“ไม่รีบขอรับ ข้าอยากจะพาอวี๋เจียวไปด้วยกัน” อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ย
สตรีแซ่ซ่งหัวเราะหลังได้ฟัง “ได้สิ พาพี่สาวของเ้าไปด้วย นางไม่ได้ออกไปข้างนอกมานานมากแล้ว”
ไม่นานนัก อวี๋เจียวกับอวี๋ฝูหลิงก็กลับมาจากริมลำธาร เอาฟูกนอนที่ซักสะอาดแล้วมาตากไว้ในลานเรือน เมื่อได้ยินว่าจะไปไหว้พระ อวี๋ฝูหลิงดีใจอย่างเห็นได้ชัด น้อยครั้งนักที่นางจะได้ออกจากจวน กระทั่งเดินทางเข้าตำบลยังแทบนับครั้งได้ อีกทั้งวัดฝ่าหวายังมีชื่อเสียงอย่างยิ่ง มีคนไปสักการะบูชามากมาย คงจะคึกคักไม่น้อย
อวี๋เจียวกลับไม่นึกสนใจนัก วัดวาอารามล้วนไม่ต่างกัน แค่จัดวางพระพุทธรูปจำนวนหนึ่งไว้ให้คนกราบไหว้ นางยังไม่สะดวกนักเพราะเป็ประจำเดือน แม้จะไม่ใช่เื่ใหญ่ แต่อย่างไรก็อดรู้สึกไม่สบายตัวไม่ได้ เมื่อได้ยินอวี๋ฝูหลิงบอกว่าวัดฝ่าหวาตั้งอยู่กลางเขาชื่อเล่อ ย่อมต้องเดินขึ้นเขาอย่างไม่อาจเลี่ยง นางคร้านจะเหน็ดเหนื่อยจริงๆ
นางกลับเรือนฝั่งตะวันออกเพื่อไปหาอวี๋ฉี่เจ๋อเมื่อรู้ว่าเขาจะไปแก้บนที่วัดฝ่าหวา จึงเอ่ยออกไปว่า “ท่านกับพี่ฝูหลิงไปไหว้พระที่วัดฝ่าหวาเถิด ข้าคงไม่ไปแล้ว”
อวี๋ฉี่เจ๋อคาดไม่ถึงว่านางจะไม่ยินดี เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลโน้มน้าว “วัดฝ่าหวามีทิวทัศน์งดงามและสงบเงียบ ภายในลานมีต้นไม้แฝดอายุนับร้อยปี มีชื่อเสียงจนผู้คนมากมายต่างเดินทางมาเยี่ยมชม อีกทั้งอาหารเจที่วัดรสชาติดีอย่างยิ่ง เ้าอยู่ในจวนก็ไม่มีอะไรทำ มิสู้ออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
อวี๋เจียวเริ่มสนใจเมื่อได้ยินเื่ต้นไม้แฝดจากอวี๋ฉี่เจ๋อ แต่เมื่อคิดว่าต้องเดินขึ้นเขา นางยังคงพับเก็บความคิดนี้ไป “ร่างกายของข้ายามนี้ไม่สู้ดีนัก พี่ฝูหลิงบอกว่าวัดฝ่าหวาอยู่กลางเขา เช่นนั้นก็ช่างมันเถิด”
“เ้าไม่สบายหรือ?” อวี๋ฉี่เจ๋อมองพิจารณานางหนึ่งรอบ เอ่ยพลางเดินเข้าใกล้ “ไม่สบายส่วนใด? หรือเป็เพราะเหน็ดเหนื่อยจากเื่เมื่อคืน?”
ใบหน้าของอวี๋เจียวฉายแววเขินอาย ส่ายหน้าตอบอย่างคลุมเครือว่า “ไม่เป็อะไร พักสักสองวันก็หายแล้วเ้าค่ะ”
อวี๋ฉี่เจ๋อรีบพูดขึ้น “ถ้าเช่นนั้นอีกสองวันค่อยไปวัดฝ่าหวา เ้าพักผ่อนให้ดีเสียก่อน”
อวี๋เจียวทำได้เพียงพยักหน้า
อวี๋ฉี่เจ๋อครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยต่อว่า “เ้าอาวาสฮุ่ยเจวี๋ยของวัดฝ่าหวาล้มป่วยลง ข้ากับเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเป็การส่วนตัว อยากจะให้เ้าช่วยไปตรวจอาการให้เขาสักหน่อย”
ตลอดหลายวันที่อยู่ในจวนสกุลอวี๋ อวี๋เจียวไม่เคยเห็นว่าอวี๋ฉี่เจ๋อมีไมตรีกับผู้ใด ครั้นได้ยินเขาเอ่ยถึงเ้าอาวาสฮุ่ยเจวี๋ยท่านนั้น คาดว่าคงจะเป็พระอาจารย์ที่มีดีมีคุณธรรมอย่างยิ่ง
“ในเมื่อเป็การตรวจโรค เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ก็ให้ข้าไปพร้อมพวกท่านเถิดเ้าค่ะ” อวี๋เจียวตอบ
อวี๋ฉี่เจ๋อเป็ห่วงสุขภาพของเ้าอาวาสฮุ่ยเจวี๋ย แต่ก็รู้สึกว่าไม่จำเป็ต้องรีบร้อน เป็เช่นคำกล่าวของศิษย์พี่ลู่จิ่น เ้าอาวาสฮุ่ยเจวี๋ยมีวิชาหมอที่ดีเป็ทุนเดิมติดตัวอยู่แล้ว
“รอให้ร่างกายเ้าหายดีก่อนค่อยไปเถิด” อวี๋ฉี่เจ๋อปวดใจเพราะอวี๋เจียวต้องคอยดูแลเขาเมื่อวานโดยไม่ได้หลับพักผ่อนตลอดทั้งคืน
อวี๋เจียวส่ายหน้า นางคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ร่างกายของข้าไม่เป็อะไรมาก เพียงแค่คิดถึงว่าวัดฝ่าหวาอยู่กลางเขาแล้วคร้านจะปีนเขาเท่านั้น”
อวี๋ฉี่เจ๋อกลับไม่เชื่อคำกล่าวนี้ของนาง เขาปักใจเชื่อไปเสียแล้วว่าอวี๋เจียวไม่สบาย เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้นางก็เคยตากฝนเดินขึ้นยอดเขาไปเก็บสมุนไพรให้เขา เขาไม่คิดว่าด้วยระยะทางไปวัดฝ่าหวาจะทำให้อวี๋เจียวนึกเกียจคร้านหรือไม่อาจทนลำบาก เขาจึงตัดสินใจว่าจะรออีกสองวันค่อยเดินทางไปวัดฝ่าหวา
หลังจากทานอาหารเย็น อวี๋หรูไห่เอาเงินให้อวี๋ฮั่นซานเพื่อให้เขานำไปเปิดร้านขายเนื้อ ถึงแม้สองวันก่อนจะทะเลาะกับอวี๋เจียว ทำให้อวี๋หรูไห่ขุ่นเคืองครอบครัวสาม ทว่าท้ายที่สุดยังคงไม่อาจทนต่อวาจาของคนข้างหมอนเช่นสตรีแซ่อวี๋โจว อีกทั้งเดิมทีเขาก็คิดจะหาเงินเข้าจวนเช่นกัน ดังนั้นจึงออกเงินส่วนกลางให้
เช้าตรู่วันต่อมา อวี๋ฮั่นซานะโเรียกอวี๋เมิ่งซานกับอวี๋เฉียวซานให้ไปช่วยเขาสร้างเพิงหญ้าที่ถนนตรงสี่แยกอย่างลำพองใจ หากผู้คนในหมู่บ้านใกล้เคียงจะเดินทางเข้าตำบลล้วนต้องผ่านทางสายนั้น นอกจากนั้นยังอยู่ใกล้กับหมู่บ้านหลายหมู่บ้าน นับว่าเลือกสถานที่ได้ไม่เลว
ครอบครัวรองและครอบครัวใหญ่ถึงได้รู้ว่าท่านผู้เฒ่าเอาเงินส่วนรวมให้ครอบครัวสาม
ในใจของสตรีแซ่ซ่งกับอวี๋เมิ่งซานไม่คิดอะไร พวกเขาชินชากับความลำเอียงที่ท่านผู้เฒ่ามีต่อครอบครัวสามมานานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นขอเพียงครอบครัวสามไม่มุ่งเป้ามายังเงินของอวี๋เจียวก็พอ พวกเขาย่อมไม่กล้าสอดปากสอดคำเื่ที่ท่านผู้เฒ่าออกเงินให้อวี๋ฮั่นซานเปิดร้านขายเนื้อ
ถึงแม้ภายในใจสตรีแซ่จางจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เพราะถูกอวี๋เฉียวซานเกลี้ยกล่อมจึงไม่อาจโวยวายอะไร
ทว่าสตรีแซ่จ้าวชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ หลังจากตัดฝ้าฝ้ายและผ้าแพรทั้งสองผืนที่สตรีแซ่อวี๋โจวเอามาให้เสร็จเรียบร้อย นางก็จงใจนำออกมานั่งเย็บในลานเรือน
สตรีแซ่จางเห็นแล้วโมโหไม่น้อย สตรีแซ่จ้าวยังโอ้อวดออกมาว่า “เดือนหน้าจะสอบขุนนางระดับเซียงซื่อแล้ว จิ่นซูกับจิ่นเหยียนจะต้องเข้าสอบขุนนาง ย่อมต้องสวมเสื้อผ้าสีสันงดงามเพื่อพบปะผู้อื่น ข้ายังต้องรีบทำทั้งสองชุดให้เสร็จก่อนวันสอบขุนนางในฤดูใบไม้ร่วง คงไม่อาจช่วยเหลืองานในทุ่งเสียแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่คงต้องเหนื่อยสักหน่อย”
