บทที่ 35 เคล็ดกระบี่กายสิทธิ์
“ศิษย์คิดว่าถึงจุดที่สมควรแล้ว ตอนนี้วิชากระบี่พื้นฐานของศิษย์ไม่อาจก้าวข้ามขีดจำกัดไปได้มากกว่านี้แล้ว น่าจะเข้าสู่สภาวะคอขวดและไปต่อไม่ได้แล้วขอรับ” ฉินชูบอกถึงสาเหตุหลักที่ตัวเองมาที่หอคัมภีร์เพื่อแลกตำรากระบี่เล่มใหม่ ทั้งหมดเป็เพราะวิชากระบี่พื้นฐานของเขาพัฒนาต่อไปไม่ได้แล้ว
“ไปต่อไม่ได้แล้ว? ช่างไม่รู้จักถ่อมตัวกระไรปานนี้ เอาล่ะ เ้าลองเอาชนะเขาให้ได้ แล้วโอสถขั้นหลิงหยวนทั้งสองขวดจะตกเป็ของเ้า!” โม่เต้าจื่อชี้ไปทางลูกศิษย์ผู้เฝ้าประตูทางเข้าหอคัมภีร์คนหนึ่ง
ดวงตาของลูกศิษย์คนนั้นลุกวาว เขาชักกระบี่ออกมาและพุ่งเข้าใส่ฉินชูทันที เขาเป็ลูกศิษย์สายหลักที่มีตบะอยู่ขั้นที่สี่หลิงหยวน เขามาเฝ้าประตูทางเข้าหอคัมภีร์ก็เพื่อ้าแต้มคุณูปการเพื่อแลกกับโอสถขั้นหลิงหยวน และในที่สุดก็มีสิ่งที่เขา้าถึงสองขวดวางล่อหน้าล่อตาอยู่ด้านหน้าเขา
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินชูก็ชักกระบี่ออกจากฝักเช่นกัน ตวัดข้อมือเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำลายการโจมตีของศิษย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่คนนี้ได้แล้ว แต่เขาก็ถึงกับผละถอยหลังเช่นกัน เพราะพลังปราณที่อัดลงในใบดาบของอีกฝ่ายรุนแรงกว่า
สูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ฉินชูก็เริ่มใช้ทักษะตามที่ฝึกมาจากคัมภีร์ไร้นาม เืลมปราณภายในร่างกายเริ่มสูบฉีดพลุ่งพล่าน จากนั้นก็ชูกระบี่ขึ้นเหนือศีรษะตั้งเป็แนวขวางเพื่อตั้งรับการโจมตีระลอกที่สองของอีกฝ่าย
ครั้งนี้เป็อีกฝ่ายที่ต้องผละถอยหลังออกไป เพราะฉินชูได้ะเิพละกำลังทางร่างกายทั้งหมดออกมา ทำให้แขนที่ถือกระบี่ของเขามีพละกำลังเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ
ในระหว่างทำภารกิจภายในหุบเขามี่หยุน่สองสามเดือนนี้ ฉินชูได้นำวิชากระบี่และทักษะการต่อสู้ที่เขามีทั้งหมดมาใช้ในสถานการณ์จริง แต่ตัวแปรสำคัญหลักที่เขาใช้โค่นสัตว์อสูรขั้นที่สี่ก็คือพละกำลังทางกายของเขาที่มากล้นเกินมนุษย์ หลังจากเขาแช่โอสถน้ำที่ใช้เืของอสรพิษัหิมะเป็วัตถุดิบหลัก ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาอีกระดับ หากให้ฉินชูพิจารณาความแข็งแกร่งของตัวเองในตอนนี้ ก็น่าจะสู้กับสัตว์อสูรระดับสี่ขั้นแรกๆ ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อกระมัง
เมื่อไม่ถูกกระแทกจนผละถอย และสามารถถือกระบี่ได้อย่างแน่นและมั่นคงกว่าเดิม พลังของวิชากระบี่พื้นฐานของฉินชูก็เพิ่มขึ้นมาอีกระดับไปโดยปริยาย กระบวนท่าหนึ่งเชื่อมต่อกับกระบวนท่าถัดไปอย่างไร้ตะเข็บรอยต่อ ในกระบวนท่าป้องกันแฝงไปด้วยการโจมตี ทำเอาจังหวะการต่อสู้ของอีกฝ่ายเริ่มสะดุด แต่เนื่องจากพลังโจมตีของวิชากระบี่พื้นฐานมีขีดจำกัด ฉินชูจึงไม่สามารถเผด็จศึกได้เสียที
หลังจากสู้กันเป็เวลากว่าหนึ่งถ้วยชา โม่เต้าจื่อก็ยกมือสั่งยุติการต่อสู้
“ในเมื่อเดินได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็สามารถวิ่งได้แล้ว ข้ามีตำราวิชากระบี่อยู่เล่มหนึ่ง แต่ต้องแลกกับแต้มคุณูปการสูงลิบ เ้าอยากได้หรือไม่” โม่เต้าจื่อถามฉินชู
“หากท่านาุโไม่ตุกติกและเห็นว่าสมควรแก่ศิษย์ผู้นี้ ศิษย์ก็ไม่คัดค้าน” ฉินชูมองโม่เต้าจื่อด้วยสายตาเจือแววสงสัย เพราะเขารู้ดีว่าคนอย่างโม่เต้าจื่อมีลูกไม้แพรวพราว
ครั้นสังเกตเห็นความสงสัยในดวงตาของฉินชู โม่เต้าจื่อก็ะเิพลังกดดันิญญาออกมา จากนั้นก็เขกหัวฉินชูไปหนึ่งที “ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าสงสัยในคำพูดของข้าเลยสักคน แต่เ้าหนูอย่างเ้ากลับริอ่านปีนเกลียว!”
ครั้นพลังกดดันิญญาสลายหายไป ฉินชูก็ยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ แต่พบว่าหัวตัวเองนูนขึ้นมาเป็ก้อนบวมฉึ่ง
“เช่นนั้นจงเอาเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ไปฝึกและแลกกับแต้มคุณูปการสองแสนแต้ม!” โม่เต้าจื่อยื่นตำราเล่มหนึ่งให้ฉินชูพร้อมกับแจ้งราคาที่ต้องจ่าย
“ท่านาุโขอรับ หากศิษย์ผู้นี้อยากเปลี่ยนใจไม่ขอแลกได้หรือไม่ขอรับ” ฉินชูยื่นเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์กลับไปให้โม่เต้าจื่อ ก่อนหน้านี้เขาเคยเข้าไปด้านในหอคัมภีร์แล้ว ซึ่งเคล็ดวิชากระบี่ขั้นสูงที่อยู่ด้านในอย่างแพงสุดก็อยู่ที่ประมาณแสนแต้มคุณูปการกว่าๆ แต่นี่โม่เต้าจื่อกลับเสนอตำราเคล็ดวิชากระบี่จากไหนก็ไม่รู้ในราคาสองแสนแต้มคุณูปการ เขาไม่มีวันติดกับแน่นอน
“ไม่ได้ หากเ้า้าอยู่ในสำนักชิงหยุนต่อไป จำเป็ต้องแลกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์เล่มนี้เท่านั้น!” โม่เต้าจื่อถลึงตาใส่ฉินชู
ฉินชูรู้สึกอับจนหนทาง เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนพูดขึ้น “แบบนี้ได้หรือไม่ ศิษย์ผู้นี้ไม่้าเคล็ดวิชากระบี่แล้ว แต่ศิษย์จะขอจ่ายแต้มคุณูปการแปดหมื่นแต้มเพื่อตอบแทนการสั่งสอนของท่านาุโเมื่อครู่!”
ตัวเขาไม่กล้าขัดใจโม่เต้าจื่อ คิดไปคิดมา ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องขอร้องให้โม่เต้าจื่อย้อนนิมิตเพื่อสืบชาติกำเนิดให้ตัวเอง ดังนั้นเขาจำใจต้องยอมทำตาม
โม่เต้าจื่อะเิแรงกดดันิญญาออกมาและเขกหัวฉินชูอีกครั้ง
“เ้าหนู ความสุขอยู่รอบกาย แต่ตัวเ้ากลับไม่เห็นค่า ข้าจะบอกให้เอาบุญ เคล็ดกระบี่กายสิทธิ์เล่มนี้เป็เคล็ดวิชากระบี่ในสำนักชิงหยุนที่เหมาะสมกับเ้าที่สุดแล้ว อีกอย่าง นอกจากท่านที่อยู่ตรงหน้าเ้าแล้ว ก็ไม่เคยมีใครฝึกเล่มนี้มาก่อน เพราะพวกเขาไม่อาจหยั่งถึงแก่นแท้ของมันได้ ข้าบอกแบบนี้แล้ว เ้าคิดว่ามันล้ำค่าหรือไม่” หลิงหยุนจื่อพูดขึ้น เขารู้สึกว่าจำเป็ต้องพูดให้ฉินชูได้รู้เอาไว้ เพราะฉินชูยังคิดว่าตัวเองขาดทุนและไม่เชื่อโม่เต้าจื่อ
ครั้นได้ยินหลิงหยุนจื่อพูดออกมาเช่นนี้ ฉินชูก็รับตำราเล่มนั้นมาแต่โดย ดี แต่ก่อนจะจากไป โม่เต้าจื่อก็คว้าแขนเขาเอาไว้ “คิดจะจากไป ทั้งที่ยังไม่จ่ายแต้มคุณูปการกระนั้นหรือ”
ฉินชูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยื่นบัตรสะสมแต้มคุณูปการออกไป หลังจากต่อรองกันสักพัก โม่เต้าจื่อก็เอาแต้มคุณูปการไปเพียงแสนแต้มและเหลือให้เขาจำนวนหนึ่ง เพื่อเอาไว้แลกโอสถหนิงหยวนสำหรับฝึกตน
หลังจากได้เคล็ดกระบี่กายสิทธิ์มา ฉินชูก็จากไป แม้จะได้ตำราฝึกวิชากระบี่เล่มใหม่มา แต่ในใจกลับไม่เป็สุขเท่าไร จ่ายไปแสนแต้มไม่พอ ยังเป็หนี้อยู่อีกแสนแต้ม ก่อนหน้าอุตส่าห์พยายามทำภารกิจแทบตาย สุดท้ายกลายมาเป็หนี้
หลังจากฉินชูกลับไป ลูกศิษย์ที่ประมือกับฉินชูก่อนหน้านี้ก็เอ่ยถามโม่เต้าจื่อ “ท่านผู้เฒ่าโม่ เคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ของท่านเป็เคล็ดวิชาลับที่ท่านไม่คิดจะถ่ายทอดให้คนอื่นไม่ใช่หรือขอรับ”
“ใช่ว่าไม่อยากถ่ายทอด เพียงแค่ไม่มีคนที่เหมาะสมเท่านั้น หนึ่งในคุณสมบัติของผู้ที่จะฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ คือจะต้องบรรลุวิชากระบี่พื้นฐานขั้นสมบูรณ์ให้ได้ก่อน ไม่งั้นจะไม่สามารถสำแดงพลังของเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ออกมาได้ นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขอีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กัน แต่ก็ยังไม่มีใครบรรลุเงื่อนไขนี้ได้ ดังนั้นข้าจึงต้องจำใจเก็บเคล็ดกระบี่อันผุพังนี้ไว้กับตัวเอง” โม่เต้าจื่อพูดอย่างเปิดเผย เพราะลูกศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้าหอคัมภีร์ล้วนเป็ศิษย์เอกที่ไว้ใจได้ ดังนั้นเขาถึงกล้าพูดเื่นี้ออกมา
“ทั้งที่ฝึกจนบรรลุวิชากระบี่พื้นฐานขั้นสมบูรณ์แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าอยากพัฒนาต่อ ช่างซื่อบื้อเหลือเกิน” หลิงหยุนจื่อหัวเราะออกมา โม่เต้าจื่อไม่เคยถูกทำให้อับอายเช่นนี้มาก่อน ไม่นึกว่าฉินชูจะแคลงใจกับเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์อันเลื่องชื่อของเขา หลิงหยุนจื่อรู้ดีว่าเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่งที่สามารถฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ได้คืออะไร แน่นอนว่าผู้ฝึกต้องบรรลุขั้นเจี้ยนหลิงและประสานจิติญญาเข้ากับกระบี่ให้ได้ก่อน
ไม่นานนักหลังจากฉินชูจากไป ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดกระโปรงโบกสะบัดตามแรงลมปรากฏตัวขึ้นมาที่หอคัมภีร์ มาดของเธอดูโดดเด่นน่าเกรงขามไม่น้อย
“ศิษย์น้องซั่งซูมาแลกตำราฝึกกระนั้นหรือ เช่นนั้นขอบัตรคุณูปการให้ข้าด้วย” ลูกศิษย์เฝ้าประตูอีกคนพูดขึ้น
“ขอบคุณค่ะศิษย์พี่ ท่านผู้เฒ่าโม่ ศิษย์ผู้นี้้ามาแลกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์เ้าค่ะ” ซั่งซูอวี๋มองไปทางโม่เต้าจื่อ
“เ้ารู้เื่นี้ได้อย่างไร” โม่เต้าจื่อขมวดคิ้ว เพราะไม่ค่อยมีใครรู้เื่เคล็ดกระบี่กายสิทธิ์เท่าไรนัก
ซั่งซูอวี๋โค้งคำนับให้โม่เต้าจื่อ “ศิษย์ผู้นี้เคยอ่านเจอในบทแนะนำคัมภีร์โบราณของสำนัก จากนั้นก็ถามท่านาุโท่านหนึ่ง ซึ่งท่านผู้นั้นก็แนะนำมาเช่นนี้ จากที่ศิษย์ผู้นี้หาข้อมูลมา เคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ถือว่าเป็เคล็ดวิชากระบี่ที่มีพลังโจมตีรุนแรงที่สุดของสำนักชิงหยุน”
“พวกที่แนะนำมาเป็พวกที่ไม่รู้เื่อะไรทั้งนั้น การที่จะฝึกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์จำเป็ต้องบรรลุวิชากระบี่พื้นฐานขั้นสมบูรณ์ก่อน” โม่เต้าจื่อพูดขึ้น
“ท่านาุโที่แนะนำมาก็พูดเช่นนี้ ดังนั้นศิษย์ผู้นี้จึงพยายามขัดเกลาวิชากระบี่พื้นฐานตลอดสามเดือนที่ผ่านมา และสามารถฝึกวิชากระบี่พื้นฐานจนบรรลุขั้นที่พอจะขึ้นเป็ศาสดาจารย์แห่งวิถีกระบี่ได้แล้วเ้าค่ะ ขอท่านผู้เฒ่าโม่โปรดกรุณา ศิษย์ผู้นี้เกิดมาเพื่ออุทิศทั้งชีวิตให้กับวิถีกระบี่เ้าค่ะ” ซั่งซูอวี๋แสดงความตั้งใจของตนให้โม่เต้าจื่อรับรู้
โม่เต้าจื่อมองพินิจซั่งซูอวี๋รอบหนึ่ง “ทั้งชีวิตของข้าล้วนอุทิศตนเพื่อทำให้สำนักชิงหยุนลุกผงาด ดังนั้นหากลูกศิษย์คนไหนพยายามและโดดเด่นมากพอก็จะได้รับการส่งเสริมจากข้า จริงอยู่ว่าเ้าเป็อัจฉริยะสายวิถีกระบี่ แต่วิถีกระบี่ของข้าไม่เหมาะกับเ้า คนที่เ้าควรเข้าหาน่าจะเป็เขามากกว่า” พูดจบ โม่เต้าจื่อก็ชี้ไปที่หลิงหยุนจื่อ
ฉินชูพกเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์เล่มละสองแสนแต้มคุณูปการกลับมายังกระท่อมที่ผาหินตัดและเริ่มอ่านดู ตอนนี้เขาอยากรู้เหลือเกินว่าทำไมเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ถึงมีราคาสูงลิบเช่นนี้
ฟันคน ฟันสัตว์อสูร ฟันปีศาจมาร ใบดาบมีพลังวิเศษ อิทธิฤทธิ์กำราบปีศาจและทวยเทพ...
นี่คือบทนำของเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์