อวี๋เคอไม่สามารถหลับตาลงได้เลยทั้งคืนเขานอนไม่หลับเลยแม้แต่น้อย เหตุผลแรกเป็เพราะซ่งฉียวนทำให้ใ และสองก็คือเขาคิดถึงกระต่ายป่าย่างตัวนั้นหลังจากที่อดทนกับความอยากกินมาค่อนคืน ระหว่างนั้นก็ยังแอบเปิดประตูออกไปดู และพบว่ากระต่ายป่านั่นได้หายไปหมดแล้วเหลือเพียงท่อนไม้เปล่ากับกองถ่านที่กลายเป็ขี้เถ้าอยู่ตรงนั้น ภาพที่เห็นทำให้เขารู้สึกเจ็บใจ
เมื่อนึกถึง่สองปีที่ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในหุบเขาอวี๋เคอที่ทำอะไรเองไม่เป็เลยมาั้แ่ไหนแต่ไร ใน่แรกเขาพยายามทำอาหารอยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายก็พังไม่เป็ท่า ทว่าลำพังตัวเขาเองไม่ต้องกินข้าวก็สามารถอยู่ได้แต่ซ่งฉียวนนั้นอดอาหารไม่ได้ เขาจึงต้องออกไปซื้ออาหารที่ปรุงสุกแล้วที่แดนันิทรากลับมาทุกวันและจะต้องไปซื้ออย่างน้อยสามครั้งต่อวันอีกด้วย
เนื่องจากซ่งฉียวนไม่อยากรบกวนเขาจึงเริ่มเรียนรู้ที่จะทำอาหารด้วยตัวเอง จนสุดท้ายก็สามารถทำออกมาได้เหมือนต้นฉบับทุกอย่างโดยเฉพาะมื้อเย็นนั้นทำออกมารสชาติอร่อยใช้ได้เลยทีเดียว จนค่อยๆ ทำให้กระเพาะของอวี๋เคอได้กินอาหารที่อร่อยถูกปากกระทั่งเวลาที่เ้าหมอนี่ออกไปดื่มเหล้าข้างนอก แต่กลับไม่ยอมกินข้าวจากข้างนอกไปเลยอย่างมากก็สั่งเนื้อผัดซอสมาเป็กับแกล้มเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าั้แ่ที่เขาเมาในวันนั้นอวี๋เคอก็ไม่ได้กินอาหารมื้อเย็นรสชาติอร่อยมาหลายวันแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกหิวแต่ในหลายๆ ครั้งความตะกละมันก็ทำให้รู้สึกทุกข์ทรมานกว่าความหิวโหยดังนั้นเมื่อจมูกที่ไวต่อกลิ่นของเขาได้กลิ่นเนื้อย่างอันแสนคุ้นเคยนั่นเ้าหมอนี่ก็เกือบจะหยุดอาการกลืนน้ำลายที่เหมือนเด็กน้อยอยู่บนเตียงในทันทีแล้วลุกขึ้นมานั่งอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะเปิดประตูออกไป
เมื่อประตูเปิดออกมากลิ่นหอมของเนื้อย่างก็โชยมาอบอวลอยู่รอบตัวอวี๋เคอในทันทีเขาเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าตะแกรงย่างที่ว่างเปล่าเมื่อวานตอนนี้กลับมีกระต่ายป่าถูกขึงอยู่บนนั้นอีกครั้งส่วนคนที่กำลังนั่งทาน้ำมันอย่างคล่องแคล่วอยู่ข้างกองไฟหากไม่ใช่ซ่งฉียวนแล้วจะเป็ใครไปได้?
เมื่อซ่งฉียวนเห็นว่าเขาออกมาแล้ว ก็วางสิ่งที่กำลังทำอยู่ในมือลงก่อนจะโค้งคำนับให้อวี๋เคอ แล้วเงยหน้าพร้อมกับส่งรอยยิ้มอันสดใสออกมา “ท่านอาจารย์ ฉียวนรู้ว่าท่านชอบกินของที่ย่างด้วยถ่านพวกนี้ที่สุดที่เมื่อวานไม่กินก็เพราะว่าไม่อยากอาหาร เช้านี้ข้าจึงขึ้นเขาไปล่ามาอีกตัวขอรับ”
เด็กหนุ่มก้มหน้ามองกระต่ายย่างที่มีสีทองอร่ามแล้วกล่าวต่อว่า “เนื้อย่างนี้ก็ใกล้จะสุกแล้ว ท่านอาจารย์ไปพักตรงนั้นก่อนเถิดข้าจะรีบทำให้เสร็จแล้วยกไปให้ท่านทันทีเลยขอรับ”
อวี๋เคอได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป ขณะที่กำลังมองไปยังซ่งฉียวนผู้ที่อยู่ตรงหน้าที่เคารพนอบน้อมต่อตนเองผู้นี้เขากลับรู้สึกสนิทใจเป็อย่างมาก ทั้งยังรู้สึกว่าเข้ากันได้ดีกับซ่งฉียวนในตอนนี้มากกว่าอยู่ดีไม่รู้ว่าทำไมซ่งฉียวนในตอนกลางคืนมักทำให้เขารู้สึกเหมือนได้อยู่กับซ่งฉียวนผู้ที่น่ากลัวจากชาติที่แล้วอย่างอดไม่ได้ลักษณะเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่เก็บซ่อนความเ้าเล่ห์เอาไว้เต็มท้อง
“อืม” เมื่อตอบกลับไปคำหนึ่งอย่างเฉยเมยแล้วอวี๋เคอจึงเดินไปนั่งลงข้างโต๊ะหินที่อยู่ใต้ต้นหางนกยูงโต๊ะนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นหางนกยูงที่สูงเกือบสิบเมตร ก็เห็นดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่ยังตูมอยู่ขึ้นแทรกอยู่ท่ามกลางใบไม้สีเขียวขจีได้อย่างเลือนรางเพียงชั่วครู่เหมือนอวี๋เคอจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะหยิบหินผลึกไฟสิบกว่าก้อนออกมาจากในแหวนหยก แล้วใช้พลังปราณถ่ายส่งเข้าไปในผืนดินที่อยู่ใต้ต้นไม้จากนั้นจึงสั่นหินผลึกไฟทั้งหมดกระจายลงสู่ใต้ดิน
ในตอนนั้นเองความร้อนมหาศาลก็ได้ห่อหุ้มต้นหางนกยูงเอาไว้ทั้งต้นเพียงไม่นานต้นไม้ต้นนั้นก็เริ่มโตขึ้นมาด้วยความเร็วสูง ใบไม้สีเขียวจากที่เป็โทนเขียวขจีก็เปลี่ยนเป็สีเขียวมรกตส่วนดอกไม้ตูมนั่นก็เริ่มใหญ่และเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแต่ละดอกก็ได้ผลิบานออกมาตามๆกัน ดอกไม้สีแดงเพลิงละลานตาบานแทรกใบไม้สีเขียวออกไปจนหมด ทำให้ต้นไม้ทั้งต้นดูราวกับเปลวเพลิงอย่างแท้จริงช่างดูงดงามตระการตายิ่งนัก และเมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาในยามเช้าตรู่ก็ยิ่งทำให้ดูสวยงามอบอุ่น
อวี๋เคอยื่นมือออกไปรับดอกหางนกยูงดอกหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมาไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้รู้สึกเศร้าขึ้นมาตอนแรกอาจิ่วยังพูดอยู่เลยว่าอยากจะปลูกต้นไม้ต้นนี้มากทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่ได้กลับมาเห็นดอกหางนกยูงที่เหมือนกับเปลวเพลิงเหล่านี้
ซ่งฉียวนที่ถือจานเอาไว้พลางหยุดยืนอยู่กับที่สายตากลับจับจ้องไปยังร่างของคนที่อยู่ใต้ต้นไม้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถละสายตาไปได้เลย
ต้นไม้สีแดงเพลิงกับชายผู้ที่สวมอาภรณ์สีขาว ยามนี้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าหัวใจของตนเองเหมือนจะเต้นเร็วขึ้นแล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ บางทีนี่อาจจะเป็เหตุผลว่าทำไมองค์หญิงแห่งเผ่าภูตหิมะถึงได้ขอแต่งงานกับอาจารย์เช่นนั้น
“ข้าขอร้องให้เ้ารั้งท่านอาจารย์เอาไว้ห้ามปล่อยให้เขาจากไปเด็ดขาด”
“เ้าไม่ต้องพูดข้าก็รู้” ซ่งฉียวนขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมถึงมีจิติญญาของอีกคนอยู่ในร่างกายของเขาทว่าความคิดของคนผู้นั้นที่มีต่ออาจารย์กลับไม่ต่างไปจากตนเลยและสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเสียทีเดียวซ่งฉียวนนึกไม่ออกเลยว่าตัวเองจะใช้ชีวิตอย่างไรหลังจากที่ไม่มีอาจารย์
“ท่านอาจารย์ อย่าขยับขอรับ” ซ่งฉียวนวางจานลงบนโต๊ะหินแล้วยื่นมือออกไปหยิบดอกหางนกยูงที่ตกลงมาบนผมของอวี๋เคอออกมาอย่างแ่เบาก่อนจะรีบเก็บเข้าไปในแขนเสื้อทันควัน
“มีอะไรหรือ?” อวี๋เคอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“เมื่อครู่มีดอกไม้ร่วงลงบนศีรษะท่านอาจารย์น่ะขอรับ” จากนั้นซ่งฉียวนก็นั่งลงอีกฝั่งหนึ่ง แล้วอมยิ้มอยู่อย่างนั้น “แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วขอรับ”
“ไม่มีแล้วก็ดี” สายตาของอวี๋เคอถูกตรึงไว้กับจานนั้นั้แ่ถูกวางลงบนโต๊ะแล้วหลังจากที่ตอบออกไปอย่างขอไปทีแล้วเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมากินอย่างไม่เกรงใจ
ซ่งฉียวนแบ่งเนื้อกระต่ายออกเป็ชิ้นเล็กๆ ขนาดเท่ากันอย่างใส่ใจพร้อมกับโรยด้วยเครื่องเทศที่เขาทำขึ้นมาเองเมื่อกินเข้าไปแล้วก็ยังคงได้กลิ่นหอมเต็มคำ จึงทำให้อวี๋เคอยิ่งกินอย่างตะกละตะกลามจนมองข้ามสายตาที่เปลี่ยนเป็เศร้าหมองของเด็กหนุ่มตรงหน้าที่กำลังจ้องมองเขาอยู่
เขากินเนื้อย่างจนหมดอย่างพึงพอใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมากลับต้องใ เมื่อพบว่าซ่งฉียวนเอาแต่นั่งยิ้มตาหยีมองเขากินอยู่ตลอดจนเป็เวลานานขนาดนี้จากนั้นความรู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเองก็ก่อตัวขึ้นมาในทันทีเพียงแต่เขาอดกลั้นไม่กล้ายกมือขึ้นมาเกาหน้าด้วยความเคยชินต่อหน้าเด็กคนนี้ก็เท่านั้น
ผ่านไปครู่ใหญ่จึงนึกขึ้นได้ว่ายังมีเื่สำคัญที่ยังไม่ได้พูดอวี๋เคอวางสีหน้าให้เป็ปกติ แล้วกระแอมไอเบาๆ สองครั้ง “ฉียวนตอนนี้เป็เดือนสามของฤดูใบไม้ผลิแล้ว และยังเป็่เวลาที่สำนักฉิงชางซึ่งเป็กลุ่มผู้ฝึกตนอันดับหนึ่งแห่งโลกผู้ฝึกตนเปิดรับลูกศิษย์อีกด้วยข้าอยากจะส่งเ้าไปฝากตัวกับหร่วนสือจิ่วสหายคนสนิทของพ่อเ้าให้มาเป็อาจารย์นี่เป็เื่ที่สองที่พ่อของเ้าฝากฝังเอาไว้กับข้า”
สีหน้าของซ่งฉียวนดูอึ้งไปครู่หนึ่งความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือสิ่งที่คนผู้นั้นพูดเมื่อคืนนี้
หรือว่าท่านอาจารย์กำลังจะทิ้งข้าไปแล้วจริงๆ ?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกได้ถึงความทุกข์ระทมที่มีอยู่เต็มหัวใจทันใดนั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่าทั้งสองข้างลงต่อหน้าอวี๋เคอ พร้อมกับทำความเคารพอย่างยกใหญ่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “ท่านอาจารย์หากเป็อาจารย์เพียงหนึ่งวันก็จะเปรียบเป็บิดาไปตลอดชีวิตทั้งชีวิตนี้ฉียวนมีท่านเป็อาจารย์เพียงคนเดียวและจะไม่ยอมกราบคนอื่นเป็อาจารย์อีก! ”
“นี่เ้ากำลังทำอะไรอยู่? ” อวี๋เคอรู้สึกมึนงงไปหมดแล้ว ในเนื้อเื่เดิมไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นนี่? ตอนนั้นเยี่ยวั่งจือก็ส่งซ่งฉียวนไปยังสำนักฉิงชางได้อย่างราบรื่นจากนั้นก็หายตัวไปจากเนื้อเื่ในที่สุด
เขาไม่เคยคิดเลยจริงๆว่าซ่งฉียวนจะต่อต้านการกราบอาจารย์อีกครั้งเช่นนี้ และในเวลานี้เขาก็ยังคิดหาวิธีดีๆที่จะโน้มน้าวเ้าเด็กนี่ไม่ได้อีก
“ข้าสามารถถ่ายทอดวิชาให้กับเ้าได้ไม่มากและแน่นอนว่ามันน้อยกว่าหอคัมภีร์ของสำนักฉิงชางอยู่มากโขอีกอย่างหร่วนสือจิ่วผู้นั้นก็เป็ถึงหนึ่งในผู้าุโใหญ่ของสำนักฉิงชางซึ่งจะต้องแข็งแกร่งกว่าข้าหลายเท่าตัวอย่างแน่นอนความแค้นครั้งใหญ่ของเ้ายังไม่ถูกชำระ หากเ้ายังดื้อดึงที่จะอยู่กับข้าที่นี่เ้าก็จะไม่มีวันแข็งแกร่งขึ้นได้แล้วนับประสาอะไรกับการแก้แค้นให้กับพ่อแม่และพี่น้องของเ้า”
อวี๋เคอเริ่มพูดชักแม่น้ำทั้งห้า แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้เลยว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้ซ่งฉียวน “เปลี่ยนใจ” ได้หรือไม่ เพียงแค่พูดทุกอย่างที่สามารถคิดได้ออกมาก็เท่านั้นเหมือนดั่งสุภาษิตที่ว่า ขมปากย่าใจ [1]
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ซาบซึ้งเลยด้วยซ้ำ
ซ่งฉียวนก้มหน้า แล้วยื่นมือทั้งสองข้างไปด้านหน้าเพื่อทำความเคารพอีกครั้งก่อนจะพูดคำที่ทำให้อวี๋เคอโกรธจนควันแทบจะออกหู “หากท่านอาจารย์ไม่เปลี่ยนใจข้าก็จะคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่ลุกไปไหน”
อวี๋เคอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมซ่งฉียวนคนที่รู้ความอย่างตอนกลางวันคนนั้นจู่ๆ ถึงได้กลายมาเป็คนหัวรั้นได้ขนาดนี้? จากนั้นความรู้สึกพ่ายแพ้ก็พลันบังเกิดขึ้นอย่างห้ามไม่ได้อวี๋เคอจึงลุกขึ้นยืนตรง พร้อมกับสะบัดแขนเสื้อไปหนึ่งที แล้วพูดเสียงเย็นว่า “เช่นนั้นหากเ้าอยากคุกเข่าก็คุกเข่าไปเถิด แต่อย่างไรเ้าก็ต้องไปที่สำนักฉิงชางหากเ้าไม่ยอมไป ข้าก็จะรอจนกว่าเ้าคุกเข่าจนเป็ล้มแล้วพาเ้าไปเอง! ”
......
เชิงอรรถ
[1] ขมปากย่าใจ หมายถึงพูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุดด้วยเจตนาที่ดี