เร่งเดินทางด้วยความร้อนใจดั่งไฟที่แผดเผาทุกวัน โหยวอวี่เวยกลับอารมณ์คึกคักอยู่เสมอ บนใบหน้ายังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มแย้มตลอดเวลาอีกด้วย
นี่นางไร้เดียงสา? หรือไม่มีสายตามองสถานการณ์ตอนนี้กัน?
กู้ฉีผ่อนลมหายใจเฮือกหนึ่งเบาๆ ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“บ๊อกๆ” เล่อเล่อเห่าสองที
“เอ๋ เล่อเล่อต้องอยากไปชิ้งฉ่องแน่ๆ เลย พี่ห้า ท่านช่วยข้าอุ้มส่งไปให้องครักษ์โหยวหน่อยสิ ให้เขาพาเล่อเล่อไปหน่อย” โหยวอวี่เวยลูบหัวของเล่อเล่อด้วยความรักแล้วยื่นส่งไปให้
เล่อเล่อเฉลียวฉลาดเป็อย่างมาก ไม่เคยปล่อยของเสียบนรถม้าเลย เวลาที่อยากปัสสาวะล้วนร้องออกมาสองสามทีทุกครั้ง
โหยวอวี่เวยชื่นชอบมันมากจริงๆ ทุกครั้งที่เห็นมันอยู่บนรถ ความรู้สึกภายในใจเบิกบานไปทั้งวัน
กู้ฉีอุ้มเล่อเล่อมา แล้วลูบขนอ่อนนุ่มของมัน เส้นประสาทที่ตึงเปรี๊ยะอยู่เล็กน้อยก็ผ่อนคลายลง
สีหน้าเขาปรากฏรอยยิ้มที่หาได้ยากออกมา ตบหัวเล็กของมันเบาๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปหาโหยวซาน
“คุณหนู น้ำร้อนต้มเรียบร้อยแล้ว ท่านล้างหน้าก่อนเ้าค่ะ” จื่อยู่บิดผ้าให้แห้งแล้วยื่นออกไปให้
โหยวอวี่เวยรับมาเช็ดใบหน้าแล้วถือโอกาสเช็ดมือไปด้วย พร้อมกับผ่อนลมหายใจผ่อนคลายหนึ่งที
วันเวลาที่เร่งเดินทางผ่านไปไม่ได้สบายเลย แม้จิตใจของนางจะไม่เลว แต่ โคลงเคลงอยู่บนรถทั้งวัน โครงกระดูกจวนจะะเืหลุดออกมาอยู่แล้ว ล้างหน้าบ้วนปากเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่สะดวกสบายอย่างยิ่ง สามารถหยุดรถพักการเดินทางได้นับว่าเป็เื่ที่ดีที่สุด
“เ้ากับเมอเมอหวังก็ทำความสะอาดกันหน่อยเถอะ พรุ่งนี้พอรุ่งเช้าต้องเร่งเดินทางอีก คาดว่าต้องกลางดึกเลยจึงจะหยุดพักได้”
“คุณหนู หนูปี้กับเมอเมอหวังไม่เป็ไร แค่กลัวว่าท่านจะทนไม่ได้เ้าค่ะ” เร่งเดินทางมาั้แ่เช้าจนถึงกลางดึก คนที่ร่างกายแข็งแรงดีล้วนเหนื่อยล้ากันจนสุดจะทน ดังนั้นไม่ต้องกล่าวถึงคุณหนูเลย
“ข้าไม่เป็ไร แค่บนถนนสั่นะเืมากเกินไปหน่อย ขอแค่ตลอดทางสุขสงบ ผ่านไปไม่กี่วันพวกเราก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” โหยวอวี่เวยออกจากบ้านมาเดือนกว่า คิดถึงบิดามารดาของตนยิ่งกว่าอะไร กอปรกับในจดหมายเร่งด่วนของบิดามารดาราวกับมีเื่อะไรจะกล่าว ถึงได้เร่งให้นางกลับบ้านเร็วขึ้นอยู่ตลอด
“ก็นั่นน่ะสิเ้าคะ เร่งเดินทางเพียงนี้ ผ่านไปอีกสี่ห้าวันก็ถึงเมืองหลวงแล้วเ้าค่ะ” เมอเมอหวังยกกับข้าวเข้ามา
ตอนบ่ายเดินทางผ่านเมืองเมืองหนึ่ง ซื้อหมั่นโถวกับซาลาเปามาเป็อาหารมื้อหลักจำนวนมาก พวกเขาคนมากยังซื้ออาหารสุกสำเร็จรูปจำพวกไก่อบ เนื้อพะโล้และผักดองมาไม่น้อย ยังมีผักกวางตุ้ง เห็ด กระดูกก็ซื้อมาจำนวนหนึ่งด้วย ตั้งไฟหนึ่งหม้อใหญ่เคี่ยวกระดูกขึ้น แล้วใส่ผักกวางตุ้งกับเห็ดเข้าไปก็สามารถทานน้ำแกงร้อนกรุ่นได้แล้ว การทานอาหารสุกสำเร็จรูปอยู่เป็ประจำ ทุกคนคงไม่ค่อยเจริญอาหารเท่าไรนัก
อาหารมื้อเย็นจึงมีน้ำแกงเห็ดผักกวางตุ้งร้อนกรุ่นหนึ่งถ้วย เนื้อพะโล้หั่นดีแล้วหนึ่งจาน หมั่นโถวสีขาวใหญ่หนึ่งก้อน
โหยวอวี่เวยไม่ได้เลือกทานอีก รสชาติเนื้อพะโล้ของสกุลหูดีมาก ทานมาหลายวันแล้วยังไม่รู้สึกเบื่อ เมื่อมีน้ำแกงเห็ดผักกวางตุ้งรสอ่อนๆ ด้วย นางก็ทานจนคุ้นชิน แต่นางไม่ชอบทานหมั่นโถวสักเท่าไร ดังนั้นเมื่อทานหมั่นโถวไปเพียงครึ่งก้อนก็รู้สึกว่าจะอิ่มไปพอประมาณแล้ว
“พี่ห้า ท่านมาเร็ว มาทานข้าวกัน” นางร้องทักกู้ฉีที่เดินเข้ามาใกล้
“คุณชายสกุลกู้ ท่านล้างหน้าก่อนเ้าค่ะ” เมอเมอหวังยกน้ำอุ่นหนึ่งกะละมังเข้ามาด้วยความกระตือรือร้น
กู้ฉีพยักหน้า แล้วหยิบผ้ามาบิดเอง หลังจากนั้นเช็ดใบหน้าจนทั่ว
หลังเช็ดมือเสร็จ จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับโหยวอวี่เวย อาหารเย็นของเขาเหมือนกันกับของนาง
ด้วยหลักการทานข้าวไม่พูดคุยนอนไม่สนทนา สองคนจึงทานอาหารเย็นเสร็จอย่างเงียบเชียบ
“อวี่เวย ไปพักเถอะ พรุ่งนี้พอรุ่งเช้าแล้วจะต้องรีบเดินทางขึ้นอีก” กู้ฉีกล่าวเร่งรัด
“พี่ห้า ท่านก็ไปนอนเถอะ ข้าจะรอเล่อเล่อกินข้าวเสร็จก่อน เดี๋ยวจะเข้านอนแล้ว” โหยวอวี่เวยนั่งยองลงข้างเล่อเล่อ ได้ยินกู้ฉีกล่าวดังนั้นจึงหันหน้ากลับไปยิ้มกับเขา
“…” กู้ฉีชำเลืองมองเล่อเล่อที่กำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยแวบหนึ่ง เอาเถอะ สุนัขล้ำค่ายิ่งกว่าคนนัก
เขาส่ายหน้าแล้วกลับขึ้นรถม้าไปพัก เร่งเดินทางมาตลอดทั้งวันทำให้เหนื่อยล้าจิตใจอย่างยิ่ง
วันถัดมาขอบฟ้ายังไม่ทันมีแสงยามอรุณรุ่ง กลุ่มองครักษ์ที่ตั้งค่ายก็เริ่มจัดเก็บสัมภาระพร้อมรอออกเดินทางเรียบร้อยแล้ว
กู้ฉีกับโหยวอวี่เวยยุ่งกับการล้างหน้าบ้วนปากจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ขบวนรถม้าจึงออกเดินทาง
เมื่อมาถึงตำบลในเมืองถัดไปจึงจัดซื้ออาหารเช้าเพิ่มขึ้นอีก
โหยวอวี่เวยกัดผิงกั่วอยู่บนรถม้า แล้วยังตั้งใจหั่นให้เล่อเล่อเป็พิเศษด้วยหนึ่งชิ้น หนึ่งคนหนึ่งสุนัขทานกันอย่างมีความสุข
“อ๊ะ... ถึงเมืองซีซานแล้วนี่ ห่างจากเมืองหลวงเพียงครึ่งทางเอง เร็วมากจริงๆ”
“นั่นน่ะสิเ้าคะ เร่งเดินทางจากเช้าตรู่ไปจนถึงกลางดึกทุกวัน จะไม่เร็วได้หรือเ้าคะ” เมอเมอหวังกับจื่อยู่ก็กัดผิงกั่วอยู่เช่นกัน ต้องขอบคุณแม่นางสกุลหูจริงๆ ที่มอบผิงกั่วให้หนึ่งตะกร้าใหญ่ เพียงพอให้พวกนางได้ทานในขณะเดินทาง
“เอ๋ เหตุใดหน้าประตูกำแพงเมืองคนมากมายเช่นนี้?” โหยวอวี่เวยมองออกไปจากหน้าต่างรถด้านข้าง
“โธ่คุณหนู ด้านนอกคนมาก รีบดึงม่านรถลงเถอะเ้าค่ะ” เมอเมอหวังยืดตัวออกไปนอกหน้าต่างแล้วดึงม่านลงทันที แสงภายในรถม้าสลัวลงฉับพลัน
เสียงพูดคุยกันของประชาชนนอกรถแว่วมาเข้าหู
ที่แท้่นี้ก็มีโจรูเาออกมาวิ่งเพ่นพ่านอยู่บริเวณเมืองซีซานและได้ปล้นคนสัญจรผ่านไปมานี่เอง ทั้งยังมีกลุ่มพ่อค้าเดินทางกับคนสัญจรบนถนนหลายกลุ่มถูกปล้นไปจนหมดเกลี้ยง มีกลุ่มพ่อค้าเดินทางอาศัยว่าผู้คุ้มกันมีมาก เลยต่อสู้กับโจรูเาไปหนึ่งรอบ สุดท้ายคนาเ็ล้มตายและทรัพย์สินยับเยินทั้งสิ้น
กู้ฉีใบหน้ายับย่น ส่งคนไปสืบข่าวอย่างละเอียด
กลุ่มพ่อค้าเดินทางหนึ่งขบวนมีห้าสิบคน ในนั้นมีผู้คุ้มกันจำนวนสามสิบกว่าคน รวมกับเด็กรับใช้และคนคุมงานล้วนเป็ชายร่างกายแข็งแรง โจรูเาหนึ่งร้อยกว่าคน ในกองกำลังพวกเขามีม้าเกือบยี่สิบตัว ติดอุปกรณ์อย่างธนู มีดดาบและไม้กระบองอย่างครบครัน
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเป็ไปอย่างดุเดือด บรรดาผู้คุ้มกันของกลุ่มพ่อค้าเดินทางทำได้เพียงต่อสู้และถอยร่นมา สุดท้ายกลุ่มพ่อค้าเดินทางห้าสิบคนหลบหนีออกมาได้ไม่ถึงยี่สิบคน สินค้าตกไปอยู่ในมือโจรูเาหมดสิ้น
เมื่อพวกเขาหลบหนีมาถึงตำบลในเมืองเพื่อรายงานต่อทางการ เ้าหน้าที่ทางการส่งกองกำลังออกไปตรวจสอบ สองฝั่งข้างทางถนนก็เหลือเพียงศพที่อยู่เกลื่อนพื้นแล้ว
“คุณชาย กลุ่มพ่อค้าเดินทางที่ถูกปล้นเกิดขึ้นในบ่ายเมื่อวานนี้ สถานที่เกิดเหตุห่างจากถนนทางการของเมืองหลวงออกไปหนึ่ง่ แม้เมื่อวานกลุ่มพ่อค้าเดินทางจะเสียหายย่อยยับ แต่โจรูเาก็าเ็และเสียชีวิตไปไม่น้อยเช่นกันขอรับ ทั้งทางการยังส่งกองกำลังออกตรวจลาดตระเวน คงไม่กล้าดักปล้นอยู่บนถนนทางการอีกครั้งแน่นอนขอรับ” อี้เฟิงวิเคราะห์ข่าวที่ได้ไปสืบถามมาอย่างรอบคอบ
กู้ฉีพยักหน้า “หาโรงเตี๊ยมทานอาหารและพักผ่อนก่อน รออีกสักพักค่อยไปจวนศาลาว่าการสอบถามสถานการณ์รายละเอียดเพิ่มเติมอีกสักรอบ”
อี้เฟิงกล่าวรับทราบ
คนหนึ่งขบวนคุ้มกันรถม้าสองเกวียน คนเข้มแข็งม้าสง่างามดึงดูดสายตาให้คนชำเลืองมองอย่างมาก ทั้งหมดเคลื่อนเข้าสู่ภายในเมืองซีซาน หาโรงเตี๊ยมร้านที่คุ้นเคยเพื่อหยุดพักเท้า
พวกเขาหยุดอยู่โรงเตี๊ยมสองเค่อ ข่าวจากศาลาว่าการกล่าวว่าโจรูเาที่ปล้นสินค้าของกลุ่มพ่อค้าเดินทางหนีไปทางใต้ ขณะนี้ได้ส่งเ้าหน้าที่ทางการไปแจ้งเตือนเมืองและตำบลทางตอนใต้แล้ว
เมืองหลวงต้องมุ่งไปทางเหนือ ความน่าจะเป็ที่จะปะทะเข้ากับโจรูเาจึงมีน้อย
พวกกู้ฉีปรึกษาหารือกันเล็กน้อย ถือโอกาสที่สีของท้องฟ้ายังสว่างโร่อยู่ เร่งความเร็วออกจากเมืองซีซาน เพื่อไปให้ถึงตำบลและเมืองถัดไปก่อนฟ้ามืด หลังจากนั้นพักอยู่ที่นั่นสักหนึ่งคืน เช้าวันถัดมาค่อยเดินทางต่อ ยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวงมากขึ้นถนนทางการก็จะยิ่งปลอดภัย
เมื่อคิดเงินเรียบร้อยจึงพากันขึ้นรถม้าและเริ่มเร่งเดินทางต่อ
ออกจากเมืองซีซาน คนเดินทางบนถนนทางการมีไม่มากนัก ชื่อเสียงชั่วร้ายของโจรูเาปกคลุมไปทั่วพื้นที่แห่งนี้ กลุ่มพ่อค้าเดินทางที่เร่งเดินทางล้วนถูกทำให้หวาดกลัวและตื่นใ ส่วนใหญ่ยินยอมรออยู่ในเมืองหลายวัน ไม่กล้าออกเดินทางลำพังอีก
เสียงเกือกม้าที่เร่งอย่างรวดเร็วของคนหนึ่งกลุ่มดังขึ้นอยู่บนถนนทางการ โหยวอวี่เวยเลิกผ้าม่านรถเปิดออกด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“โธ่เอ๋ย คุณหนูของข้า มีโจรูเาอยู่บนถนน ท่านยังกล้าเลิกผ้าม่านอีก รีบดึงลงมาเร็วเ้าค่ะ” เมอเมอหวังรีบหยุดการกระทำของนาง
“มีโจรูเาเสียที่ไหน เมื่อครู่ไม่ใช่กล่าวแล้วหรือ ว่าโจรูเามุ่งลงใต้ไปแล้ว พวกเรากลับเมืองหลวงคือทางเหนือ” เมื่อสักครู่โหยวอวี่เวยเพิ่งกวาดสายตามองด้านนอกอยู่สองที บนถนนไม่มีกลุ่มคนเลยสักขบวน
“เฮ้อ ผู้ใดจะรู้ว่าข่าวแม่นยำหรือไม่ หากพวกเขาแสร้งไปทางใต้ แต่ความเป็จริงมุ่งขึ้นทางเหนือก็ไม่ใช่ว่าปะกันเข้าแล้วหรือเ้าคะ” เมอเมอหวังร้อนใจยิ่ง
“โธ่เอ๋ย เมอเมอหวัง ท่านอย่าหลอกให้คนกลัวเช่นนี้สิ ทางการล้วนบอกว่าไปทางใต้ ท่านยังเอาแต่กล่าวว่ามาทางเหนืออยู่อีกหรือ” จื่อยู่ตบหน้าอกเบาๆ
“พวกเ้าอย่างเป็กังวลในเื่ที่ไม่จำเป็เลย พวกเราคนมากมายเพียงนี้ โจรูเาไม่กล้าเข้ามาแล้วล่ะ” โหยวอวี่เวยอุ้มเล่อเล่อขึ้น ยิ้มแล้วหยอกล้อกับมัน “เ้าว่าใช่ไหมล่ะ เล่อเล่อ”
เมอเมอหวังกับจื่อยู่ไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างนางเพียงนั้น สองคนต่างก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้ามุ่นจิตใจข้างในตึงเครียด
เฉินเผิงเฟยกับโหยวซานสองกองกำลังม้าเตรียมการเฝ้าระวังไว้อย่างดี เดินนำไปข้างหน้าตลอดทาง และส่งผู้สอดแนมออกไปสำรวจล่วงหน้าแต่ไม่พบความผิดปกติใดๆ
พระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนย้ายไปทางตะวันตกช้าๆ จวนจะถึงยามเซิน พวกเขาเข้าสู่เขตเมืองซงไถแล้ว หากเดินทางต่อไปอีกหนึ่งชั่วยามก็จะเข้าสู่ในเมือง
เส้นประสาทของเฉินเผิงเฟยผ่อนคลายลงนิดหน่อย ด้านหน้าเป็ทางโค้งพอผ่านทางนี้ไปอีกไม่กี่ลี้จะมีหมู่บ้านไม่เล็กอยู่แห่งหนึ่ง ปากทางเข้าหมู่บ้านมีร้านน้ำชาอยู่หนึ่งร้านสามารถพักเท้าได้พอดี
ฝั่งหนึ่งของเส้นทางโค้งใกล้กับูเา สภาพูเามีความลาดเอียง บนเนินมีต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่านปกคลุมท้องฟ้า ปรากฏบรรยากาศร่มเงาทึบมืดครึ้ม ส่วนอีกข้างเป็ป่าไม้รกค่อนข้างเตี้ย ต้นไม้ดอกไม้ใบหญ้างอกงามหนาแน่น
กู้ฉีเดินทางไปกลับถนนทางการเส้นนี้หลายครั้ง ย่อมมีความทรงจำต่อถนนโค้งตรงนี้เป็ธรรมดา ถนนโค้งมีระยะทางค่อนข้างไกล คนปกติเดินบนถนนจำเป็ต้องเสียเวลาเล็กน้อย ป่ารกทึบหนาแน่นสองข้างทางงอกงามจนเกินไป ทุกครั้งที่ผ่านล้วนรู้สึกว่ามีลมพัดโชยอ่อนๆ สายลมเย็นอับชื้น
“คุณชาย ผ่านถนนเส้นโค้งนี้ไป พวกเราหยุดพักอยู่ร้านน้ำชาข้างหน้าดีหรือไม่ขอรับ?” เฉินเผิงเฟยกล่าวขอรับคำสั่ง
กู้ฉียังไม่ได้ตอบ บนรถม้าด้านหลังโหยวอวี่เวยหูเฉียบแหลมได้ยินคำกล่าวของเฉินเผิงเฟย นางจึงดึงประตูรถม้าเปิดออกและส่งเสียงใสไพเราะนุ่มนวลแว่วออกมา “พี่ห้า เล่อเล่อควรลงรถไปเดินเล่นสักหน่อยแล้ว อีกเดี๋ยวพวกเราหยุดพักสักหน่อยเถอะ”
กู้ฉีถอนหายใจเบาๆ เขาหันไปพยักหน้าทางเฉินเผิงเฟย ให้เขาไปรายงานกับโหยวอวี่เวยสักหน่อย
เฉินเผิงเฟยยิ้มแล้วรับคำ ตบม้าไปข้างหน้าเกวียนรถของโหยวอวี่เวย “คุณหนูสกุลโหยว คุณชายกล่าวว่าร้านน้ำชาข้างหน้าจะหยุดพักเหนื่อย ท่านรออีกสักเดี๋ยวนะขอรับ”
“ได้เลย ลำบากเ้าแล้ว องครักษ์เฉิน” โหยวอวี่เวยหันไปยิ้มทางเขาบางๆ
บนเนินเขาในส่วนลึกเข้าไปยังป่ารกทึบ สายตานับหลายคู่จับจ้องไปที่กายของหญิงสาวบนรถม้า
“หัวหน้า มีผู้หญิงด้วย ผู้หญิงงดงามมากเลยล่ะ พวกเราควร…”
“งดงามมากจริงๆ นั่นแหละ แต่ผู้คุ้มกันของพวกเขามากเกินไป อีกทั้งไม่มีสินค้า เมื่อวานพวกเราก็สูญเสียพี่น้องไปไม่น้อย ปะทะหน้ากับพวกเขาเวลานี้อาจเปลืองแรงไปหน่อย”
“หัวหน้า กลัวอะไรกัน ในรถข้างหน้านั้นมีเ้าหน้าขาวนั่งอยู่คนหนึ่ง ส่วนด้านหลังมีสาวงามนั่งอยู่ หนึ่งชายหนึ่งหญิงไม่แน่ว่าอาจเป็คุณชายคุณหนูของครอบครัวไหนหนีตามกันก็ได้ สองคนสวมชุดผ้าไหมสวยสดงดงาม ยังพาองครักษ์ติดตัวมามากเพียงนั้น ในห่อของต้องมีเงินแน่นอน ต่อให้ไม่มีเงินก็ฉุดสาวงามผู้นั้นมาเสพสุขกันสักรอบ ก็ไม่เสียแรงพวกเราที่เกิดมาบนโลกใบนี้แล้ว ฮ่าๆ”
เสียงล้วนกดลงเบาอย่างมาก แต่บรรยากาศรอบพวกเขากลับหนักหน่วงไม่น้อยเลย เมื่อก่อนพวกเขาส่วนใหญ่เป็ชายว่างงานพวกอิทธิพลในท้องถิ่น หลังความวุ่นวายจากภัยาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้คนภายในตำบลและเมืองจิตใจเริ่มประหวั่นพรั่นพรึง จึงเริ่มมีคนเป็แกนนำและเริ่มรีดไถขู่กรรโชกอยู่บริเวณเส้นทางถนน่หนึ่ง หลังจากได้ัักับผลลัพธ์อันล่อใจคนก็ได้แพร่ขยายรับคนเข้าค่ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก เริ่มใช้จุดพลิกผันของสถานการณ์วุ่นวายจากภัยา ออกบังคับขู่เข็ญดักปล้นกลางทางไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ใช้กำลังขู่กรรโชกยื้อแย่งได้อย่างราบรื่นมาหลายครั้ง ทำให้พวกเขาเสียสติกระทำการตามอำเภอใจอย่างเหิมเกริม คนธรรมดาหนึ่งกลุ่มพวกเขายังไม่ทันได้ทำอะไรก็มอบทรัพย์สมบัติให้อย่างว่าง่ายแล้ว มีบ้างบางครั้งที่กล้าคิดต่อต้านต่อสู้ขึ้นมา ทว่าพวกเขาคนมากกำลังมาก ฝีมือของผู้นำไม่กี่คนในนั้นก็ไม่เลว ฆ่ากองกำลังที่ต่อต้านไปอย่างง่ายดายจนหมดเกลี้ยง
นับั้แ่เริ่มเข่นฆ่าล้างผู้คน พวกเขาก็ละทิ้งความพะว้าพะวังที่มีทั้งหมดไปนานแล้ว
เฉินเผิงเฟยขี่ม้านำทางอยู่ด้านหน้า อารมณ์บนใบหน้าเริ่มเคร่งขรึมขึ้นอย่างช้าๆ
ขณะที่กำลังจะผ่านเส้นทางโค้งเลียบูเา เขาโบกมือทำท่าทางเจตนาให้ขบวนรถม้าหยุดลง
ลมปราณที่ััได้บนเนินเขาราวกับยุ่งเหยิงไม่เป็ระเบียบ
เขารวบรวมสายตามองอย่างละเอียด ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับตวาดเสียงเบา “รีบถอย!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้