“แน่นอน!” ตาเฒ่าพิษเขม่นตาใส่ฉินหลาง “แกคิดว่าใครที่ไหนก็เข้ารายชื่อยุทธภพได้หมดเลยรึไง?”
“งั้นไม่ต้องพูดถึงแก๊งชิงแล้ว แล้วชมรมเกอเหล่าล่ะมาจากไหน?” ฉินหลางถาม
“แถวปาสู่ มีคนกลุ่มหนึ่งชอบพูดว่า ‘คนบ้านเผาเกอ’ คนพวกนี้ก็คือคนของชมรมเกอเหล่า” ตาเฒ่าพิษกล่าว “แต่หลังจากปฏิวัติครั้งใหม่แล้ว คนของชมรมเกอเหล่าเข้าร่วม และตายในการปฏิวัติไปไม่น้อย จึงค่อยๆ ตกอับแล้ว”
“ตกอับแล้ว เหมือนกับสำนักหมื่นพิษของเราเหรอ?”
“เ้าหนู! แกไม่พูดถึงเื่นี้ไม่ได้เหรอ!” ตาเฒ่าพิษโมโห เพราะสำนักหมื่นพิษตกอับเป็ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่มันก็เป็สิ่งที่ทำให้ตาเฒ่าพิษเ็ปมากที่สุดเช่นกัน
“งั้นท่านก็ถือว่าผมไม่ได้พูดเื่นี้ เล่าเื่ของแก๊งในยุทธภพที่แท้จริงให้ฟังอีกหน่อยนะครับ”
“ที่นับว่าเป็อิทธิพลในยุทธภพจริงๆ ที่มีชื่อเสียงที่สุดสำนักสงฆ์ก็ต้องเป็วัดเส้าหลิน ส่วนลัทธิเต๋าก็ต้องเป็บู๊ตึ๊ง…”
ปกติตาเฒ่าพิษเป็คนพูดน้อย แต่วันนี้กลับสอนฉินหลางเยอะอย่างไม่เคยเป็มาก่อน เพียงแต่ฉินหลางรู้สึกว่าตาเฒ่าพิษไม่ใช่คน ‘ใจดี’ ขนาดนั้น ที่เขาสอนฉินหลางเยอะขนาดนี้ เพราะเขาได้ผลักฉินหลางเข้าไปในยุทธภพที่ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว ตาเฒ่าพิษก็หยุดถ่ายทอดความรู้ที่เกี่ยวกับยุทธภพให้ฉินหลางฟัง พูดอย่างผู้รู้ว่า “จำเื่ที่ฉันมอบหมายไว้ให้ดี รับ่กิจการทั้งหมดของแก๊งชิงหวน! ถึงตอนนั้น แกจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของยุทธภพ!”
เมื่อพูดจบ ตาเฒ่าพิษก็ ‘ไถล’ ลงจากดอยราวกับมนุษย์ค้างคาว เรือนร่างของตาเฒ่าพิษเหยียบไปบนยอดต้นไม้เพียง 2-3 ก้าว แล้วก็หายลับไปกลางป่า
ตอนเด็กๆ ฉินหลางเคยคิดว่าการเหาะเหินเดินอากาศมีเพียงในนิทาน แต่ตาเฒ่าพิษกลับมีวิชาตัวเบาที่สามารถไป มาอย่างไร้ร่องรอย จนทำให้ฉินหลางเชื่อแล้วว่ามันมีอยู่จริง
ฉินหลางหยุดมองตาเฒ่าพิษด้วยความอิจฉา จากนั้นเดินลงจากดอยทีละก้าวทีละก้าวท่ามกลางแสงกแดด
ไม่มีใครสามารถะโแล้วถึงฟ้าเลยหรอก
ไม่ว่าจะเป็วรยุทธ์หรือหนทางในยุทธภพ จะต้องก้าวไปทีละก้าวๆ เท่านั้น แต่ฉินหลางเชื่อว่า สักวันหนึ่ง เขาจะต้องเดินไปยืนคู่กับตาเฒ่าพิษ หรืออาจจะไปไกลกว่าตาเฒ่าพิษได้แน่ๆ!
※※※
วิวพระอาทิตย์ขึ้นบนยอดดอยไป๋ผินไม่ได้ทำให้ฉินหลางตะลึงนัก เพราะคำพูดเมื่อกี้นี้ของตาเฒ่าพิษทำให้ฉิเนหลางตะลึงมากยิ่งกว่า
เส้นทางของชาวยุทธ์ยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีใครรู้ว่ายุทธภพนั้นลึกลับแค่ไหน
ตอนลงจากดอย ฉินหลางอดคิดไม่ได้ สำนักสงฆ์กับลัทธิเต๋าที่อยู่บนยอดพีระมิด พวกเขาจะมีความแข็งแกร่งมากขนาดไหน แล้วยอดฝีมือของพวกเขาจะก้าวไปถึงลำดับขั้นที่เท่าไหร่กันแน่
ตอนลงจากดอย ต้องผ่านหมู่บ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ฉินหลางกลับไม่คิดที่จะเข้าไป
แต่ถึงแม้ฉินหลางไม่ถึงจะเข้าไป กลับมีคนมายืนรอเขาอยู่บนถนนหน้าหมู่บ้านแล้ว
ที่กำลังรอฉินหลางอยู่ก็คือสองใน ‘แปดอรหันต์’ เมื่อเห็นฉินหลางเดินมา ทั้งคู่ก็รีบเข้าไปต้อนรับ แต่กลับทำให้ฉินหลางเข้าใจผิดอย่างอดไม่ได้ หนึ่งในนั้นจึงรีบอธิบายว่า “พี่ใหญ่ อย่าเข้าใจผิดนะครับ พวกเราไม่ได้มาร้าย แค่มีเื่บางอย่างที่พวกเราจะต้องส่งมอบให้พี่น่ะครับ
“เชิญพูด” ฉินหลางหยุดลง เพื่อดูว่าสองคนนี้จะพูดอะไร
“นี่เป็บัญชีของแก๊งชิงหวน พี่ช่วยดูด้วยนะครับ ยังมี นี่เป็บัตรเอทีเอ็มของชิงเฮ่อหยุนครับ รหัสคือ—”
หนึ่งในนั้นยื่นสมุดบัญชีกับบัตรเอทีเอ็มที่เตรียมไว้ก่อนแล้วให้ฉินหลาง แต่ว่าฉินกลับปฏิเสธ “ฉันคิดว่าจะไม่เอาบัตรเอทีเอ็มของชิงเฮ่อหยุนไปั้แ่แรกแล้ว ถ้าไม่อย่างงั้น ก็คงไม่ต้องรอถึงตอนนี้ ที่ฉันทิ้งบัตรเอทีเอ็มนี้ไว้ให้พวกนาย เพราะเห็นว่าในหมู่บ้านยังมีคนแก่กับเด็กอีก ต่อให้จะกลับตัวกลับใจเดินทางใหม่ ก็จำเป็ต้องใช้เงินเลี้ยงคนในครอบครัวอยู่ดี ดังนั้น ฉันตั้งใจจะให้พวกนายเอาเงินก้อนนี้ไปแบ่งกันเองั้แ่แรกแล้ว
ทั้งคู่ได้ฟัง ก็รู้สึกนับถือฉินหลางมาก เมื่อทั้งคู่เห็นฉินหลางยืนยันที่จะไม่รับ จึงพูดต่อว่า “พี่เป็คนที่มีคุณธรรมจริงๆ! ทำให้พวกเรานับถือพี่ยิ่งนัก! แต่ว่าสมุดบัญชีเล่มนี้พี่ช่วยรับไว้เถอะนะครับ ข้างในเป็ข้อมูลที่แก๊งชิงหวนทำการค้ากับแก๊งอื่นๆ ในอำเภอผิงชวน เมื่อก่อนรายได้หลักของแก๊งชิงหวนมาจากการขายยาสลบ ยาพิษ ยาที่ทำจากพิษงู และยาพิษชนิดต่างๆ ให้แก๊งอื่นๆ เพื่อแลกเงินและอาวุธปืนกับพวกเขา”
“พวกนายกลัวว่าแก๊งพวกนี้จะมาหาเื่พวกนายเหรอ?” ฉินหลางถาม
“ก็ไม่เชิงครับ แม้ว่าตอนนี้แก๊งชิงหวนจะแตกแยกแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครที่ไหนก็สามารถมารังแกพวกเราได้หมด แก๊งอื่นพวกเราไม่เป็ห่วงหรอกครับ มีเพียงหว้อหลงถังที่พวกเราจะเป็ห่วง เพราะยาที่ทำจากพิษงูของเรา ส่วนมากจะถูกหว้อหลงถังซื้อไป นอกจากนี้พวกเขาก็ยังเคยซื้อยา ‘ชุนเหมี่ยวสีหยู่’ จากพวกเราด้วย ถ้าต่อไปพวกเขาไม่ได้ของจากเราแล้ว จะต้องโมโหพวกเราแน่ๆ!” ตอนพูดถึงหว้อหลงถัง บนใบหน้าทั้งคู่เต็มไปด้วยความกลัว
เพราะว่า ‘หว้อหลงถัง’ ชื่อนี้มีอิทธิพลมากในเขตอำเภอผิงชวน ขอแค่เคยอยู่ในวงการนักเลงสองสามวัน ก็จะต้องเคยได้ยินชื่อนี้แน่นอน เพราะหว้อหลงถังเป็หนึ่งในสองแก๊งที่ใหญ่ที่สุดในอำเภอผิงชวน นอกจากนั้นแก๊งนี้ยังมีคนใหญ่คนโตคอยสนับสนุนอยู่ เป็ตัวแทนของครอบครัวมหาอำนาจครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้เป็เ้าของหลายธุรกิจและครอบคลุมหลายๆ สาขาอาชีพในอำเภอผิงชวน ซึ่งแก๊งชิงหวนไม่สามารถเทียบกับแก๊งนี้ได้เลย
ฉินหลางเข้าใจแล้วว่าทั้งคู่กังวลอะไรอยู่ จึงเอาสมุดบัญชีเล่มนั้นใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นพูดว่า “สมุดบัญชีฉันรับไว้แล้ว ถ้าหากคนของหว้อหลงถัง้าจะ ‘คิดบัญชี’ ก็ให้พวกมันมาหาฉันที่เมืองเซี่ยหยาง หรือถ้าพวกนายมีเื่เดือดร้อนจริงๆ ก็มาหาฉันที่เมืองเซี่ยหยางได้เหมือนกัน”
“ขอบคุณมาก! ขอบคุณมากครับ!” ทั้งคู่รีบกล่าวขอบคุณฉินหลาง ราวกับเป็ผู้มากอบกู้แล้ว
ถ้าหากฉินหลางไม่รับสมุดบัญชีเล่มนี้เอาไว้ วันไหนคนของหว้อหลงถังมา คงจะมีปัญหาไม่จบไม่สิ้นแน่ ดังนั้นหลังจากปรึกษากับคนอื่นๆ แล้ว ถึงได้ให้พวกเขาสองคนเป็ตัวแทนมารอฉินหลางอยู่ที่นี่ เพราะเมื่อคืนมีคนเห็นฉินหลางเดินขึ้นไปบนดอยแล้ว
“โอเค ถ้าไม่มีเื่อื่น งั้นฉันไปก่อนนะ หวังว่าต่อไปถ้าฉันมาที่นี่อีก จะไม่เห็นที่นี่มีสภาพแบบนี้อีกแล้ว” ฉินหลางกล่าวเตือนทั้งคู่
ทั้งคู่รีบพยักหน้า แล้วมองตามหลังเพื่อส่งฉินหลางลงจากดอย
เดิมทีดอยไป๋ผินก็อยู่ห่างไกลมากอยู่แล้ว ลงจากดอยฉินหลางไม่พบกับรถมอเตอร์ไซค์ จึงต้องเดินตามทางลูกรังกลับไปในตัวอำเภอด้วยความยากลำบาก กว่าจะเจอกับมอเตอร์ไซค์ที่ขับผ่านพอดี ฉินหลางจึงยอมจ่ายเงินสามสิบหยวน เป็ค่ารถไปยังท่ารถในตัวอำเภอผิงชวน
ฉินหลางดวงไม่ค่อยดีนัก รถโดยสารที่ไปเมืองเซี่ยหยางเพิ่งจะออกไปแล้ว นั่นแปลว่าเขายังต้องรออยู่ตรงนิอีกสองชั่วโมง ถึงจะมีรถที่ไปยังเมืองเซี่ยหยางอีก นั่นทำให้ฉินหลางรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย
เพราะสองสามวันนี้เขาขาดเรียนไปเยอะแล้ว ถ้าตอนเย็นยังไม่ไปเรียนอีก ฉินหลางไม่รู้จริงๆ ว่าต้องบอกเถารั่วเซียงยังไงแล้ว หวังว่าช่อดอกไม้ในมือของตนจะทำให้เธอหายโกรธได้
“ทุกท่านครับ ผ่านมาแล้วอย่าเพิ่งเดินผ่านไป! การแสดงลิงที่น่าตื่นตาตื่นใจ กำลังจะเริ่มแล้วครับ! ติ๊ง!”
ในตอนนี้เอง บนทางเดินในท่ารถก็มีเสียงตีฆ้องเรียกคนเข้าไปดูการแสดงดังขึ้น ได้ยินเสียงฆ้องแล้ว ก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินเข้าไปมุง เพื่อดูการแสดงของลิงอย่างอดไม่ได้ ฉินหลางก็เดินตามฝูงชนเข้าไปด้วยเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้