นี่เป็ครั้งแรกที่กู้เจิงถูกเรียกตัวเข้าวังเพียงลำพัง มีเื่อะไรถึงต้องเรียกนางเข้าวังกันนะ
“ฮูหยินน้อยเสิ่นไม่ต้องกังวล พระสนมซูเรียกท่านเข้าวังไปเพื่อพูดคุยด้วยเท่านั้น” ชุยกูกู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เ้าค่ะ” กู้เจิงตอบ “ชุยกูกู่ หลังจากเื่อุทยานหลวง องค์หญิงสิบเอ็ดทรงสบายดีใช่ไหม?”
“องค์หญิงทรงะเืใจอยู่บ้าง และก็ยังมีอาการหวาดผวาอยู่บ้าง แล้วคุณหนูสี่กู้ดีขึ้นหรือยังเ้าคะ?”
“ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้รับาเ็เลยยังไม่ได้ไปเยี่ยมน้องสี่ แต่ตอนที่ข้าไปเยี่ยมพระชายาตวน ได้ยินท่านแม่บอกว่าน้องสี่ยังะเืใจอยู่บ้างและนางก็ยังรักษาตัวอยู่เ้าค่ะ”
ชุยกูกู่พยักหน้าอย่างเห็นใจพลางถอนหายใจ
คราวก่อนกู้เจิงเข้าวังไปตำหนักองค์รัชทายาท นอกตำหนักจะยังเห็นองครักษ์อยู่บ้าง ทว่าตำหนักของพระสนมซูตั้งอยู่ในเขตวังหลัง หลังจากรถม้าผ่านเข้าไปแล้ว ภายในก็ล้วนมีแต่นางกำนัลผู้หญิง
หลังลงจากรถม้า กู้เจิงก็แหงนหน้ามองประตูวังตรงหน้า นี่คือตำหนักที่พระสนมซูอาศัยอยู่ เพียงเงยหน้าไปก็สามารถมองเห็นตำหนักที่ฮองเฮาอาศัยอยู่ได้ ใกล้ตำหนักหลักเช่นนี้ เห็นได้ว่าพระสนมซูผู้นี้ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมากเพียงใด
กู้เจิงเดินตามชุยกูกู่เข้าไปยังตำหนักของพระสนมซู มีนางกำนัลที่เดินสวนคารวะชุยกูกู่และนางไปตลอดทาง
“ชุยกูกู่” นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก นางย่อกายคารวะกู้เจิงและชุยกูกู่ก่อนจะกล่าวว่า“พระสนมซูชมดอกไม้อยู่ในสวน พระสนมฝากบอกว่าให้ท่านพาฮูหยินน้อยเสิ่นไปส่งที่สวนเ้าค่ะ”
“เข้าใจแล้ว” ชุยกูกู่พยักหน้ารับ
กู้เจิงไม่มีเวลามาชื่นชมทิวทัศน์รอบด้าน นางคิดมาตลอดว่าพระสนมซูผู้นี้เรียกนางไปทำไม พอเข้าไปในสวนก็เห็นพระสนมซูกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับสตรีนางหนึ่ง
เมื่อมองเห็นหน้าตาของสตรีนางนั้นอย่างชัดเจน กู้เจิงก็ประหลาดใจเล็กน้อย ที่แท้ก็เป็หวังหว่านหรงบุตรสาวภรรยาเอกของตระกูลหวัง หวังหว่านหรงในอุทยานหลวงวันนั้นก็ถูกคนของเสี่ยนอ๋องมัดตัวขึ้นเขาไปเหมือนกัน เห็นเพียงนางออกมาพร้อมกับคนขององค์หญิงสิบเอ็ด
กู้เจิงย่อกายคารวะพระสนมซู
“ลุกขึ้นเถิด” พระสนมซูเกิดที่หมู่บ้านริมแม่น้ำเจียงหนาน ดอกโบตั๋นบนชุดที่ของนางแสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนและงดงามของหญิงสาวเจียงหนาน
“ฮูหยินน้อยเสิ่น” ตอนนี้กู้เจิงเป็ภรรยาของขุนนางขั้นสอง หวังหว่านหรงจึงต้องทำความเคารพนางตามมารยาท
“คุณหนูหวัง” กู้เจิงส่งยิ้มน้อยๆ กลับไป
“กู้เจิงมาแล้ว พวกเราเข้าไปนั่งในศาลากันเถอะ” พระสนมซูยิ้มอบอุ่นแล้วเดินไปจับมือกู้เจิงไปนั่งในศาลา
พระสนมซูสุภาพกับนางปานนี้เลยหรือ? กู้เจิงแปลกใจ แต่ทำไมหวังหว่านหรงถึงอยู่ที่นี่ด้วย นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
เมื่อทั้งสามคนนั่งลง พระสนมซูก็ยกยิ้มพลางมองกู้เจิงกับหวังหว่านหรงก่อนกล่าวว่า “เมื่อครู่หว่านหรงบอกข้าว่ามีวาสนาได้เจอกับเ้าอยู่หลายครั้ง ดูจากการทักทายของพวกเ้าแล้ว น่าจะคุ้นเคยกันดี”
“ใช่แล้วเพคะ”
“ไม่คุ้นเคยเพคะ” ทั้งสองต่างพูดออกมาพร้อมกัน
พระสสนมซูยกชาขึ้นจิบเบาๆ นางมองกู้เจิงพร้อมเอ่ยว่า “ถึงจะไม่คุ้นเคยแต่ค่อยๆ ทำความรู้จักกันไปก็ได้”
สีหน้าของหวังหว่านหรงดูไม่สบายใจนัก นางคิดไม่ถึงว่ากู้เจิงผู้นี้จะไม่ไว้หน้านางต่อหน้าพระสนมซู
พระสนมซูถอนหายใจ “วันที่พวกเ้าสองคนถูกจับขึ้นเขาไปในคืนนั้น ถือว่าได้ร่วมทุกข์ร่วมยากกันแล้ว หลังจากวันนั้น อย่าว่าแต่องค์หญิงสิบเอ็ดจะออกจากวังเลย แม้แต่จะให้นางออกจากตำหนักก็ยังหวาดกลัว”
“เหนียงเหนี่ยง องค์หญิงตอนนี้ยังไม่ดีขึ้นเลยหรือเพคะ?" หวังหว่านหรงถามด้วยความกังวล
“ใช่แล้ว ปกติองค์หญิงสิบเอ็ดขี้กลัวมากอยู่แล้ว”
“หมอหลวงก็หมดหนทางหรือเพคะ?”
พระสนมซูส่ายศีรษะ
กู้เจิงนั่งเงียบ นางเหมือนจะไม่เคยได้ยินว่าหวังหว่านหรงกับองค์หญิงสิบเอ็ดมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทว่าท่าทางห่วงใยเช่นนี้ดูราวกับว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจะแน่นแฟ้นมาก
“ทำไมเ้าถึงไม่พูดอะไรบ้างเลยเล่า?” พระสนมถามกู้เจิง นี่เป็ครั้งที่สองที่นางได้พบบุตรีอนุภรรยาผู้นี้ ครานี้มองแล้วกลับไม่ได้รู้สึกไม่ชอบเหมือนตอนที่เห็นเมื่อครั้งแรก ตอนนั้นในงานล่าสัตว์ บุตรีอนุผู้นี้ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจดึงกระโปรงของบุตรสาวสกุลฟู่ แต่ปัญหาในตอนนั้นทำให้นางไม่อาจชอบบุตรีอนุผู้นี้ได้
“หม่อมฉันไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีเพคะ”
“คุยอะไรก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ฮูหยินน้อยเสิ่น พระสนมซูขึ้นชื่อในวังหลวงว่าทรงใจดียิ่งนัก ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร เหนียงเหนี่ยงก็จะไม่วท่านหรอกเ้าค่ะ” หวังหว่านหรงเอ่ย
กู้เจิงไม่สนใจนาง แต่กลับยิ้มให้พระสนมซูอย่างอ่อนโยน “ไม่ทราบว่าพระสนมซูทรงเรียกหม่อมฉันเข้าวังเพราะเหตุใดเพคะ?”
“ก็ไม่มีอะไรมาก จู่ๆ อยากจะชมดอกไม้ แต่เพราะอิ๋งเอ๋อร์ไม่สบาย เลยไม่มีใครไปเป็เพื่อนข้า จึงได้คิดถึงเ้าขึ้นมา” พระสนมซูยิ้มพลางก้มหน้าจิบชา
กู้เจิงอดกลั้นที่จะไม่กลอกตา อยากชมดอกไม้เลยคิดถึงนางขึ้นมางั้นหรือ? พระสนมซูผู้นี้หาข้ออ้างได้น่าขบขันจริงๆ
ขณะนั้นเอง นางกำนัลคนหนึ่งก็เข้ามาในศาลาเพื่อรายงาน “พระสนมเพคะ บ่าวรับใช้ของตระกูลหวังเข้าวังมารายงานว่า ทางตระกูลหวังเกิดเื่บางอย่าง จึงอยากขออนุญาตให้คุณหนูหวังกลับจวนโดยเร็วเพคะ”
“ได้สิ หว่านหรงเ้ากลับไปก่อนเถอะ” พระสนมซูเอื้อนเอ่ย
หวังหว่านหรงลุกขึ้นกล่าวลาแล้วออกไป
หลังคุณหนูหวังจากไป กู้เจิงก็รู้ว่าคงได้เวลาแล้ว ที่พระสนมซูจะพูดเื่สำคัญกับนาง
เป็ดังคาด พระสนมดึงมือนางมาด้วยสีหน้าดีใจ “กู้เจิง ั้แ่อิ๋งเอ๋อร์แต่งเข้าจวนตวนอ๋อง พวกเราก็ถือว่าเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“เพคะ” กู้เจิงตอบเบาๆ
“หยวนเช่อบอกข้าั้แ่ก่อนหน้านี้ว่า เสิ่นเยี่ยนไม่ใช่คนธรรมดา สักวันหนึ่งเขาจะต้องมีอนาคตที่สดใส คิดไม่ถึงว่าวันนั้นจะมาเร็วขนาดนี้”
“สามีหม่อมฉันทำงานหนักมากเพคะ”
พระสนมซูพยักหน้าเบาๆ “คนเดินขึ้นสู่ที่สูง* เสิ่นเยี่ยนได้รับคำชมเชยจากฮ่องเต้ สักวันหนึ่งเขาจะกลายเป็ขุนนางขั้นหนึ่ง ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจจะได้เป็ถึงสมุหราชเลขาก็ได้นะ” เห็นกู้เจิงดวงตาเป็ประกายยามได้ยินคำว่าสมุหราชเลขา ก็อดยิ้มไม่ได้
(*หมายถึง ธรรมชาติของคนนั้นต้องแสวงหาความก้าวหน้า รู้จักพัฒนาตนเอง)
“ขอบพระทัยเพคะพระสนม”
“แต่ว่าเสิ่นเยี่ยนได้เลื่อนตำแหน่ง สถานะของเ้าคงค่อนข้างน่าอึดอัดอยู่บ้าง ตอนนี้ขุนนางในราชสำนักบางคนเอาแต่พูดว่า ใต้เท้าเสิ่นเก่งกาจไร้เทียมทาน เป็หยกงามบนเขาคุนหลุน* แต่ภรรยาของเขาเป็แค่บุตรสาวอนุภรรยา ไม่คู่ควรอย่างแท้จริง”
(*หมายถึง สิ่งที่ล้ำค่า หาได้ยาก)
“ทำไมจะไม่คู่ควรเล่า? แม้ว่าหม่อมฉันจะเป็บุตรสาวอนุภรรยา แต่ก็เป็ถึงคุณหนูใหญ่แห่งจวนกู้ป๋อเจวี๋ย ข้ายอมแต่งกับเขาที่เกิดในชนชั้นสามัญเลยนะเพคะ” กู้เจิงมองพระสนมซู แม้น้ำเสียงของนางจะอ่อนโยน ทว่าสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก
“ใช่น่ะสิ วันนี้ต่างจากเมื่อก่อน ตอนนี้เสิ่นเยี่ยนก็ได้เป็บัณฑิตประจำสำนักราชเลขาแล้ว”
“ขุนนางพวกไหนกันที่วิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้เพคะ หม่อมฉันอยากถามนักว่าการร่ำเรียนจนมีตำแหน่งชื่อเสียงแล้วทอดทิ้งภรรยา เป็สิ่งที่ในตำราสอนงั้นหรือ? หากในตำราไม่ได้สอน แล้วเอาคำกล่าวอ้างมาจากไหนให้พวกเขาเห่าไปทั่วเช่นนี้? อีกอย่าง นี่เป็เื่ของครอบครัวคนอื่น ขุนนางเหล่านี้พูดจาไปเรื่อยเปื่อย ไม่รู้จักขายขี้หน้าเอาเสียเลยนะเพคะ”
พระสนมซูไม่คิดว่าตนเองเอ่ยออกมาเพียงประโยคเดียว บุตรีอนุผู้นี้จะพูดพร่ำมายาวเช่นนี้ ทั้งยังบอกว่าพวกขุนนางเห่าไปทั่ว ซึ่งความจริงถ้อยคำเหล่านี้มิใช่สิ่งที่ขุนนางในราชสำนักพูดกัน แต่เป็เพราะบุตรชายของนางตวนอ๋องบอกให้นางพูด ตอนนี้จึงรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง
“หม่อมฉันทราบว่าพระสนมทรงเป็ห่วงหม่อมฉัน แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม หม่อมฉันจะไม่ยอมให้สามีรับอนุเด็ดขาดเพคะ” เสียงของกู้เจิงยังคงอ่อนโยนและนุ่มนวล มีเพียงน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความไม่สบอารมณ์
รับอนุงั้นหรือ? หากเสิ่นเยี่ยนแต่งงานใหม่ จะต้องแต่งกับบุตรสาวผู้สูงศักดิ์แน่ สตรีผู้สูงศักดิ์จะยอมเป็อนุได้อย่างไร? เมื่อพระสนมโดนพูดใส่เช่นนี้ ดวงตาอ่อนโยนของนางก็กลายเป็เ็า นางเอ่ยเสียงเย็นว่า “นี่ไม่ใช่เื่ที่เ้าจะยินยอมหรือไม่ยินยอม บุรุษอยากจะมีภรรยาหลายคน ไยต้องได้รับการยินยอมจากสตรีด้วยเล่า?”
“ครอบครัวอื่นอาจจะเป็ไปตามที่พระสนมทรงกล่าว แต่ในบ้านของหม่อมฉันต้องได้รับความยินยอมจากหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันว่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักเ่าั้ คงไม่ใช้อำนาจกดขี่คนอื่นกระมังเพคะ” สีหน้าของกู้เจิงไม่อ่อนโยนอีกต่อไป นางกล่าววาจาอย่างตรงไปตรงมา
พระสนมซูวางถ้วยชากระแทกโต๊ะเสียงดัง
กู้เจิงช้อนตาขึ้นมองั์ตาที่แฝงไว้ด้วยโทสะอย่างไม่เกรงกลัว “พระสนม หม่อมฉันแค่พูดความคิดจากใจออกมา ขอให้พระสนมอย่าได้ทรงกริ้วเลยเพคะ”
“ความคิดที่แท้จริงของเ้านั้นหาได้สำคัญ ด้วยฐานะของเสิ่นเยี่ยน ควรจะแต่งงานกับสตรีที่สามารถหนุนหลังเขาให้แข็งแกร่งขึ้นได้” พระสนมซูเอ่ยอย่างเยือกเย็น เห็นกู้เจิงนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นางก็ลดเสียงลง “เสิ่นเยี่ยนจะไม่หย่ากับเ้า และเ้าก็สามารถเป็อนุภรรยาของเขาได้ หลังจากสตรีคนใหม่แต่งเข้าบ้านไปแล้ว หากพวกเ้าเข้ากันได้ดี ก็สามารถตกลงกันได้”
“ไม่ทราบว่าสตรีคนใหม่ที่พระสนมทรงเอ่ยถึงคือใครหรือเพคะ?”
พระสนมซูเห็นน้ำเสียงของนางอ่อนลง จึงคิดว่านางยินยอมแล้ว “เป็คุณหนูตระกูลหวัง หวังหว่านหรงที่เ้าเพิ่งพบไปเมื่อครู่ ตระกูลหวังเป็ตระกูลใหญ่เก่าแก่ ทั้งยังได้รับการสืบทอดความรู้อันดีงามมาอย่างยาวนาน ในตระกูลมีผู้มีความสามารถมากมาย หากเสิ่นเยี่ยนได้แต่งกับนาง วันหน้าจะเป็ประโยชน์ต่อเขามาก"”
กู้เจิงเงยหน้ามองอีกฝ่ายตรงๆ ไม่ปิดบังโทสะของตัวเองอีก “หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ เมื่อครู่พระสนมทรงบอกว่าความคิดของหม่อมฉันไม่สำคัญ แล้วเหตุใดถึงต้องเรียกตัวหม่อมฉันเข้าวังมาคุยเื่นี้ด้วยเล่าเพคะ สรุปแล้ว หม่อมไม่เห็นด้วยกับการจะให้เสิ่นเยี่ยนแต่งหญิงอื่นเป็ภรรยาหรือรับอนุ ชั่วชีวิตนี้เขามีหม่อมฉันได้เพียงผู้เดียว นอกเสียจากว่าเขาจะหย่ากับหม่อมฉันแล้ว ส่วนเื่อื่นๆ พระสนมจัดการตามเห็นสมควรเถิดเพคะ”
“เ้าว่าอะไรนะ?” พระสนมซูลุกขึ้นยืน และถลึงตาใส่กู้เจิงด้วยสีหน้าเดือดดาล
กู้เจิงก็ลุกขึ้นบ้าง นางย่อกายคารวะพระสนมด้วยสีหน้าบึ้งตึง “หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”นางหันหลังเดินออกจากศาลาอย่างไม่สนใจสิ่งใดอีก