังไม่ได้สลายไป แต่มันกลับเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
ทันใดนั้นจิติญญาน้ำแข็งขนาดั์ก็ปรากฏขึ้นด้านหลังของหลินเฟิงราวกับว่าสามารถแช่แข็งพื้นที่ทั้งหมดได้ในทันที อุณหภูมิรอบๆ กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง
คลื่นดาบครอบคลุมไปทั้งบรรยาอากาศ มันแหลมคมและเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในใจของผู้คนต่างเต้นระรัว คาดไม่ถึงว่าหลินเฟิงยังมีเจตจำนงการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ จิตใจอันแน่วแน่ของเขาช่างเข้มแข็งยิ่งนัก
หลินเฟิงเดินอย่างนิ่งสงบ เจตจำนงการต่อสู้ของหลินเฟิงราวกับจะกลายเป็เปลวไฟ นอกจากนี้มันยังลุกโชนในน้ำแข็งอีกด้วย
ม่านตาของรองผู้บัญชาการเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง หลินเฟิงในตอนนี้ช่างอันตรายเกินไปแล้ว แต่ละก้าวของเขาราวกับสามารถควบคุมและหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดินได้ มันพร้อมสังหารผู้ที่ขัดขวางเขาทั้งหมด
นี่เป็ความกล้าหาญ เป็จิตใจอันแน่วแน่ เป็เืที่เร่าร้อน เป็การตัดสินใจที่ไร้ความหวั่นเกรง เป็การฆ่าทำลายล้างทุกสิ่งอย่าง และเป็ความกล้าหาญที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง
“ตาย!”
หลินเฟิงคำรามออกมา คราวนี้เขาไม่ได้ใช้ดาบแต่ใช้นิ้วมือเป็ดาบแทน ซึ่งนิ้วของเขาก็เสมือนดาบที่แท้จริงและมีศักยภาพมาก
เมื่อหลินเฟิงตวัดนิ้วของเขา ห้วงอากาศก็คล้ายกับถูกผ่าออก
“ตูม!”
ทันใดนั้นจิติญญานักรบก็ได้ปรากฏขึ้นด้านหลังของรองผู้บัญชาการ มันคือจิติญญาสัตว์อสูร ซึ่งมีพละกำลังมหาศาลและความแข็งแกร่งราวกับูเา
ตอนนี้หลินเฟิงดูอันตรายนัก แม้เขาจะอยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 8 แต่เขาก็ยังต้องทุ่มและเหวี่ยงหมัดใส่หลินเฟิงสุดกำลัง
“ตูม!!!”
ผืนดินสั่นะเื เกิดลมพายุขึ้นจากแรงปะทะ ทำให้ฝุ่นทรายต้องตลบอบอวลไปทั่ว
“อีกครั้ง” หลินเฟิงผลักกลับไป โดยที่ไม่สนใจเืที่ออกมาจากปากของเขา นอกจากนี้เจตจำนงดาบและเจตจำนงการต่อสู้ยังคงพวยพุ่งออกจากร่างของหลินเฟิงไม่สิ้นสุด
“ตูม!!!”
พื้นดินยุบตัวลงพร้อมกับรอยแตกใต้เท้าของหลินเฟิง ทำให้เขาต้องโซเซเล็กน้อย แต่เืที่มุมปากก็ยังไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ภาพที่เห็นทำให้ต้วนซินเยี่ยไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป
อย่างไรก็ตามลมปราณของหลินเฟิงในตอนนี้กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเจตจำนงเหล่านี้ก็กำลังหลอมรวมเข้าด้วยกัน
เจตจำนงการต่อสู้ที่ปราศจากความหวั่นเกรง ราวกับกำลังหลอมรวมเป็หนึ่งเดียวกับฟ้าดิน