เสียงะโด้วยความโกรธของจางอี้เหวินดึงดูดความสนใจจากทุกคน
แม้ว่าในจำนวนคนเหล่านี้จะมีคนจำนวนมากที่ไม่้าให้จางอี้เหวินได้รับตำแหน่งผู้ดูแลหอตำรา แต่ทุกคนต่างมีความสงสัยเื่ของ “ซวีอู๋” ที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ถึงอย่างไร ก็เป็อย่างที่จางอี้เหวินได้พูดมา บนป้ายศิลาไม่มีชื่อของ “ซวีอู๋” จึงรู้สึกเหมือนเขายังไม่เคยผ่านการทดสอบในขั้นแรกด้วยซ้ำ แล้วจะเป็ผู้ดูแลหอตำราได้อย่างไร?
ฉินอวี่ละสายตากลับมา แต่ก็ยังไม่รีบเข้าไปหาจางอี้เหวิน เพราะถึงอย่างไร หอตำราก็ต้องให้คำอธิบายกับเหตุการณ์นี้ เพื่อหยุดคำวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าศิษย์ทั้งหมด
จากนั้น ฉินอวี่ก็มองไปทางฉู่สยง และประสานมือทั้งสองข้างแสดงการทักทาย “ฉินอวี่คารวะศิษย์พี่ฉู่”
ฉู่สยงมองฉินอวี่และพยักหน้าเล็กน้อย นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามอย่างสงสัย “ศิษย์น้องฉิน รู้จัก ‘ซวีอู๋’ คนนั้นหรือ?”
ฉินอวี่ฝืนยิ้มพลางส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าเป็เพียงศิษย์ใหม่ อีกทั้งยังเป็คนที่ใกล้ตาย จึงรู้จักเพียงไม่กี่คน แต่ครั้งนี้ดูน่าแปลกยิ่งนัก บนแผ่นศิลาไม่มีชื่อของซวีอู๋ แต่ทำไมเขาจึงได้เป็ผู้ดูแล”
อันที่จริงฉู่สยง้าถามว่าฉินอวี่รู้จักกับผู้ดูแลคนไหนหรือไม่ เพราะเขาได้ยินฉู่เยว่ฉานเล่าให้ฟังว่าฉินอวี่ได้เดิมพันกับจางอี้เหวินเอาไว้ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเื่ทุกอย่างกลับกลายเป็เช่นนี้
เพียงแต่ เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี่ ฉู่สยงก็พยักหน้าและไม่คิดอะไรอีก
ถึงอย่างไร ฉินอวี่ก็เป็ศิษย์ใหม่และยังเป็คนใกล้จะตายอีกด้วย แล้วจะรู้จักกับผู้ดูแลได้อย่างไร
“จริงสิ ศิษย์พี่ฉู่ ไม่ทราบว่าแดนขัดเกลาอยู่ที่ใดกัน?” ก่อนหน้านี้ฉินอวี่ได้เคยวางแผนเอาไว้เช่นกันว่า จะหาสถานที่สำหรับฝึกฝนและมีความสนใจต่อแดนขัดเกลาที่ฉู่เยว่ฉานเคยพูดถึง
“เหอๆ ที่นั่นเป็สถานที่ฝึกฝนยุทธ์ และฝึกวินัยสำหรับศิษย์ขั้นเทียนชุ่ย ในหนึ่งปีจะเปิดให้เข้าได้เพียงหนึ่งครั้ง หากศิษย์น้องฉิน้าจะเข้าไป คงต้องรอในปีหน้า และต้องฝึกฝนก้าวสู่ขั้นเทียนชุ่ย” ฉู่สยงกล่าวช้าๆ
ฉินอวี่พยักหน้า และเริ่มมีแผนการบางอย่างขึ้นมาในใจ หาก้าเข้าไปยังแดนขัดเกลา จะต้องเข้าสู่ขั้นเทียนชุ่ยให้ได้ภายในเวลาหนึ่งปี
ในตอนนี้ เมื่อจางอี้เหวินเห็นว่าผู้ดูแลลี่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา เขาจึงยิ่งแน่ใจว่าจะต้องมีสิ่งผิดปกติในเื่ของผู้ดูแล เขาคิดไปว่าฉินอวี่เป็คนติดกระดาษแดงแผ่นนี้ด้วยความโกรธ จางอี้เหวินจึงวิ่งตรงไปยังประตูทางเข้า และคิดจะฉีกกระดาษแดงแผ่นนั้นทันที
“ครืน!” มีเสียงดังขึ้นทันที กระดาษแผ่นสีแดงที่ดูแสนจะธรรมดาได้เปล่งแสงสว่างออกมา สั่นะเืใส่จ้างอี้เหวินจนกระแทกออกไป
เมื่อเห็นสิ่งนี้ทุกคนต่างก็ประหลาดใจ
ขณะที่จางอี้เหวินกำลังจะเข้าไปที่นั่นอีกครั้ง เสียงะโอันเ็าก็ดังขึ้น “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ผู้ดูแลลี่อวิ๋นค่อยๆ เดินออกมาจากหอตำรา มองจางอี้เหวินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อจางอี้เหวินพบกับลี่อวิ๋น เขาก็พูดขึ้นด้วยความโกรธ “ผู้ดูแลลี่ โปรดให้คำอธิบายกับข้าด้วย! เหตุใดบนแผ่นศิลาจึงไม่มีชื่อของ ‘ซวีอู๋’!” จางอี้เหวินพูดอย่างตรงประเด็นออกไปทันที ในเื่ที่ไม่มีอักษรของ “ซวีอู๋” อยู่บนแผ่นศิลา ซึ่งทำให้ทุกคนต่างอยากรู้เช่นกัน
ลี่อวิ๋นรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย อย่าว่าแต่จางอี้เหวินเลย แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้เลยเช่นกันว่า “ซวีอู๋” ผู้นี้โผล่มาได้อย่างไร หากว่ากันตามกฎของหอตำรา ลี่อวิ๋นจะต้องส่งรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบในครั้งนี้ให้กับประมุขแห่งหอตำรา จากนั้นประมุขแห่งหอตำราจะเป็คนตัดสินว่าผู้ใดจะได้เป็ผู้ดูแล
แต่ครั้งนี้มีเพียงจางอี้เหวินที่ผ่านการทดสอบ หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว จางอี้เหวินจึงจะได้เป็ผู้ดูแล เพียงแต่ประมุขกลับพูดเพียงประโยคเดียว “มีคนเหนือกว่าจางอี้เหวินแล้ว” จากนั้นจึงนำกระดาษแดงนี้ส่งให้กับลี่อวิ๋น ซึ่งเื่นี้ทำให้ลี่อวิ๋นสับสนเป็อย่างมาก
เมื่อจางอี้เหวินถามออกมาเช่นนั้น สีหน้าของลี่อวิ๋นก็เคร่งขรึม “เื่นี้ท่านประมุขเป็คนตัดสิน อีกอย่าง ซวีอู๋ผู้นี้ทำการทดสอบขั้นที่สองได้ดีกว่าเ้า บางที ซวีอู๋นี้อาจจะไม่ใช่ชื่อเดิมของเขา!”
ความหวังสุดท้ายที่อยู่ในใจของจางอี้เหวินได้ถูกลี่อวิ๋นทำลายลงเสียแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็เคยคิดว่า “ซวีอู๋” น่าจะเป็เพียงนามแฝง แต่เมื่อนึกถึงการเดิมพันนั้น จางอี้เหวินก็เริ่มจะตีโพยตีพายขึ้นมา ว่าตนเองต้องกลายเป็ลูกน้องของคนใกล้ตายนะหรือ? เป็แบบนี้สู้ฆ่าเขาให้ตายเสียดีกว่า ด้วยความไม่พอใจที่มี จางอี้เหวินจึงพูดต่อด้วยความโกรธ “ข้าไม่เชื่อ คนไหนคือซวีอู๋? ข้า้าจะแข่งกับเขาแบบซึ่งหน้า”
“เ้าเด็กเวร การตัดสินใจของท่านประมุขเ้าขัดขืนได้หรือ?” เสียงของลี่อวิ๋นดังขึ้นมาอย่างดุเดือด
“ผู้ดูแลลี่บอกไปแล้วว่าชื่อนี้คือนามแฝง หรือเ้ากล้าจะไม่เชื่อคำท่านประมุข?” ศิษย์คนหนึ่งที่ไม่ชอบจางอี้เหวินได้ถือโอกาสนี้ซ้ำเติมเข้าไป
“ข้าบอกแล้ว ว่าในสำนักมีต้องมีคนทำได้ดีกว่า เมื่อหนึ่งเดือนก่อน มีใครบางคนกล่าวไว้ว่าตำแหน่งผู้ดูแลต้องเป็ของเขาเท่านั้นนะ” มีศิษย์คนหนึ่งส่งเสียงขึ้นมาท่ามกลางผู้คน
จางอี้เหวินรู้สึกได้เพียงร่างกายที่มีพลังพลุ่งพล่าน สีหน้าเดี๋ยวแดงเดี๋ยวคล้ำ จากนั้นจึงรีบวิ่งหนีไปอย่างเก้อเขิน
ฉินอวี่ไม่ได้ขัดขวางจางอี้เหวิน เขาในตอนนี้กำลังเหมือนคนคลุ้มคลั่ง หากพูดเื่การเดิมพันขึ้นมาในตอนนี้ อาจทำให้จางอี้เหวินะเิอารมณ์ออกมามากกว่านี้แน่นอน หากทำอะไรล้ำเส้นเกินไปในตอนนี้ แม้ว่าฉินอวี่จะไม่กลัวจางอี้เหวิน แต่นี่อาจทำให้จางอี้เหวินอาจต้องเ็ป ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉินอวี่้า
แม้ว่าจางอี้เหวินจะดูโอหังไปบ้าง แต่ความรู้และความจำของเขานับว่าไม่เลวเลยทีเดียว และมีประโยชน์ที่จะเก็บเอาไว้
เมื่อฉู่เยว่ฉานเห็นว่าฉินอวี่ไม่ได้ขัดขวาง จึงมองฉินอวี่ด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์น้องฉิน เื่การเดิมพันนั้นถือว่าแล้วกันไปเถอะ เ้าเองก็ค่อยๆ ฝึกฝนไป อีกไม่นานข้าต้องเก็บตัวบำเพ็ญเพิ่มเติม เพื่อเตรียมเข้าการทดสอบในครั้งถัดไป
ฉู่สยงก็หันหน้ามองฉินอวี่เช่นกัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ฉินอวี่พยักหน้า ส่งสายตามองฉู่เยว่ฉานที่กำลังจากไป จากนั้นฉินอวี่ก็หันหลังกลับออกไปเช่นกัน
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินอวี่ก็สวมชุดคลุมสีดำ สวมหน้ากากไว้ และเดินทางมายังหอตำรา ในตอนนี้ผู้ดูแลลี่กำลังฉีกกระดาษแดงแผ่นนั้นลงพอดี ฉินอวี่จึงเดินตรงไปยังด้านข้างของผู้ดูแลลี่ และหยิบป้ายคำสั่งออกมา ก่อนจะพูดด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้าคือซวีอู๋”
ลี่อวิ๋นหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ศิษย์ที่ยังไม่ไปไหนต่างหันมองมาทางฉินอวี่ในชุดคลุมสีดำด้วยดวงตากลมโต
นี่คือซวีอู๋หรือ? ผู้ดูแลคนใหม่?
ลี่อวิ๋นเหลือบมองป้ายคำสั่ง และกวาดสายตามองฉินอวี่อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ตามข้าไปพบท่านประมุข”
ฉินอวี่พยักหน้า เขาก็มีความสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของประมุขแห่งหอตำรายิ่งนัก แต่สิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่าคือลักษณะของสิ่งที่อยู่บนยอดเขา
ขณะที่ลี่อวิ๋นนำทางไปนั้น ฉินอวี่ก็ตามเข้าไปทางประตูลับบานหนึ่งของหอตำรา แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็บันไดหินที่คดเคี้ยวไปตลอดทาง มุ่งหน้าไปสู่ยอดเขา
ตลอดทางที่เดินมา ลี่อวิ๋นคอยมองฉินอวี่อยู่ตลอดเวลา เขามีความสงสัยและอยากรู้เื่ของฉินอวี่เป็อย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ที่เขาพูดเื่นามแฝงขึ้นมา ก็เพียงเพื่อคัดค้านจางอี้เหวิน แต่ในความเป็จริงจางอี้เหวินไม่ได้จดจำลำดับรายชื่อเลยแม้แต่น้อย
บางทีศิษย์คนอื่นอาจจะไม่ได้จดจำรายชื่อที่อยู่บนแผ่นศิลา แต่ลี่อวิ๋นกลับจำได้เป็อย่างดี ก่อนหน้านี้เขาเคยดูมันมาแล้ว รายชื่อที่อยู่บนป้ายศิลาไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรืออาจกล่าวได้ว่า ชื่อของซวีอู๋นี้ไม่ได้เป็เพียงนามแฝง แต่ก็เป็ไปได้เช่นกันว่ายังไม่ผ่านการทดสอบขั้นที่หนึ่ง เื่นี้ทำให้ลี่อวิ๋นยิ่งรู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น
ซวีอู๋ผู้นี้ถูกกำหนดมาโดยท่านประมุข แต่ถ้าดูจากนิสัยของท่านประมุขแล้ว คงจะไม่มีทางฝ่าฝืนกฎระเบียบอย่างแน่นอน
เมื่อมาถึงศาลาโบราณที่อยู่ใกล้กับยอดเขา ลี่อวิ๋นก็หยุดฝีเท้าลง “ท่านประมุขอยู่้า เ้าขึ้นไปสิ”
ฉินอวี่พยักหน้า และเดินไปตามบันไดหินเพียงลำพัง
ครู่ต่อมา ทันทีที่ฉินอวี่ขึ้นมาถึงจุดสูงสุดของยอดเขา ร่างกายของเขาก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
กระท่อมหลังหนึ่ง ต้นไม้ต้นหนึ่ง หินก้อนหนึ่ง และคนคนหนึ่ง ผู้าุโที่สวมชุดเรียบง่ายได้นั่งขัดสมาธิอยู่บนหินก้อนใหญ่ เค้าโครงที่ดูเรียบง่ายเช่นนี้ แต่กลับดูเหมือนมีพลังอันน่ากลัวและแข็งแกร่ง ทำให้ฉินอวี่ตกตะลึงไปในทันที
ขณะที่ตกอยู่ในภวังก์ ฉินอวี่ก็มองเห็นผู้าุโคนหนึ่งกำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว บ้างก็ส่งเสียงะโ บ้างก็ส่งเสียงร้องอย่างเ็ป บางครั้งก็นิ่งเงียบ เสียงแต่ละเสียงที่เปล่งออกมาต่างดังกึกก้องอยู่ในหูของเขาอย่างชัดเจน
ใน่เวลาที่เลือนรางนี้ ฉินอวี่ก็ได้พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนทำหน้าบูดบึ้งอยู่ด้านล่างของก้อนหินเพื่อทำให้ผู้าุโพูดอะไรขึ้นมา และบางครั้งก็เข้าไปในห้องและมองดูผู้าุโคนนั้นที่อยู่บนก้อนหินอย่างทุกข์ใจ
ใน่เวลาอันเลือนรางนี้ ฉินอวี่มองเห็นผู้าุโคนหนึ่งกำลังเงยหน้าะโเสียงดังอยู่บนก้อนหิน เมื่อสิ้นเสียงอันกึกก้อง เด็กผู้หญิงที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องก็ได้โผเข้าหาผู้าุโอย่างบ้าคลั่ง
“พี่ชาย พี่เป็อะไรไป? พี่ ท่านอย่าทำให้เสี่ยเอ๋อใ พี่... ได้โปรดอย่าทิ้งเสี่ยเอ๋อไป... เสี่ยเอ๋อกลัว...”
ภายใต้หน้ากาก น้ำตาของเขาได้ไหลออกมาอย่างเงียบๆ
เื่ทั้งหมดนี้ ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่ในความเป็จริงมันได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานหลายปีแล้ว
ขณะที่ฉินอวี่กำลังครุ่นคิดเื่ราวมากมายอยู่นั้น ผู้าุโที่นั่งอยู่บนก้อนหินก็หันกลับมาทันที ใบหน้าของเขาดูเหี่ยวย่น ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาจับตามองไปทางฉินอวี่อย่างเงียบๆ
สายลมพัดผ่าน ต้นไม้อันแข็งแรงและกิ่งก้านอันเขียวชอุ่มแกว่งไกวไปตามแรงพัดของสายลม ใบไม้ร่วงหล่น ตกลงบนศีรษะของผู้าุโ สายลมพัดผ่านเข้ามาเป็ครั้งที่สอง พัดชุดสีขาวดั่งดวงจันทร์และเส้นผมที่หงอกขาวของเขาปลิวไสวขึ้นทันที
“ผู้ดูแลซวีอู๋” ผู้าุโค่อยๆ พูดขึ้นมา น้ำเสียงของเขาดูอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
ฉินอวี่จึงตื่นขึ้นจากความทรงจำ ภาพที่อยู่ตรงหน้าก็แตกสลายไปในทันที ฉินอวี่รู้สึกใอย่างมาก แม้แต่ความคิดทั้งหมดของเขาต่างถูกระงับไว้อย่างรวดเร็ว เขาสงบจิตใจ มองไปยังผู้าุโที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหินก้อนใหญ่ และมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ดูอบอุ่น แม้ว่าเขาจะมีความสงสัย แต่ก็ยังคงยกมือขึ้นประสานแสดงความเคารพ “ฉินอวี่คารวะท่านประมุข”
“ไม่ต้องมากพิธี ไม่ว่าเ้าจะมีสถานะเช่นไร นับแต่วันนี้ไป เ้าคือผู้ดูแลฝ่ายในของหอตำราสำนักยุทธ์ว่านจ้ง คอยรับผิดชอบฝ่ายในของหอตำรา ส่วนที่เหลือผู้ดูแลลี่จะคอยบอกเ้าเอง ไปเถอะ” ผู้าุโกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ขอรับ! ท่านประมุข” ฉินอวี่พยักหน้า จากนั้นจึงหันหลังกลับออกไป และแอบใอยู่ในใจ เขาไม่อาจรับรู้ระดับฝึกฝนของคนผู้นี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะถึงระดับสูงสุดแล้วก็เป็ได้
ความสงสัยที่อยู่ในใจของฉินอวี่ก่อนหน้านี้ ด้วยสภาวะอารมณ์ของเขาไม่น่าจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้นได้ แต่ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่า สิ่งที่เขากลัวคือการก้าวสู่โลกแห่งมายา และภาพมายานี้คือการทดสอบสุดท้ายของผู้ดูแลหอตำรา
เพียงแต่ สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกคือ ประมุขแห่งหอตำราคงจะััได้ถึงอารมณ์ในภาพมายาของตนเองแล้ว เพียงแต่ ประมุขคงจะนึกไม่ถึงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกมายาของตนเองที่ได้เห็นคือเื่อะไร
เมื่อลงมาจากยอดเขา ลี่อวิ๋นยังคงรออยู่ตรงศาลาโบราณ เมื่อเห็นฉินอวี่กำลังลงมา ลี่อวิ๋นก็รีบประสานมือแสดงความยินดี “ยินดีกับผู้ดูแลซวีอู๋”
ฉินอวี่ไม่ได้รู้เลยว่าในขณะที่เขาจากออกไป ประมุขแห่งหอตำรายังคงมองดูฉินอวี่อยู่ตลอดทาง และพึมพำกับตนเอง “์ เลือกคนที่โกงหลักแห่งกรรมของเซียนอสูรมาเป็ผู้ดูแล มัน... มันเป็ไปได้จริงหรือ?”
คำตอบที่มีให้กับประมุขคือเสียงของใบไม้ไหวที่กระทบกับสายลม
ประมุขหอตำราหันมองไปทางต้นไม้เก่าแก่ ราวกับกำลังสับสนอย่างมาก นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่โดยไม่มีการตอบสนอง ก่อนจะถอนหายใจ และกวาดสายตาไปมองตัวอักษรที่คดเคี้ยวซึ่งสลักไว้บนต้นไม้ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็หลับตาลง
ตัวอักษรเ่าั้ได้แก่ “หนึ่งดารา หนึ่งโลหิต หนึ่งเรือน หนึ่งฟ้าดิน”
