“ที่แท้ก็ไปเฝ้าไท่เฟยนี่เอง...” พระชายาหรงพยักหน้าเข้าใจ สายตาจ้องมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยความลึกลับ “หลานสะใภ้ เ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่าทำไมไท่เฟยถึงอยากจับคู่เ้ากับองค์ชายหก? เ้าคงไม่คิดว่าเป็เพราะคำสัญญาของผู้ใหญ่ที่ให้ไว้ในอดีตกระมัง?”
“้าสื่อว่าอะไรเ้าคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นมองไปที่พระชายาหรง แม้รู้ว่าสตรีคนนี้ไม่ใช่คนดี แต่ก็อยากฟังว่านางมีแผนการอะไรในใจอยู่ตอนนี้
พระชายาหรงแสร้งยิ้ม “ช่างเถอะ เ้ากับองค์ชายหกเพิ่งจะแต่งงานกันหมาดๆ อย่าหาว่าข้าพูดจาไม่เป็มงคลเลย”
“ประจวบเหมาะจริงเชียว ข้าก็จะไปเยี่ยมไทเฮาเหมือนกันพอดี พวกเราทางเดียวกันไปด้วยกันเถอะ”
พระชายาหรงพูดจบ ชายตามองมู่อวิ๋นจิ่น แล้วเดินเข้าวังไป
มู่อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ที่เดิม กำลังคิดเื่ที่เมื่อครู่ที่พระชายาหรงพูด พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย จื่อเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้าง เห็นสถานการณ์นี้ รีบก้าวไปข้างหน้า “คุณหนูไม่ต้องฟังคำพูดนางหรอกเ้าค่ะ นางเป็คนตระกูลฉิน ไม่ใช่คนดีอะไรหรอกเ้าค่ะ!”
”อืม” มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า เดินเข้าไปด้านใน
หลังเดินเข้าประตูวังแล้ว พระชายาหรงเหมือนตั้งใจเดินไปไม่ไกลเพื่อรอนาง เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นค่อยๆ เดินมาด้านหลัง ก็หันไปกวักมือเรียก
“ใช่แล้ว ข้าพึ่งจะนึกขึ้นได้มีเื่จะพูดกับเ้า” พระชายาหรงเดินเข้ามาประชิดใกล้มู่อวิ๋นจิ่น
“เื่อันใด?” มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปาก
พระชายาหรงได้ยินแล้วยิ้มอีก สายตาที่สงบจ้องมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “ยามเช้าวันนี้ ข้าทำตามกฎธรรมเนียมของจวนหรงให้น้องสี่ของเ้าอ่านบทสวดมนต์ที่เรือนของข้า คาดไม่ถึงว่านางแค่คุกเข่าไปแค่ครึ่งชั่วยาม พลันสลบไปเลย”
“ข้าคิดว่านางใช้ชีวิตอยู๋ในจวนอัครเสนาบดีมู่ ร่างกายน่าจะแข็งแรงถึงจะถูก จะไปรู้ได้อย่างไรว่าโดนแค่นี้กลับสลบไป ฐานะที่เ้าเป็พี่สาวนาง เปิ่นเฟยต้องขอโทษเ้าด้วย”
เมื่อได้ยินพระชายาหรงเล่าจบ มู่อวิ๋นจิ่นตอบ “อ่อ” กลับไปเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
เห็นน้ำเสียงนิ่งเฉยของมู่อวิ๋นจิ่น พระชายาหรงก็เดินเข้ามาใกล้อีกสองสามก้าว กดเสียงต่ำว่า “ข้าได้ยินว่าความสัมพันธ์ของพวกเ้าสองพี่น้องไม่ค่อยดีนัก ไม่นานมานี้ท่านแม่ของพวกเ้าถูกตัดหัวจนเป็เื่ใหญ่ในเมือง”
“ตอนนี้เ้าเป็หลานสะใภ้ของข้า น้องสาวของเ้าตกอยู่ในกำมือข้า จะให้ข้าช่วยสั่งสอนแทนเ้าหน่อยหรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นถอoหายใจ อยากจะด่าพระชายาหรงทำไมช่างปากมากถึงเพียงนี้ แต่สถานการณ์ตอนนี้นางยังไม่สามารถฉีกหน้าพระชายาหรงได้ จึงได้แต่แสร้งฝืนยิ้ม “นางแต่งเข้าจวนท่านอ๋องหรง ก็คือคนของจวนท่านอ๋องหรง พระชายาหรงจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่จะจัดการ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าสักนิดเดียว”
“อย่างนี้นี่เอง เช่นนั้นก็วางใจได้ ข้าคนนี้จะช่วยสั่งสอนให้เป็อย่างดี”
……
หลังจากเดินถึงทางแยก มู่อวิ๋นจิ่นก็เดินไปทางสวนดอกเหมย จื่อเซียงเดินตามหลังมู่อวิ๋นจิ่น บ่นพึมพำไม่หยุด “คุณหนู หน้าแปลกใจจริงๆ พระชายาหรงคนนี้ พูดด้วยน้ำเสียงที่ช่างพิลึกพิกลจริงเชียวเ้าค่ะ”
“นางเป็คนสติไม่สมประกอบ อย่าไปให้ค่านางเลย” มู่อวิ๋นจิ่นถอนหายใจอย่างดูถูก
เมื่อมาถึงสวนดอกเหมย หน้าประตูมีนางกำนัลในวังยืนอยู่ เมื่อเห็นเป็มู่อวิ๋นจิ่น จึงรีบเชิญเข้าสวนดอกเหมย นำทางนางไปที่ตำหนักเข้าไปในห้องบรรทมของฉินไท่เฟย
ไม่เหมือนทุกครั้งที่เข้าเฝ้าที่ห้องโถง รอบนี้มู่อวิ๋นจิ่นกลับถูกเชิญไปเฝ้าถึงห้องบรรทมของฉินไท่เฟยเลย
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องบรรทมฉินไท่เฟย มู่อวิ๋นจิ่นเห็นฉินไท่เฟยกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าซีดขาวดูซูบซีดไปถนัดตา
“คารวะฉินไท่เฟย” มู่อวิ๋นจิ่นทำความเคารพ
ฉินไท่เฟยพยักหน้า หันไปโบกมือไล่พวกกำนัล “พวกเ้าออกไปก่อน อายเจียมีเื่จะคุยกับจิ่นเอ๋อร์เป็การส่วนตัว”
“เพคะ ไท่เฟย”
หลังจากที่สาวใช้ในวังออกไปกันหมด ภายในห้องบรรทมมีเพียงมู่อวิ๋นจิ่นกับฉินไท่เฟยสองคนเท่านั้น
“ไท่เฟยวันนี้หน้าตาไม่สดใส ร่างกายเจ็บป่วยตรงไหนหรือไม่?” มู่อวิ๋นจิ่นนั่งข้างกายฉินไท่เฟย จับพัดขึ้นมา พัดให้ฉินไท่เฟย
ฉินไท่เฟยได้ยินแอบถอนหายใจ “อายเจียอายุจะแปดสิบแล้ว ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าโลงไปแล้ว อาการเจ็บๆ หายๆ ชินไปหมดแล้วล่ะ!”
“อายเจียเรียกเ้ามาวันนี้ มีเื่อยากบอกกับเ้า”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้า จ้องมองที่ฉินไท่เฟย อยู่ ๆ ในใจก็คิดถึงเื่ที่พระชายาหรงพูดใส่นางเมื่อครู่
หากไม่ใช่เพราะสัญญาหมั้นหมายตอนเด็ก ฉินไท่เฟยหรือจะยอมให้นางแต่งกับฉู่ลี่
“เ้ารู้จักท่านแม่ของลี่เอ๋อร์หรือไม่?” ฉินไท่เฟยถามขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นชะงัก ก่อนจะพยักหน้า “พระสนมหรงเฟย”
“ถูกต้อง คือนาง”
“อย่างนั้นเ้ารู้หรือไม่ ตอนนั้นนางทำผิดอะไร ถึงได้ถูกจองจำไว้ที่วัดสุ่ยอวิ๋น ไม่ได้เห็นเดือนเห็นแสงตะวัน” ฉินไท่เฟยเลยถึงเื่นี้ ในแววตาเศร้าสร้อยขึ้นมา
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหัว เื่ที่หรงเฟยถูกจองจำนั้น นางสงสัยมานานมากแล้วเช่นกัน
“ในตอนนั้น ฝ่าาประกาศทั่วเมือง หรงเฟยเป็วิชามารจะทำลายล้างใต้หล้า รวมถึงอาณาจักรซีหยวน จากนั้นก็ขังนางไว้ที่วัดสุ่ยอวิ๋นเพื่อขับไล่ิญญาชั่วร้าย ที่จริงอายเจียรู้ดีว่าความจริงไม่ใช่เช่นนั้น……”
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วชิด วิชามาร? หรือว่าจะเป็วิชาจากตำหนักหวงอวี่?
“นั่นคือ...” มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปาก สายตาจับจดไปที่ฉินไท่เฟยโดยไม่ละสายตา
“อายเจียเคยแช่น้ำร้อนธรรมชาติกับหรงเฟย เห็นบนหลังนางมีรูปสัญลักษณ์ลายปีกหงส์ ตอนนั้นอายเจียเคยถามนาง นางกลับหลบสายตา บอกว่าเป็แค่ปาน”
“ต่อมาด้วยความบังเอิญ ข้าได้พบอาจารย์คงซื่อ จึงเอ่ยถึงเื่นี้ หลังจากอาจารย์คงซื่อคำนวณตามหลักโหราศาสตร์เรียบร้อย เล่าให้อายเจียว่า…...”
“ดาวหงส์ปรากฏ ธิดาหงส์ก็ใกล้ปรากฏขึ้นเช่นกัน!”
“ธิดาหงส์ แค่ได้ยินเช่นนี้ อายเจียก็รู้แล้วว่าพระสนมหรงมิใช่สตรีธรรมดา มีนางอยู่เคียงข้างฝ่าา ต้องทุ่มเทสนับสนุนฝ่าา ปกป้องรักษาบ้านเมืองได้แน่”
“แล้วต่อมาเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อดาวหงส์เป็ดาวสิริมงคล เหตุใดถึงได้กลายเป็นางมารไปได้เพคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นอดที่จะไม่ถามไม่ได้
ฉินไท่เฟยหยุดเล่า ยกน้ำชาขึ้นมาจีบก่อนเล่าต่อว่า “ฝ่าาเคยบอกข้าลับๆ มีคืนหนึ่งที่เข้าบรรทมกับหรงเฟย เห็นหลังนางมีแสงสีแดงปรากฏขึ้น ตามด้วยมีนกตัวหนึ่งลักษณะคล้ายหงส์บินออกมาจากด้านหลังนาง ทำเอาฝ่าาตบพระทัยจนเกือบเสียสติ”
“ต่อมาอายเจียได้อธิบายให้ฝ่าาฟังว่านั่นถือเป็สิริมงคล แต่สถานการณ์ตอนนั้นที่ฝ่าาเห็น ถูกทำให้เสียขวัญไม่น้อย จึงไม่ยอมฟังสิ่งที่อายเจียอธิบาย วันถัดมาได้จับตัวหรงเฟยจองจำไว้ที่วัดสุ่ยอวิ๋น ั้แ่นั้นมาทำให้หรงเฟยไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันอีกเลย”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังเช่นนี้ ริมฝีปากกระตุกเบาๆ ฝ่าาพระองค์นี้กลับเห็นไข่มุกเป็ดวงตาปลา
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ฉินไท่เฟยยืนมือมาจับฝ่ามือของมู่อวิ๋นจิ่นแน่น สายตาสงบลงเล็กน้อย “จิ่นเอ๋อร์ อายเจียไม่บอกเ้าเื่หนึ่งไม่ได้แล้ว”
“เื่ใดเพคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นก้มมองมือที่ฉินไท่เฟยพลันเกิดลางสังหรณ์มิสู้ดี
“ฉินมู่เยว่ออกรบทำศึกไปกับพี่ชายนาง อายเจียเห็นด้านหลังของนางมีรูปปีกหงส์”
“ดาวหงส์ดวงนั้น สงสัยย้ายไปอยู่กับฉินมู่เยว่แล้ว”
มู่อวิ๋นจิ่นใ ดวงตาแสดงถึงความสับสน ฉินมู่เยว่มีดาวหงส์?
นี่มัน...
“เดิมทีดาวหงส์นั้นอยู่บนตัวพระสนมหรง อายเจียรู้สึกดีใจมาก แต่ตอนนี้ตระกูลฉินกุมอำนาจทหารไว้ในมือ อำนาจครึ่งหนึ่งในพระราชสำนักอยู่ในมือของตระกูลฉิน ฉินมู่เยว่ก็ยังเป็ธิดาหงส์อีก ข้ากลัวมากกลัวแผ่นดินของฝ่าาจะถูกตระกูลฉินยึดไป”
เมื่อฉินไท่เฟยพูดถึงเื่ตื่นเต้นนี้ได้ไอติดต่อกันหลายครั้ง จนต้องลูบหน้าอกแล้วก็นั่งพิงหัวเตียง
มู่อวิ๋นจิ่นหลบตา ขมวดคิ้วติดกัน ในใจคิดได้ว่าฉู่ลี่จะรู้หรือไม่ว่าฉินมู่เยว่เป็ธิดาหงส์?
หากเป็เช่นนี้ ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไรกับฉินมู่เยว่ แต่กลับเก็บนางไว้ข้างกายเพื่อจุดประสงค์อันใด
หรงเฟยเคยเป็ธิดาหงส์ ตอนนี้ดวงดาวหงส์เปลี่ยนทิศ เคลื่อนที่ไปอยู่ที่ฉินมู่เยว่ เื่นี้สำหรับฉู่ลี่แล้ว ใจที่้าจะทำลายค่ายกลเพื่อช่วยหรงไฟ จะไม่เสียใจได้อย่างไร
“แล้วทำไมไท่เฟยไม่จับคู่ฉินมู่เยว่กับองค์ชายหก เพื่อให้ธิดาหงส์แต่งเข้าราชวงศ์ น่าจะดีต่อราชวงศ์มิใช่หรือเพคะ?” มู่อวิ๋นจิ่นนึกถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ที่หรงเฟยพูด เลยถามฉินไท่เฟยไป
ฉินไท่เฟยนได้ยินคำถามนั้น สีหน้าชะงัก แววตาล่อกแล่ก หลบหน้าหลบตาเหมือนมีชนักติดหลัง
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นท่า ในใจก็พอคาดเดาเื่ได้แล้ว
ชั่วขณะนั้น ทั้งสองเงียบไม่เอ่ยวาจา จนในห้องบรรทมเงียบสงบลง
“จิ่นเอ๋อร์ อายเจียต้องขอโทษเ้า...”
จากนั้นฉินไท่เฟยพูดด้วย น้ำตาคลอเบ้า มองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น
“อายเจียไม่อาจปล่อยให้มีสิ่งอันตรายใดเกิดขึ้นรอบตัวฝ่าาได้ หลายปีมานี้ลี่เอ๋อร์ แม้ต่อหน้าดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฝ่าา แต่อายเจียมีหรือจะไม่รู้ว่า ภายในใจเขาอาจแค้นฝ่าาอยู่ก็เป็ได้!”
“ถ้าลี่เอ๋อร์แต่งงานกับฉินมู่เยว่แล้วล่ะก็ ตระกูลฉินก็จะยืนข้างลี่เอ๋อร์ อายเจียมิอาจปล่อยให้สิ่งอันตรายใดคุกคามข้างกายฝ่าาได้”
“ดังนั้น อายเจีย……”
เมื่อมู่อวิ๋นจิ่นฟังถึงตรงนี้ จับเอาเื่ราวทั้งหมดนี้ร้อยเรียงเข้าด้วยกัน หรี่ตาและยิ้มเยาะเย้ย “ดังนั้น ฉินไท่เฟยจึงคิดถึงคนที่ถูกเล่าลือว่าไร้ความสามารถ ขี้หวาดกลัวอย่างคุณหนูสามมู่ มาขัดขวางความสัมพันธ์ของฉู่ลี่กับตระกูลฉินใช่หรือไม่เพคะ?”
“เื่คำสัญญามั่นหมายในวัยเด็ก ก็คงเป็เื่ที่ท่านสร้างขึ้นด้วยใช่หรือไม่เพคะ?”
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเข้าใจทุกอย่างจนทะลุปรุโปร่ง ฉินไท่เฟยกัดริมฝีปาก ยกมือที่สั่นระริกขึ้นมาปาดน้ำตา “จิ่นเอ๋อร์ไม่ใช่เช่นนั้น ครั้งแรกที่อายเจียได้พบเ้า อายเจียก็รู้สึกชอบเ้าเป็พิเศษ”
“อายเจียอยากให้เ้ากับฉู่ลี่รักกันจากใจจริง……”
“พอได้แล้ว!!!” มู่อวิ๋นจิ่นโยนพัดในมือทิ้ง ยืนขึ้นมาจ้องเขม็งไปที่ฉินไท่เฟย
“หึ...” มู่อวิ๋นจิ่นส่งเสียงประชดประชัน “น่าเวทนาเสียจริง โชคดีที่หม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่ ไท่เฟยจึงมาญาติดีด้วย นึกไม่ถึงว่าหม่อมฉันเป็เพียงหมากตัวหนึ่งที่ใช้ขวางตระกูลฉิน”
“จิ่นเอ๋อร์ เื่นี้อายเจียทำไม่ถูก แต่ตอนนี้อายเจียเห็นเ้ากับลี่เอ๋อร์มีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เ้าก็มิใช่พ้นทุกข์ได้พบสุขหรือ เมื่อก่อนเ้าอยู่จวนอัครเสนาบดีมู่ถูกกักบริเวณบ่อยครั้ง ตอนนี้เป็ถึงพระชายาหกจะมีอะไรไม่ดีอีกหรือ?” ฉินไท่เฟยเล่าไปสะอื้นไปด้วยความเสียใจกับสิ่งที่ได้กระทำ
หากแต่ตอนนี้ไม่พูดออกมา กลัวว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว
“ท่านคิดว่าข้าอยากได้ตำแหน่งพระชายาหกหรือ? ทั้งอำนาจหรือตำแหน่งอะไรนั่น ทั้งหมดนี้หม่อมฉันมิได้อยากเอามาไว้แม้แต่น้อย!!!”
พูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นใบหน้าตึงเครียด ชายตามองฉินไท่เฟยที่นอนพิงอยู่บนที่นอน พูดอย่างเ็าว่า “ฉินไท่เฟยดูแลสุขภาพด้วยเพคะ ต่อไปจะมีเื่หรือไม่มีเื่ ฉินไท่เฟยก็ไม่ต้องมารบกวนหม่อมฉันอีก”
“จิ่นเอ๋อร์…...” ฉินไท่เฟยขมวดคิ้ว “อายเจียพูดมาตั้งเยอะ ที่จริงอยากบอกว่า……...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้